ดวงตาเยี่ยนหรงลืมขึ้นช้าๆ ภาพเบื้องหน้าปรากฏป่าไผ่อันหมองหม่นที่ถูกปกคลุมไปด้วยหมอกหนาราวกับมีม่านโปร่งกางกั้นไว้ชั้นหนึ่ง หมอกสีขาวพวกนี้บดบังจนทำให้แยกแยะทิศทางได้อย่างยากลำบาก อากาศรอบตัวหนาวยะเยือกจนอดยกมือขึ้นกอดอกไม่ได้ สรรพสิ่งรอบตัวล้วนเงียบสงัดจนน่าวังเวง
เยี่ยนหรงหันกายมองไปรอบด้านด้วยความแปลกใจ นี่นางอยู่ที่ไหนกัน จากเหตุการณ์นอกเขตแดนอสูร มิใช่ว่าดวงจิตแตกสลายไปแล้วหรือ เทพที่ดวงจิตแตกสลายจะหายจากสามภพไปตลอดกาล ไม่อาจกลับมาเวียนว่ายตายเกิดได้อีก แล้วเหตุใดวิญญาณจึงยังรับรู้อยู่เช่นนี้ได้
นางเดินไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย ป่าไผ่กว้างใหญ่กลับดูราวไร้สิ่งมีชีวิต เมื่อเดินลึกเข้าไปเรื่อยๆ ก็พบลำธารสายเล็กพาดผ่านอยู่เบื้องหน้า คุ้นตาแต่เหมือนไม่รู้จัก คล้ายจริงคล้ายฝันอันเลือนราง
เยี่ยนหรงหยุดยืนฟังเสียงอันไพเราะของน้ำในลำธารที่ไหลเอื่อยเฉื่อย เสียงน้ำทำให้จิตนางสงบเป็นสมาธิ จิตที่นิ่งทำให้สัมผัสถึงสรรพสิ่งรอบตัวได้อย่างเฉียบคม ในที่ไกลออกไปนางยังสามารถได้ยินเสียงเด็ก เหมือนว่าจะมีเด็กหลายคนกำลังเล่นกันอยู่
เดิมนางก็ไม่รู้จะทำอะไรอยู่แล้ว จึงลองเดินตามเสียงเด็กพวกนั้นไป เมื่อมาถึงกลับพบว่าเด็กพวกนั้นก็คือเวยเจี๋ย เกาฉือ และตัวนางเอง ทุกคนต่างอยู่ในวัยเด็ก ตัวสูงแค่อกของนางในตอนนี้เท่านั้น
นางมองภาพตรงหน้าผ่านม่านหมอกหนา เห็นตัวเองกำลังอุ้ม 'เหมาเหมา' ไว้ มันพยายามตะเกียกตะกายอยู่ในอ้อมอกของนางอย่างหวาดกลัว จำได้ว่าตอนนั้นนางและเหมาเหมาถูกหินปาจนเป็นรอยช้ำไปทั้งตัว และนั่นก็คือการเล่นสนุกของเวยเจี๋ย
ตอนเด็กเยี่ยนหรงเลี้ยงพยัคฆ์ขาวตัวอ้วนกลมไว้เป็นเพื่อนตัวหนึ่ง มันมีปีกเล็กๆ สองปีกงอกออกมาที่หลัง ขนของมันนุ่มนิ่มน่ากอดยิ่งนัก ตอนนั้นนางเจอมันที่ป่าทางทิศตะวันออกของแดนสวรรค์ เหมือนว่าแม่ของมันจะทิ้งไปแล้ว นางจึงอุ้มเจ้าก้อนขนปุกปุยกลับมาเลี้ยงดูเป็นอย่างดี
เยี่ยนหรงที่อายุหนึ่งพันห้าร้อยกว่าปียืนมองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างใจลอย นางรู้ว่าต่อจากนี้จะเกิดอะไรขึ้น แม้ไม่อยากมองแต่สายตากลับไม่เชื่อฟัง เหมาเหมาจากนางไปนานมากแล้ว เมื่อเห็นมันอีกครั้งก็อดคิดถึงไม่ได้ ไม่นานเสียงทะเลาะเบาะแว้งของเด็กน้อยทั้งสามก็ดังขึ้น
"ส่งเจ้าหน้าขนนั่นมา ข้าจะเอามันไป" เวยเจี๋ยยืนกอดอกวางอำนาจเหนือเยี่ยนหรง
"ไม่ มันอยากอยู่กับข้า" เยี่ยนหรงกอดเหมาเหมาแน่นไม่ยอมปล่อย เจ้าก้อนขนตัวน้อยเองก็เกาะติดนาง ไม่มีท่าทีอยากไปกับเวยเจี๋ยและเกาฉือเลยแม้แต่น้อย
"สิ่งที่องค์ชายต้องการเจ้ากล้าขัดขืนหรือ ส่งมันมานี่" เกาฉือเดินเข้ามาแย่งตัวเหมาเหมาไปจากเยี่ยนหรง และผลักนางล้มลงกับพื้น
เหมาเหมาเห็นเยี่ยนหรงล้มลง อีกทั้งตัวเองก็ถูกเกาฉือจับตัวไว้จึงเกิดโทสะ มันกางเล็บข่วนสะเปะสะปะไร้ทิศทาง อยากดิ้นให้หลุดจากการจับกุมของเกาฉือกลับไปหาเจ้านาย แต่กรงเล็บของมันดันไปข่วนถูกแขนของเวยเจี๋ย เกิดเป็นแผลฉกรรจ์เลือดออกมากจนน่าตกใจ
เกาฉือเห็นดังนั้นก็แหกปากร้องตะโกนให้บ่าวที่อยู่ไม่ไกลวิ่งมาช่วย
เหมาเหมาเมื่อสลัดหลุดจากเกาฉือก็วิ่งกลับมาหาเยี่ยนหรงอีกครั้ง
เทพรับใช้ต่างวิ่งกรูกันเข้ามาช่วยเวยเจี๋ย และลากตัวเยี่ยนหรงกับเหมาเหมาไปที่ตำหนักของเทียนโฮ่ว
เยี่ยนหรงในม่านหมอกเฝ้ามองเหตุการณ์ตรงหน้า ดวงตาหม่นแสงลง นางเดินตามทุกคนมาที่ตำหนักของเทียนโฮ่วเช่นกัน เมื่อมาถึงนางก็เห็นเหล่าเทพรับใช้ช่วยกันจับเยี่ยนหรงน้อยคุกเข่าลงกับพื้นหน้าตำหนัก แม้บนพื้นจะปูด้วยหินแหลมคมแต่ก็ไม่มีใครเห็นใจเด็กน้อยคนนั้นว่าจะเจ็บปวดหรือไม่ ได้แผลหรือเปล่า ส่วนเหมาเหมาถูกบ่าวอีกคนใช้โซ่วิเศษล่ามเอาไว้เพื่อมิให้สัตว์ภูตหนีหรือทำร้ายใครได้
เวยเจี๋ยถูกนำตัวไปรักษาบาดแผลที่ด้านในแล้ว เหลือเพียงเกาฉือที่ยืนอยู่ข้างเทียนโฮ่วอย่างหยิ่งผยอง สหายคนโปรดของเวยเจี๋ยก็ย่อมเป็นคนโปรดของเทียนโฮ่วเช่นกัน เกาฉือกล่าวคำโป้ปดใส่ร้ายเยี่ยนหรงอย่างไม่ละอาย จนเยี่ยนหรงที่เดิมคิดจะยอมรับผิดให้จบเรื่องไปกลับไม่อาจยอมรับ
"เกาฉือโกหก ข้ามิได้สั่งให้เหมาเหมาทำร้ายองค์ชายรอง อีกทั้งเป็นเพราะเหมาเหมาถูกทำให้ตกใจจึงดิ้นตามสัญชาตญาณเท่านั้น" เยี่ยนหรงน้อยโมโหจนใบหน้าแดงก่ำ
"ข้ามิได้โกหก เทียนโฮ่ว ท่านสามารถสอบถามจากองค์ชายรองได้หลังจากนี้ หรือองค์หญิงห้าจะกล่าวหาว่าองค์ชายรองโกหก" เกาฉือค้อมตัวนอบน้อมต่อเทียนโฮ่ว แต่ใบหน้าที่ซ่อนอยู่นั้นเผยรอยยิ้มเย้ยหยันให้เยี่ยนหรงอย่างไม่ปิดบัง
"เยี่ยนหรง ตั้งแต่เจ้ามาอยู่บนแดนสวรรค์ก็ก่อแต่เรื่องมิได้หยุดหย่อน ครั้งนี้เจ้าเกือบทำให้พี่ชายเจ้าแขนพิการ หรือเจ้ายังจะเข้าข้างสัตว์ภูตตัวนั้นอีก" เทียนโฮ่วมองนางอย่างเย็นชา น้ำเสียงก็ดุดันขึ้นหลายส่วน
"แต่ว่าบาดแผลองค์ชายรองก็ไม่ได้ลึก…" คำว่า ‘มาก’ ยังไม่ทันหลุดออกจากปาก ใบหน้าก็โดนตบเข้าอย่างแรงคราหนึ่ง
เยี่ยนหรงโดนตบจนใบหน้าบวมแดง นางงุนงงอย่างยิ่ง ไม่เข้าใจว่าเหตุใดเทียนโฮ่วถึงโกรธนางขนาดนี้
"เจ้ายังกล้าพูด! ร่างกายองค์ชายรองสูงค่าแค่ไหนหรือเจ้าไม่รู้ ผู้ใดจะต่ำต้อยเช่นเจ้ากัน" เทียนโฮ่วตวาดนางเสียงดัง แต่เมื่อสงบสติอารมณ์ได้จึงลดเสียงลงกล่าวต่อ "เอาเถิด เจ้าอย่างไรก็เป็นถึงองค์หญิงห้า ข้าจะไว้หน้าเทียนตี้ไม่ลงโทษเจ้า แต่สัตว์ภูตตัวนี้เอาไว้ไม่ได้" กล่าวจบนางก็หันไปสั่งเทพองครักษ์ด้านข้าง
"สังหารซะ!"
เยี่ยนหรงน้อยตกใจจนหน้าซีดเผือด นางดิ้นหลุดจากเทพรับใช้แล้วล้มลุกคลุกคลานไปหาเทียนโฮ่ว มือจับชายกระโปรงสีทองงามสง่านั่นไว้ราวกับกำลังคว้าฟางเส้นสุดท้าย และอ้อนวอนอย่างน่าเวทนา “ข้าขอร้อง ท่านอย่าฆ่าเหมาเหมาเลย มันไม่รู้เรื่อง อีกทั้งมันเป็นเพื่อนคนเดียวของข้า ขอท่านเมตตาสักครั้ง"
เมื่อเห็นเทียนโฮ่วไม่สนใจ เด็กน้อยก็เริ่มร้องไห้สะอึกสะอื้น "หากอยากลงโทษมาลงที่ข้าก็ได้ ข้าทำแขนองค์ชายรองบาดเจ็บ ท่านก็ฟันแขนข้าสักครั้งถือว่าข้าชดใช้ได้หรือไม่ อย่าฆ่ามันเลย"
เทียนโฮ่วมองเยี่ยนหรงด้วยแววตาเกลียดชัง หากสามารถฟันแขนเด็กนี่ได้สักทีสองทีทำไมนางจะไม่อยากทำ นางอยากจะฆ่านังเด็กปีศาจนี่ให้ตายเสียด้วยซ้ำ
"ฆ่ามัน!" เทียนโฮ่วสั่งเทพองครักษ์เสียงดัง ไม่ได้เกิดความสงสารแม้แต่น้อย
เทพองครักษ์ได้ยินคำสั่งก็ถือโซ่วิเศษลากเหมาเหมาออกไป
เยี่ยนหรงอ้อนวอนไม่สำเร็จก็รั้นจะวิ่งตามไปปกป้องเหมาเหมา แต่ก็ถูกเทพรับใช้จับตัวเอาไว้ นางดิ้นอย่างสุดแรง มิได้สนใจหินบนพื้นที่บาดแขนขาจนเป็นแผลมากมาย
เมื่อร่างถูกจับกดลงกับพื้นอีกครั้งจึงไม่สามารถดิ้นรนได้อีก เยี่ยนหรงน้อยได้แต่มองเหมาเหมาถูกลากออกไป ปากก็ร้องเรียกมันอย่างไร้ประโยชน์
เหมาเหมามองกลับมาที่นางเช่นกัน มันทำตาละห้อย ร้องง่าวเบาๆ เป็นการบอกลา
เยี่ยนหรงน้อยเห็นดังนั้นก็ยิ่งร้องไห้เหมือนใจจะขาด ความสุขเดียวที่นางมีบนแดนสวรรค์แห่งนี้ เพื่อนคนเดียวของนางกำลังจะตายทั้งที่ไม่สมควร และตัวนางเอกก็ไม่มีความสามารถ ไม่อาจช่วยอะไรได้เลย
ดาบเล่มใหญ่ฟันลงมาใส่เหมาเหมาอย่างไร้ความปรานี นางอยากจะกรีดร้องเสียงดังแต่ก็ร้องไม่ออก ได้แต่เบิกตามองภาพตรงหน้าไม่อาจขยับเขยื้อน
เยี่ยนหรงที่ผ่านเหตุการณ์เหล่านั้นมาแล้วยืนมองฉากตรงหน้าอย่างซึมเซา คนอื่นทยอยเดินจากไปแล้ว ทิ้งให้เยี่ยนหรงน้อยนั่งตัวสั่นบนพื้นหินเย็นเฉียบอยู่อย่างนั้น
นางไม่อยากมองภาพเหตุการณ์ตรงหน้าอีก ดวงตาหลับลงช้าๆ จำได้ว่าหลังจากเหตุการณ์นั้นนางก็เก็บตัวอยู่แต่ในตำหนักของตัวเองไม่ออกไปไหน นอนร้องไห้คนเดียวอยู่หลายวัน หลังจากเทียนตี้รู้เรื่องจึงส่งภูตดอกบัวเฉินเซียงมาเป็นเทพรับใช้ประจำตัวของนาง อยู่เป็นเพื่อนนางมิให้โดดเดี่ยวอีกต่อไป
เยี่ยนหรงลืมตาขึ้นมาอีกครั้งก็พบว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียงไม้ในห้องเล็กแคบห้องหนึ่ง ดวงตาหรี่ลงเล็กน้อยเพราะยังไม่ชินกับแสงอาทิตย์ที่สาดส่องเข้ามาทางหน้าต่าง นอนนึกอยู่ครู่หนึ่งจึงจำได้ว่านี่ไม่ใช่การตื่นขึ้นมาทุกเช้า ไม่ใช่การตื่นขึ้นมาจากอาการป่วยหรือบาดเจ็บ แต่นางได้ตายไปแล้วนี่นา! ตอนนั้นทั่วบริเวณหิมะขาวโพลน ท้องฟ้าสีเทาหม่น นางถูกเวยเจี๋ยใช้กริชผลึกน้ำแข็งแทงทะลุหัวใจ ดวงจิตแตกสลายไปแล้วมิใช่หรือ
หรือว่าวิญญาณยังไม่ถึงคราวแตกดับจึงมาเกิดใหม่แล้ว
เมื่อยกมือทั้งสองข้างขึ้นมองก็พบว่าเป็นมือคู่เดิม มิใช่มือของเด็กแรกเกิด
นางยันตัวลุกขึ้นนั่งมองไปรอบๆ กลับไม่พบใครสักคน มีเพียงกระจกเงาบานหนึ่งตั้งอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้ง นางลุกจากเตียงด้วยความยากลำบาก ใช้เวลาไม่น้อยกว่าแขนขาจะเข้าที่ แล้วจึงเดินไปที่หน้ากระจกเงาบานเล็กนั้น
หญิงสาวที่ปรากฏในคันฉ่องมีดวงตาดอกท้อที่ทั้งเย้ายวนและงดงาม คิ้วเรียวยาวรับกับใบหน้ารูปไข่กลมกลึงเนียนละเอียด จมูกเรียวโด่งน่าเอ็นดู ริมฝีปากอวบอิ่มมีสีแดงเรื่อน้อยๆ นี่ก็คือใบหน้าที่แท้จริงของเยี่ยนหรง ใบหน้าจริงที่นางเองก็เกือบจะลืมไปแล้ว