ตั้งแต่เทียนตี้พานางขึ้นมาบนแดนสวรรค์ นางก็ใช้ใบหน้าปลอมมาตลอด ไม่เคยเปิดเผยใบหน้าจริงให้ใครเห็นแม้แต่คนเดียว ยกเว้นก็แต่เฉินเซียงที่ต้องคอยดูแลนางในยามหมดสติ มนต์เปลี่ยนหน้าเสื่อมสลายเท่านั้น
เพราะใบหน้าเย้ายวนงดงามดั่งปั้นเช่นนี้ก็คือใบหน้าทรงเสน่ห์ของปีศาจจิ้งจอกเก้าหาง เพื่อหลีกเลี่ยงเรื่องราววุ่นวาย และไม่ให้เป็นที่สนใจ เทียนตี้จึงให้นางใช้มนต์เปลี่ยนใบหน้าตั้งแต่ยังเยาว์ กลายเป็นเด็กน้อยหน้าตาธรรมดาที่มีดวงตารูปเมล็ดซิ่งบริสุทธิ์ไร้เดียงสาคนหนึ่ง
เพียงแต่ที่เทียนตี้มีประสงค์ให้นางเปลี่ยนใบหน้าเพราะต้องการหลีกเลี่ยงปัญหาจริงๆ หรือไม่ต้องการจะเห็นใบหน้าที่คล้ายคลึงมารดาของนางอีกก็ยากที่จะรู้ได้ แต่ถึงอย่างไรนางก็ใช้ใบหน้าเด็กน้อยธรรมดาสามัญมานานจนแทบจะลืมใบหน้าจริงตนเองไปเสียแล้ว ที่ผ่านมาก็ไม่ได้รู้สึกลำบากอะไร
ว่ากันตามตรง ปีศาจไม่เคยได้รับการยอมรับในแดนเทพ หากจู่ๆ มีปีศาจจิ้งจอกเก้าหางมาเดินไปเดินมาบนแดนสวรรค์ ทั้งยังเป็นแม่ทัพแดนสวรรค์ในเวลาที่เผ่าปีศาจถูกทำลายจนย่อยยับไปหมดแล้วก็ดูน่าตลกนัก
เหล่าเทพเดิมก็ไม่ยอมรับครึ่งปีศาจเช่นนางอยู่แล้ว หากยิ่งต้องมาเห็นใบหน้าปีศาจจิ้งจอกเก้าหางทุกวันยิ่งคอยย้ำเตือนให้นึกถึงเผ่าปีศาจ ยิ่งทำให้จิตใจขุ่นมัว
หันซ้ายหันขวามองหน้าตัวเองอยู่ครู่หนึ่ง ในคันฉ่องก็ปรากฏเงาของคนอีกคนอยู่ด้านหลัง
"ฟื้นจนได้นะ" ผู้มาใหม่ยืนอยู่ที่ด้านหลังนางอย่างสบายๆ
เยี่ยนหรงรีบหันกลับไปทันที นี่นางย่ำแย่จนถึงขนาดที่มีคนเดินเข้ามาใกล้ก็ไม่รู้สึกตัวแล้วหรือ
"เจ้าเป็นใคร" เยี่ยนหรงเอ่ยถามอย่างไม่ไว้ใจนัก
"ศิษย์เอกเจ้าสำนักหลิวเส้าชง สำนักอู่เฉิง แซ่เชียน นามจือหวา เจ้าล่ะ ชื่อแซ่อะไร" เชียนจือหวายิ้มน้อยๆ พิศมองใบหน้าเยี่ยนหรงอย่างไม่วางตา ผู้หญิงที่งดงามขนาดนี้นางก็เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก ตอนหลับตาว่าชวนฝันแล้ว ตอนลืมตาขึ้นมากลับยิ่งทำให้หัวใจคันยุบยิบ นี่ขนาดนางเป็นสตรีนะ!
เยี่ยนหรงมองพินิจคนตรงหน้าเช่นกัน เชียนจือหวาแม้ไม่ได้เรียกว่างดงามแต่ก็ดูคล่องแคล่วปราดเปรียว แววตาเอาเรื่องนั้นเหมาะกับอาภรณ์สีแดงสดที่นางสวมใส่อยู่อย่างยิ่ง พอพูดถึงว่าตนเป็นศิษย์เอกเจ้าสำนัก ใบหน้านางก็เชิดขึ้นเล็กน้อยอย่างภาคภูมิใจเป็นที่สุด ความดื้อรั้นทะนงตัวฉายชัดอยู่บนร่างนางอย่างไม่ปิดบัง
เพียงแต่ปัญหาคือ นางควรตอบว่าตนชื่ออะไร ปกติแดนสวรรค์ไร้แซ่ จะเรียกเพียงตำแหน่งหรือนามโดยตรงเท่านั้น หากที่นี่ไม่ใช่แดนสวรรค์แล้วตอนนี้นางอยู่ที่ไหนกัน
บอกมั่วๆ ไปก็ใช้ได้กระมัง นางคิดครู่หนึ่งจึงตอบ "จ้าว..." คำว่าเยี่ยนกำลังจะหลุดจากปากนางพลันคิดว่า อุตส่าห์รอดตายมาได้ ก็ไม่อยากถูกตามฆ่าตายรอบสอง แม้ชื่อสามารถซ้ำกัน แต่ชื่อเยี่ยนหรงสำหรับแดนสวรรค์นั้นมีเพียงหนึ่ง จัดเป็นสิ่งต้องห้าม ตั้งแต่นางขึ้นมาอยู่แดนสวรรค์ ก็ไม่มีเทพองค์ใดอย่างตั้งชื่อลูกด้วยชื่อนี้อีกเลย เทพที่บังเอิญชื่อซ้ำกับนางก็รีบเปลี่ยนชื่ออย่างรวดเร็วราวกับกลัวตัวเองจะต้องคำสาปชั่วร้าย
ไม่ว่าที่นี่จะเป็นที่ไหนยังคงอย่าใช้ชื่อเยี่ยนหรงจะดีกว่า
"จ้าวเฟยเยี่ยน"
"จ้าวเฟยเยี่ยน อืม ชื่อเพราะดี มาจากไหนล่ะ" เชียนจือหวาเดินไปเดินมารอบห้องแล้วก็นั่งลงที่โต๊ะตัวหนึ่ง รินน้ำชาให้ตัวเองอย่างวางมาดเล็กน้อย
"ข้าไม่จำเป็นต้องบอกเจ้า” เยี่ยนหรงเป็นฝ่ายตั้งคำถามบ้าง “ที่นี่ที่ไหน"
เชียนจือหวาจ้องเยี่ยนหรงตาปริบๆ ผู้หญิงที่ไม่โอนอ่อนเช่นนี้เหมาะเป็นศิษย์น้องนางนัก! "สำนักอู่เฉิง"
"สำนักอู่เฉิงหรือ แล้วมันคือที่ไหน"
"สำนักเซียนเมืองเจียงซี ไม่รู้จักหรือ" เชียนจือหวามองเยี่ยนหรงอย่างงุนงง แม้สำนักอู่เฉิงจะเป็นสำนักเซียนขนาดเล็ก แต่ก็เป็นสำนักเซียนที่มีชื่อเสียงมาก เป็นหนึ่งในแปดสำนักเซียนที่โด่งดังที่สุดในโลกแห่งการบำเพ็ญเพียร คนปกติล้วนต้องเคยได้ยินชื่อบ้าง หรือหากไม่รู้จักจริงๆ ก็คงไม่ถึงขั้นไม่รู้จักเมืองเจียงซีด้วยหรอกกระมัง
เยี่ยนหรงครั้งอยู่แดนสวรรค์ก็ไม่เคยออกท่องเที่ยวไปในแดนอื่นยกเว้นแดนอสูรที่ต้องไปทำศึก และแดนเหมันต์ที่ไปตามเก็บสมุนไพรหายาก จึงไม่รู้ว่าที่ที่นางอยู่นี่มันคือที่ไหนกันแน่
"ปกติพวกเจ้าตายกันตอนอายุเท่าไรหรือ"
เชียนจือหวาได้ยินคำถามนี้ก็สำลักน้ำชาที่กำลังจิบทันที "ถามมารดาเจ้าสิ! นี่แช่งสำนักข้าหรือ" อายุนางยังไม่ทันถึงยี่สิบ ยังไม่ได้แต่งงานมีลูก จะให้ตายแล้วหรืออย่างไร
เยี่ยนหรงแม้ถูกต่อว่าแต่กลับไม่รู้สึกโกรธ นางยังคงพูดต่ออย่างไร้อารมณ์โดยไม่ได้สนใจสักนิดว่าใบหน้าของเชียนจือหวาจะเปลี่ยนจากแดงเป็นขาว จากขาวเป็นเขียวภายในชั่วพริบตา "มารดาข้าตายไปนานมากแล้ว ถามไม่ได้แล้ว"
"เจ้ากวนประสาทข้าชัดๆ!" เชียนจือหวาไม่อดทนอีก นางลุกขึ้นยืน ในมือปรากฏแส้วิเศษเปล่งประกายสีส้มร้อนแรงแสบตา ไม่พูดพร่ำทำเพลงนางก็ฟาดแส้ใส่ร่างเยี่ยนหรงทันที
เยี่ยนหรงมองแส้ในมือเชียนจือหวา หากเทียบกับอาวุธเทพที่นางเคยเห็นมาทั้งชีวิต พลังของแส้เส้นนี้ช่างอ่อนแอจนน่าเวทนาเหลือเกิน เมื่อแส้มาถึงตัวจึงไม่คิดจะหลบหลีก เพราะหากว่ากันตามจริง แส้เส้นนี้ไม่สามารถทำอันตรายนางซึ่งเป็นครึ่งเทพปีศาจได้แม้แต่รอยข่วน
เมื่อแส้ฟาดถูกกลับได้ยินเสียงเนื้อแตกดังเพี้ยะ! เยี่ยนหรงก้มลงมองต้นแขนตนเองนิ่งงัน เชียนจือหวาเองก็เบิกตากลมโตมองเยี่ยนหรงอย่างตกใจเช่นกัน เสื้อบางๆ ที่เยี่ยนหรงสวมใส่ขาดวิ่นเป็นแนวยาว เลือดสีแดงสดค่อยๆ ไหลลงมาตามแขนจนถึงฝ่ามือ
เยี่ยนหรงยังคงจ้องแขนตัวเองอย่างตกตะลึง จะให้นางเชื่อได้อย่างไรว่าแส้ธรรมดาๆ เส้นนี้ก็สามารถทำอันตรายนางได้ ชั่วขณะที่ยังตอบสนองไม่ทันกลับเป็นเชียนจือหวาที่รีบกระวีกระวาดเข้ามาลากนางไปนั่งลงบนเตียง วิ่งไปวิ่งมาหาผ้าพันแผล วิ่งออกจากห้อง และกลับมาอย่างรวดเร็วพร้อมหยูกยาจำนวนมาก
"ทำไมเจ้าไม่หลบ ป่วยจนทึ่มทื่อไปแล้วหรือ" เชียนจือหวาอารมณ์เสีย พันแผลให้เยี่ยนหรงไปปากก็บ่นไป แต่ถึงบ่นอย่างไรสีหน้านางก็ย่ำแย่อย่างเห็นได้ชัด ไม่ได้รู้สึกดีกับสิ่งที่กระทำลงไปแม้แต่น้อย
"เจ้าไม่ต้องตกใจขนาดนั้น ข้าไม่รู้สึกเจ็บอะไรเลย"
เชียนจือหวามองเยี่ยนหรงตาปริบๆ สักพักขอบตาก็เริ่มแดงเรื่อ "เจ้าไม่โกรธหรือ ไม่อยากตีข้าคืนหรอกหรือ"
เยี่ยนหรงส่ายหน้าไปมา นางไม่ได้รู้สึกโกรธจริงๆ นั่นแหละ
เชียนจือหวากลั้นน้ำตาไม่อยู่ จู่ๆ นางก็ร้องไห้จ้าจนเยี่ยนหรงตกใจทำอะไรไม่ถูก "ข้าขอโทษ ปกติเอาแต่ใจจนเคยชิน ต่อไปไม่ทำเจ้าแล้ว ไม่ทำแล้ว เจ้าเป็นคนดีเกินไป"
เยี่ยนหรงยังคงนิ่งงันตอบสนองไม่ทันอีกเช่นเคย ตั้งแต่คุยกับเชียนจือหวานางก็หมายความตามที่พูดทุกประการ ประการแรกตั้งแต่ต้นจนจบนางไม่รู้สึกโกรธแม้แต่น้อย และตอนที่แส้ฟาดลงมาจนถึงตอนนี้นางก็ยังไม่รู้สึกเจ็บเลยจริงๆ ราวกับร่างนี้ไร้ความรู้สึกไปแล้ว
หรือเป็นเพราะว่าก่อนนางจะตายนางใช้อาคมเรียกอัคคีนิลกาฬจนทำให้ดวงจิตถูกกลืนกิน ตอนนี้กลับฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง แต่ความรู้สึกหลายอย่างภายในร่างไม่ได้กลับมาด้วย เช่นตอนนี้นางพบว่าความรู้สึกโกรธกับความรู้สึกเจ็บปวดได้หายไปแล้ว
หลังจากปลอบใจเด็กน้อยขี้แยเชียนจือหวาจนสงบลงได้ เยี่ยนหรงก็กลับเข้าเรื่องต่อทันที
"เจ้ายังไม่ได้ตอบข้าเรื่องอายุขัย"
เชียนจือหวาแม้งุนงง แต่เมื่อเห็นสีหน้าเยี่ยนหรงดูไม่เหมือนล้อเล่นจึงตอบไปตามจริง "หากไม่ถูกฆ่าตายหรือป่วยตายเสียก่อนก็น่าจะอยู่ได้จนถึงอายุหกสิบปี อายุยืนหน่อยก็แปดสิบปีกระมัง”
เยี่ยนหรงได้ฟังก็เข้าใจทันที แม้นางไม่เคยท่องเที่ยวไปในดินแดนอื่นนอกจากแดนสวรรค์กับแดนอสูร แต่นางก็เคยศึกษาเรื่องราวในดินแดนอื่นมาบ้าง สิ่งมีชีวิตที่บอบบางตายง่าย ทั้งยังอายุขัยสั้นก็คงมีแต่มนุษย์แล้ว ดังนั้นตอนนี้นางกำลังอยู่ที่แดนมนุษย์
แล้วเหตุใดจึงมาอยู่ที่นี่ได้ เหตุใดอาวุธธรรมดาในแดนมนุษย์ก็สามารถทำร้ายนางได้ เหตุใดพลังจึงสูญสิ้น เหตุใดจึงคืนชีพขึ้นมาอีกครั้ง นางสงสัยยิ่งนัก แต่ใครจะเป็นผู้ตอบคำถามเหล่านี้ให้นางเล่า
“ข้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”
เรื่องพวกนี้เชียนจือหวาก็ไม่รู้มากนัก อาจารย์สั่งให้มาดูแลนางแต่ไม่ยอมบอกรายละเอียดอื่นๆ
“เรื่องพวกนี้ข้าไม่รู้ เจ้าคงต้องไปถามจากอาจารย์เอาเอง”
เยี่ยนหรงพยักหน้ารับรู้ อาจารย์ที่นางว่า หมายถึงเจ้าสำนักอู่เฉิงกระมัง
“หาชุดให้ข้าเปลี่ยนสักชุด แล้วพวกเราไปหาอาจารย์ของเจ้าด้วยกัน”