เยี่ยนหรงหลับไปบนพื้นหญ้านุ่มนิ่มด้วยใบหน้าแดงก่ำ หลังดื่มสุรานางจะหลับลึกมาก ไม่รับรู้ถึงสิ่งรอบตัวจนกว่าฤทธิ์สุราจะจางหายไป
อาจเป็นความฝันหรือความจริง หรือเกิดจากฤทธิ์สุรา หลังจากหลับไปเนิ่นนาน นางก็รู้สึกว่ามีใครบางคนสัมผัสที่แก้มอย่างแผ่วเบา และยังมีเสียงที่ปลุกให้นางตื่น แม้จะไม่สามารถจำแนกได้ว่าเป็นเสียงใคร แต่ก็สัมผัสได้ว่าในน้ำเสียงนั้นเจือแววเอ็นดู และอบอุ่นยิ่งนัก
“ตื่นได้แล้ว”
เยี่ยนหรงลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง นางลุกขึ้นนั่ง หันมองไปรอบกายแต่กลับไร้ผู้คน มีเพียงกระต่ายน้อยสีขาวตัวหนึ่งกระโดดไปมาอยู่ข้างตัว
คงจะเพราะฤทธิ์สุรากระมัง เยี่ยนหรงคิดอย่างมึนงง
เนื่องจากเวลาภายในผนึกไม่แบ่งกลางคืนกลางวัน เยี่ยนหรงจึงไม่รู้ว่าตนเองหลับไปนานแค่ไหน
นางเร่งรีบออกจากผนึก ก็พบว่าผืนฟ้าสีม่วงครามเริ่มมีแสงสีทองส่องประกายแซมหมู่เมฆแล้ว ยังคงเป็นเวลาเช้ามืด นางจึงสาวเท้าตรงดิ่งกลับไปเรือนพักของตนทันที
เมื่อเปิดประตูเรือนเข้าไปก็พบเชียนจือหวานั่งอยู่ที่โต๊ะตัวหนึ่ง สีหน้าไม่ค่อยดีนัก
“เจ้าหายไปไหนมาทั้งคืน ข้าตามหาเสียทั่ว” เชียนจือหวาสีหน้าย่ำแย่ลงจริงๆ
“อยู่ในป่าปริศนา เผลอหลับไปน่ะ” ไม่รู้เพราะอะไร ทั้งที่นางไม่มีความรู้สึก แต่เมื่อเห็นสีหน้าของเชียนจือหวากลับเหมือนว่าตนเองจะมีความไม่สบายใจผุดขึ้นมาเล็กน้อย
“อย่าหายไปเช่นนี้ ข้ากลัวว่าวันนึงเจ้าจะหายไปแล้วไม่กลับมาอีก” เชียนจือหวาทำหน้าเศร้า
เยี่ยนหรงคือคนที่แตกต่างจากคนอื่นอย่างชัดเจน ราวกับนางมีความลับอะไรซ่อนอยู่ตลอดเวลา สิ่งที่เชียนจือหวามั่นใจได้คือเยี่ยนหรงดีกับนางจากใจจริง แต่สิ่งที่หวาดกลัวคือ บุคคลแสนพิเศษเช่นนี้ จะยังอยู่กับนางได้จนถึงเมื่อไรกัน
“อย่าไปคิดมากกับสิ่งที่ยังไม่เกิด หากจะไปไหนนานๆ ข้าต้องบอกท่านอยู่แล้ว” เยี่ยนหรงฉีกยิ้มเล็กน้อยให้เหมาะกับสถานการณ์
“แม้ว่าท่านจะเป็นห่วงข้าจนไม่ได้หลับไม่ได้นอน แต่ถึงอย่างไรวันนี้ก็ยังต้องฝึกซ้อมเหมือนเดิมนะ ไม่มีข้อยกเว้น” เยี่ยนหรงกล่าวจบก็เดินเข้าด้านในไปหาอุปกรณ์ล้างหน้า รวมถึงเสื้อผ้าใหม่เพื่อผลัดเปลี่ยน
เชียนจือหวาตาลอยมองตามแผ่นหลังนางไป
โหดเหี้ยม และเย็นชายิ่งนัก!
วันเวลาก็ผ่านไปเช่นนี้ แค่เพียงกะพริบตาก็เหลือเวลาอีกสามวันก่อนการประลองของแปดสำนักใหญ่แล้ว
วันนี้เป็นวันเดินทางของเชียนจือหวา หยางผู่เยว่ และหลิวเส้าชงไปที่เมืองหลิงอาน สำนักฟู่หลิง ซึ่งเป็นสำนักอันดับหนึ่งของยุทธภพ การประลองใหญ่ถูกจัดขึ้นที่นั่น
นอกจากทั้งสามคนที่มีหน้าที่แล้ว เยี่ยนหรง ฮวาอิ๋นมี่ และจางจิวก็ได้รับอนุญาตให้ไปดูการประลองแปดสำนักใหญ่ครั้งนี้เพื่อเปิดหูเปิดตาด้วย ส่วนผู้อาวุโสท่านอื่นนั้นอยู่เฝ้าสำนัก และจัดการเรื่องราวต่างๆ แทนเจ้าสำนักหลิวเส้าชงชั่วคราว
ทั้งหมดขี่ม้าค้างแรมกันอย่างไม่รีบไม่ร้อน สุดท้ายก็มาถึงเมืองหลิงอานก่อนกำหนดหนึ่งวัน
เมืองนี้เต็มไปด้วยสิ่งปลูกสร้างใหญ่โตโอ่อ่า ต่างจากความเรียบง่ายภายในเมืองเล็กๆ ที่เป็นที่ตั้งสำนักอู่เฉิงอย่างสิ้นเชิง
โดยเฉพาะสำนักฟู่หลิงยิ่งใหญ่โตสมเป็นสำนักอันดับหนึ่งแห่งยุทธภพอย่างแท้จริง ภายในสำนักมีลานประลอง และลานฝึกซ้อมที่กว้างขวางจนเชียนจือหวาต้องเหลียวหลังมองอย่างตื่นตาอยู่ตลอด ที่ส่วนหลังยังมีห้องหับกว้างขวางมากมาย พอที่จะรองรับอาคันตุกะจากแต่ละสำนักที่เดินทางมาเยือนได้อย่างสบาย
ที่พักของสำนักอู่เฉิงอยู่ทางทิศตะวันออก เป็นเรือนขนาดใหญ่ที่ถูกตกแต่งด้วยสีเขียวมรกตเกือบทั้งหลัง มีห้องนอนแยกย่อยกว่าสิบห้อง ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นของที่เตรียมไว้สำหรับสำนักอู่เฉิงทั้งสิ้น
ก่อนที่จะแยกย้ายกันไปพักผ่อน หลิวเส้าชงได้เรียกประชุมศิษย์ทุกคนเพื่อกล่าวทบทวนกำหนดการเล็กน้อย จากนั้นจึงกล่าวเสริมเรื่องสำคัญ
“งานประลองที่กำลังจะเริ่มขึ้นนั้นจะมีเทพจากหุบเขาวิหคไฟมาชมการประลองด้วย เมื่อได้ผู้ที่เหมาะสมก็จะพากลับไปหุบเขาวิหคไฟเพื่อเริ่มเปิดกระจกแปดทิศทันที”
เมื่อได้ยินดังนั้น เชียนจือหวาก็อดตื่นเต้นดีใจไม่ได้ หยางผู่เยว่ก็ตาเป็นประกายขึ้นเหมือนกัน
แดนเทพที่พวกเขาได้แต่จินตนาการ แต่ไม่มีมนุษย์คนไหนเคยเข้าไปเห็นกับตามาก่อน แดนเทพที่พวกเขาใฝ่ฝันจะได้ไปเยือนสักครั้ง
อีกทั้งครานี้จะมีเทพมาชมการประลอง เหตุใดจึงจะไม่ดีใจ ใครๆ ก็อยากเห็นเทพตัวเป็นๆ ทั้งนั้นว่าจะหน้าตาเป็นอย่างไร ต่างจากมนุษย์แค่ไหน ยิ่งคิดใจยิ่งพลุ่งพล่าน ในโลกนี้จะมีอะไรที่น่าตื่นเต้นไปได้มากกว่านี้อีก
หลิวเส้าชงเห็นเด็กทั้งสี่ตื่นเต้นดีใจก็ได้แต่ยิ้มบางๆ และให้ทุกคนไปพักผ่อนได้
คืนนั้นเชียนจือหวาก็ยังวอแวจะนอนห้องเดียวกับเยี่ยนหรง ถึงแม้ว่าห้องรับรองที่สำนักฟู่หลิงจัดให้จะมีเพียงพอจนเหลือห้องว่างก็ตาม
หลายปีมานี้นางตัวติดกับเยี่ยนหรงตลอด ถึงแม้บางครั้งเยี่ยนหรงจะหายไปในป่าปริศนา แต่อย่างไรก็ยังคงกลับมาตอนรุ่งสางเสมอ ดังนั้น คนที่ไร้เพื่อนคบมาตลอดเช่นนาง หากไม่มีเยี่ยนหรงก็จะไม่ชินยิ่ง
“เจ้าว่าเทพพวกนั้นหน้าตาเป็นอย่างไร เหมือนมนุษย์อย่างเราหรือไม่” เชียนจือหวาเดินหยิบข้าวของเตรียมจะไปแช่ตัวในบ่อน้ำพุร้อนที่มีให้ในเรือนรับรอง
“ก็คงเหมือนกันกระมัง” เยี่ยนหรงตอบไปส่งๆ ไม่ได้สนใจนัก
ความจริงเชียนจือหวาก็ใช้ชีวิตอยู่กับเทพมาหลายปีแล้วไม่ใช่หรือ มีอะไรน่าตื่นเต้น
“ชิ! เจ้านี่ไร้อารมณ์ชะมัด ข้าได้ยินมาว่าเทพจะสามารถเหาะเหินเดินอากาศได้ อีกทั้งยังมีพลังอำนาจมาก เรียกลมเรียกฝนได้ด้วย หากเทพพิโรธก็จะสามารถทำลายฟ้าดินได้ในพริบตา” เชียนจือหวาที่จัดแจงสัมภาระเสร็จยังพูดต่อ
“จริงหรือ” เทพที่มีความสามารถควบคุมธรรมชาติได้นั้นมีอยู่น้อยยิ่งกว่าน้อย และต่อให้ควบคุมได้ก็ไม่มีใครสามารถทำได้มากกว่าหนึ่งอย่าง
เช่นนางเป็นจิ้งจอกเก้าหางธาตุลมก็พอจะควบคุมสายลมก่อพายุคลั่งได้ แต่แทบไม่เคยใช้เพราะเปลืองแรงมหาศาล ส่วนสิ่งอื่นนางก็ไม่อาจเรียกมาได้เช่นกัน
พลังทำลายล้างนั้นก็ยังไม่มีเทพองค์ใดทำได้ขนาดที่เชียนจือหวาพูด ใครช่างไปกุเรื่องพลังอำนาจของเหล่าเทพหลอกนางกันนะ
เยี่ยนหรงจัดสัมภาระเสร็จก็เตรียมจะไปบ่อน้ำพุร้อนกับเชียนจือหวา แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นมาก็พบว่าศิษย์พี่นางสะบัดหน้าเดินนำไปแล้ว
ช่วยไม่ได้ นางไม่มีความรู้สึกอะไรกับเทพนี่นา นางเดินตามไปที่บ่อน้ำพุร้อนอย่างไม่รีบร้อนนัก พลางคิดว่าหากหุบเขาวิหคไฟส่งเทพมา ผู้นั้นจะเป็นใครกันนะ