ภายในเรือนพักศิษย์ของสำนักอู่เฉิง เยี่ยนหรงนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง มือทั้งสองข้างวางอย่างสบายๆ อยู่บนตัก ไม่นานประกายสีฟ้าครามก็แผ่ออกมาจากกลางฝ่ามือ แสงสีฟ้าครามรวมตัวกันเป็นจุดเล็กๆ แลดูริบหรี่ราวกับหิ่งห้อยตัวน้อยที่พลัดหลงจากฝูง ทั้งอ่อนแรง และไร้ประกายจนน่าเวทนา
นางลืมตาขึ้นอีกครั้งพร้อมกับถอนหายใจอย่างอดสู พลังเทพปีศาจทั่วร่างของนางหายไปจนเกือบหมดสิ้น ชีวิตใหม่นี้ทั้งอ่อนแอและเปราะบางไม่ต่างจากมนุษย์คนหนึ่ง มิใช่เพียงแค่พลังสูญสิ้นเสมือนเริ่มใหม่จากศูนย์ แต่นี่คือสภาพที่แย่ยิ่งกว่านั้น หากเปรียบเทียบกับตอนเด็กที่ยังไม่ถูกพาตัวไปแดนสวรรค์ พื้นฐานพลังเทพปีศาจของนางก็ยังเรียกได้ว่าดีกว่าตอนนี้มากนัก
เยี่ยนหรงหลับตาลงอีกครั้ง ตั้งสมาธิสำรวจทั่วร่างกายของตนเอง พบว่าอาการบาดเจ็บภายในหายเป็นปกติแล้ว วิญญาณและดวงจิตถูกผสานกลับคืนจนใกล้เคียงสมบูรณ์ บาดแผลทั่วร่างก็หายดีจนไม่เหลือร่องรอยใดอีก ราวกับเกิดใหม่
เกิดใหม่
เป็นใครกันที่มีความสามารถถึงขั้นชุบชีวิตเทพที่ดวงจิตแตกสลายได้ ใครที่กระทำเรื่องฝืนชะตาโดยไม่เกรงกลัวทัณฑ์ฟ้าดิน ตามรวบรวมเศษเสี้ยวดวงวิญญาณและดวงจิตที่กระจัดกระจายไปในสายลมอันมืดมิดนอกเขตวัฏสงสารจนสำเร็จ มองไปทั่วแดนเทพหรือแม้กระทั่งทั่วทั้งพิภพนางก็ยังนึกไม่ออกว่าใครกันที่มีความสามารถถึงขั้นนี้ แม้แต่ในบันทึกเก่าแก่แดนเทพก็ยังไม่ปรากฏว่ามีผู้ที่เคยคืนชีพเทพได้มาก่อน
เยี่ยนหรงล้มตัวลงนอนบนเตียงอีกครั้งอย่างอ่อนแรง แท้จริงแล้วนางหลับไปนานเท่าไรก็สุดจะรู้ นางฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้อย่างไรนั้นก็ยากจะบอกอีกเช่นกัน เรื่องราวมากมายราวกับความฝันตื่นหนึ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน หากไม่ตกอยู่ในสภาพเช่นนี้นางคงนึกว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นนอกเขตแดนอสูรเป็นเพียงแค่ความฝันจริงๆ
ความรู้สึกหลายอย่างของนางหายไปจากร่าง เสมือนตอนนี้นางเป็นเพียงท่อนไม้ท่อนหนึ่งที่บังเอิญมีชีวิตเดินเหินได้ รับรู้แต่ไม่รู้สึก นั่นต้องเกิดจากการที่นางเรียกอัคคีนิลกาฬมาใช้อย่างแน่นอน
ปีศาจที่ใช้พลังเรียกอัคคีนิลกาฬก็คล้ายกับเหล่าเทพที่มักเปิดค่ายกลพลังทำลายล้างสูง เป็นไพ่ตายใบสุดท้ายไว้ต่อกรกับศัตรูยามจนตรอก แม้มีอานุภาพมากแต่ก็ต้องแลกมาด้วยการสังเวยตัวเองจนวิญญาณแตกสลาย
สำหรับอัคคีนิลกาฬนั้นแม้จะไม่ต้องสังเวยวิญญาณเหมือนค่ายกลเทพ แต่การเรียกใช้ครั้งหนึ่งจะทำให้ร่างกายสูญเสียจิตไปบางส่วน เช่นเมื่อตอนนั้นก่อนที่จะไปผนึกแดนอสูร นางเคยลองเรียกอัคคีนิลกาฬกลุ่มเล็กๆ ขึ้นมาเพื่อฝึกฝน หลังเสร็จสิ้นนางเสียการรับรส
ในวันที่ผนึกแดนอสูรนางเรียกอัคคีนิลกาฬขึ้นมาราวกับทะเลเพลิงถึงสองครั้ง สิ่งที่สูญเสียไปแล้วก็ยังคงต้องสูญเสีย หากจะไร้ความรู้สึกจนถึงขั้นว่างเปล่าก็มิใช่เรื่องแปลก อาการเหล่านี้วันหนึ่งจะสามารถหายได้หรือไม่ก็ไม่มีใครรู้ เหล่าผู้ที่เคยใช้เวททรงพลังเช่นนี้ต่างตายไปตั้งแต่สงครามเทพปีศาจ อีกทั้งเผ่าปีศาจก็ล่มสลายไปแล้ว ไม่เหลือข้อมูลอะไรให้สืบหาได้อีก
เยี่ยนหรงใช้มือนวดขมับทั้งสองข้างของตนช้าๆ นางอาจจะนอนนานเกินไป พอฟื้นขึ้นมานอกจากยังตั้งสติไม่ค่อยทันแล้ว ในหัวยังมึนงงสับสนไปหมด ยิ่งใช้ความคิดมากเท่าไร ภาพตรงหน้าก็ยิ่งพร่าเลือนมากขึ้นเท่านั้น
ขณะครุ่นคิดอย่างใจลอย เชียนจือหวาก็กลับเข้าห้องมาพร้อมกับชุดสีขาวบริสุทธิ์ชุดหนึ่ง เป็นชุดประจำสำนักอู่เฉิงที่เหล่าศิษย์จะสวมใส่เฉพาะเวลามีงานชุมนุมพบปะกับสำนักบำเพ็ญเพียรอื่นๆ เท่านั้น เพราะสำนักอู่เฉิงไม่ได้มีกฎระเบียบที่เคร่งครัดเหมือนสำนักบำเพ็ญเพียรอื่น ดังนั้นในยามปกติใครอยากสวมใส่ชุดแบบใดก็สวมแบบนั้น
"ข้าชอบที่นี่ก็เพราะแบบนี้แหละ กฎระเบียบไม่เยอะ หากมีเยอะคนอย่างข้าก็อยู่ไม่ไหว" เชียนจือหวามักแอบฝ่าฝืนกฎของสำนักเป็นประจำ แม้ว่าสำนักอู่เฉิงจะมีกฎระเบียบน้อยมากอยู่แล้วก็ตาม
เมื่อผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อย เชียนจือหวาก็พาเยี่ยนหรงไปพบเจ้าสำนักอู่เฉิงซึ่งก็คืออาจารย์ของนางที่ตำหนักหย่งเหอ
ตำหนักหย่งเหอเป็นตำหนักใหญ่ที่ตั้งอยู่ใจกลางของสำนักอู่เฉิง มีหอสูงเจ็ดชั้นตั้งตระหง่านอยู่ด้านหลังของตำหนัก ภายในหอเก็บรวบรวมตำราเก่าแก่และอาวุธวิเศษไว้มากมาย อีกทั้งตำหนักนี้ยังใช้เป็นที่สำหรับประชุมหารือเรื่องราวต่างๆ ของเหล่าผู้อาวุโสประจำสำนักด้วย
หลิวเส้าชงมักอยู่ที่นั่นเพื่อดูแลสิ่งล้ำค่าของสำนัก กำราบอาวุธวิเศษบางชิ้นที่พยศหรือมีปราณมารหลงเหลืออยู่ ไม่ให้ก่อความวุ่นวายจนเกิดความเสียหายใหญ่โต รวมถึงดูแลต้นไม้เซียนต้นน้อยๆ ของเขาที่สิบปีจะออกดอกออกผลครั้งหนึ่ง
เชียนจือหวาพาเยี่ยนหรงเดินออกมาจากบริเวณเรือนพักศิษย์ ผ่านโรงอาหารจนไปถึงตำหนักหย่งเหอ ระหว่างเดินนางก็พูดแนะนำสถานที่ต่างๆ ให้เยี่ยนหรงฟังไปด้วยอย่างกระตือรือร้น
เยี่ยนหรงมองสิ่งต่างๆ รอบตัวก็ตระหนักว่าแดนมนุษย์ช่างต่างกับแดนสวรรค์ที่นางอยู่ยิ่งนัก สิ่งปลูกสร้างต่างกัน สภาพแวดล้อมต่างกัน การดำรงชีวิตยิ่งต่างกัน หากอยากอยู่ที่นี่นางคงต้องปรับตัวอย่างมาก
เรือนพักของเหล่าศิษย์ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของสำนัก แต่ละเรือนสร้างจากไม้ไผ่สีเขียวเรียบง่าย ตั้งเรียงรายอยู่ตามแนวไหล่เขา เมื่อมองจากที่ไกลๆ จะเห็นแนวของเรือนพักที่สร้างลดหลั่นกันเป็นเส้น ราวกับมังกรสีเขียวขนาดใหญ่นอนอาบแดดอยู่ในป่าบนยอดเขาสูง โรงอาหารของสำนักแม้ใหญ่โตแต่ก็ยังออกแบบไว้อย่างเรียบง่าย สมกับเป็นสำนักบำเพ็ญเพียรที่ไม่ค่อยจะยุ่งเกี่ยวกับเรื่องราวทางโลกอย่างแท้จริง
ทุกที่ที่เชียนจือหวาและเยี่ยนหรงเดินผ่าน เหล่าศิษย์ในสำนักที่บ้างฝึกซ้อม บ้างทำงานอยู่รอบบริเวณล้วนมองพวกนางสองคนด้วยสีหน้าแปลกประหลาด ยากจะบ่งบอกได้ว่ามีความรู้สึกอย่างไร
พวกเขาก็เหมือนกับเชียนจือหวา เกิดมาเพิ่งเคยเห็นเด็กสาวที่หน้าตางดงามจนคล้ายไม่มีอยู่จริงเช่นเยี่ยนหรง ทั้งบริสุทธิ์สดใส ทั้งนิ่งสงบราวสายน้ำ ชวนให้รู้สึกสดชื่นสบายใจ มีเพียงดวงตาดอกท้อที่แฝงความเย้ายวนเอาไว้เล็กน้อยเท่านั้นที่ดึงดูดให้ผู้คนลุ่มหลงมัวเมาได้โดยง่าย ทุกอย่างบนร่างดูพอเหมาะพอดีไปเสียหมด
เหล่าศิษย์ที่อยู่รอบบริเวณต่างพากันมองจนอ้าปากตาค้าง แต่เมื่อเห็นคนที่เดินข้างนางฟ้าคือเชียนจือหวานางมารประจำสำนัก เหล่าศิษย์ต่างก็คิดหนักว่าควรลอบมองต่อหรือควรทำเป็นมองไม่เห็นเพื่อเลี่ยงปัญหาดี บางคนที่เห็นเชียนจือหวามีท่าทีใกล้ชิดสนิทสนมกับเยี่ยนหรงก็ถึงกับยืนไว้อาลัยให้นางล่วงหน้าจากที่ไกลๆ เสียด้วยซ้ำ
เยี่ยนหรงตั้งใจฟังเชียนจือหวาบอกเล่าเรื่องราว และแนะนำสถานที่ต่างๆ ของสำนักอู่เฉิง จึงมิได้สนใจปฏิกิริยาของเหล่าศิษย์รอบข้างมากนัก แต่หากบังเอิญสบตากับใครเข้า นางก็จะส่งยิ้มน้อยๆ ให้เป็นการทักทายตามมารยาท แต่ผู้คนที่นางยิ้มให้กลับมองมาด้วยสีหน้าแตกตื่นลนลาน บ้างก็ทำของหลุดมือ ทำให้นางไม่เข้าใจว่าตัวเองทำอะไรผิดไป หรือแดนมนุษย์ไม่นิยมชมชอบการยิ้มทักทาย หน้าตานางก็มิได้มีเขี้ยวมีเขางอกเสียหน่อย เหตุใดทุกคนจะต้องตกใจด้วย
เมื่อมองไปที่เชียนจือหวาก็ดูเหมือนว่านางจะไม่ได้รับรู้ถึงความสนใจของผู้คนโดยรอบ เอาแต่พูดจ้อไม่หยุด เยี่ยนหรงจึงคร้านจะถามเรื่องรอยยิ้มในแดนมนุษย์แล้วว่าเป็นสิ่งต้องห้ามหรือไม่อย่างไรกันแน่
ในที่สุดทั้งสองก็เดินมาถึงตำหนักหย่งเหอ หอสูงเจ็ดชั้นที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้าแผ่กลิ่นอายโบราณอันศักดิ์สิทธิ์ชวนค้นหา เชียนจือหวารายงานตัวก่อนก้าวเข้าไปด้านในอย่างเคยชิน
เยี่ยนหรงเดินตามเข้าไปก็พบว่าภายในตำหนักถูกตกแต่งไว้อย่างเรียบง่ายเหมือนกับสิ่งปลูกสร้างต่างๆ ภายในสำนักที่พวกนางเดินผ่านมา กลิ่นอายภายในตำหนักหย่งเหอชวนให้ใจสงบอย่างประหลาด นางตั้งสมาธิมั่น จับกระแสพลังอันสงบอบอุ่นที่ไหลเวียนอยู่รอบตัว แม้พลังพวกนี้มนุษย์ไม่อาจรู้สึกหรือสัมผัสได้ แต่นางซึ่งเป็นเทพครึ่งหนึ่งสามารถรับรู้ได้ ภายในหอเจ็ดชั้นนี้จะต้องมีของวิเศษที่เหมาะสมแก่การเยียวยารักษาแน่นอน
สบายยิ่งนัก
จุดชีพจรทั่วร่างผ่อนคลาย พลังทั่วร่างไหลเวียนสะดวก ราวกับนางได้รับการถ่ายเทพลังจากเทพผู้หนึ่ง