ผัวะ!
ช่อมาลีฟาดกระเป๋าสะพายใส่หลังน้องชายไม่แรงนักเพราะไม่ได้ตั้งใจจะทำให้เจ็บ แต่แค่อยากให้รู้ว่าเธอเหลืออดแล้วจริง ๆ และเขตไทก็คงรู้ว่าพี่สาวกำลังโกรธมากจึงไม่คิดโต้เถียง หรือหลบเลี่ยงเวลาที่อีกฝ่ายฟาดลงมา
“ไอ้เขต! แกจะทำตัวให้มันดีกว่านี้หน่อยไม่ได้หรือไง ไม่สงสารตัวเองก็สงสารแม่บ้าง วัน ๆ เอาแต่ก่อเรื่องเดือดร้อนไม่ได้หยุดได้หย่อน อีกไม่กี่เดือนก็จะจบปวช. อยู่แล้ว หัดคิดเสียบ้างว่าจะทำยังไงกับชีวิตต่อ ไม่ใช่เอาแต่หาเรื่องมาให้”
เธอทรุดตัวลงนั่งกับโซฟาอย่างอ่อนแรง ในขณะที่ช่อฟ้าตบที่แขนของบุตรชายเบา ๆ เป็นเชิงบอกให้รีบเข้าห้องนอนไป
“ผมรู้น่าว่ากำลังทำอะไรอยู่ พี่อย่าบ่นนักได้ไหม”
นอกจากจะไม่ทำตามที่มารดาบอกแล้ว เด็กหนุ่มยังเปิดปากเถียงพี่สาวพร้อมกับชักสีหน้ารำคาญเต็มทน
“จะไม่ให้ฉันบ่นได้ยังไง ฉันหมดกับแกไปตั้งเท่าไรแล้วหา! ไอ้เขต แกเคยคิดบ้างไหมว่าทุกวันนี้ฉันต้องทำงานงก ๆ เพื่อหาเงินมาเป็นค่าปรับ ค่าประกันตัวให้แกเนี่ย เดือนนี้ก็สามหมื่นเข้าไปแล้วนะ”
ช่อมาลีแหวขึ้นเสียงดังอย่างอดไม่ได้เมื่อเห็นสีหน้าเบื่อหน่ายของน้องชาย นึกอยากจะเข้าไปตบหน้าขาว ๆ นั่นสักที เผื่อเจ้าน้องชายตัวดีจะมีสติคิดได้บ้าง แต่ก็รู้ดีว่าเขตไทกำลังอยู่ในช่วงวัยรุ่นเลือดร้อน อารมณ์รุนแรง หากเธอลงไม้ลงมือกับน้องชาย เดี๋ยวจะพานได้เตลิดเปิดเปิงไปกันใหญ่
“พอ ๆ พอกันได้แล้ว มาลีพอได้แล้วลูก อย่าไปว่าน้องมันเลยนะ เขตเข้าห้องไปได้แล้วลูก เร็วสิ!”
ช่อฟ้าเข้ามาห้ามทัพสองพี่น้อง ก่อนจะใช้มือดันหลังบุตรชายให้เดินเลี่ยงออกไปจากตรงนั้น เขตไทจึงเดินออกไปอย่างเสียไม่ได้
ช่อฟ้ามองตามหลังบุตรชายจนร่างผอมเก้งก้างของเขตไทผลุบหายเข้าไปในห้อง ตามมาด้วยการปิดประตูเสียงดังสนั่นบ้าน จึงหันมาทางบุตรสาวบ้าง เห็นช่อมาลีถอดแว่นสายตาวางไว้บนโต๊ะ พอดีกับที่หยาดน้ำตาร่วงพรูลงมาไหลอาบแก้มทั้งสองข้าง
“แม่...หนูจะไม่ไหวแล้วนะ เงินเก็บที่หนูมีอยู่ก็แทบหมดแล้ว มีติดบัญชีอยู่ไม่ถึงหมื่นเลยด้วยซ้ำ นี่ยังดีนะที่ได้งานใหม่ แล้วถ้าหนูตกงานขึ้นมาจะทำยังไง ถ้าไอ้เขตมันเอาแต่หาเรื่องเดือดร้อนมาให้อย่างนี้น่ะ”
ช่อมาลีพูดไปร้องไห้ไปจนคนเป็นแม่เห็นแล้วอดร้องไห้ตามไปด้วยไม่ได้ รู้ว่าบุตรสาวคนโตท้อแท้ และเหน็ดเหนื่อยแค่ไหน แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะลำพังแค่ขายก๋วยเตี๋ยวอยู่ที่หน้าบ้านไปวัน ๆ รายได้ส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นค่าใช้จ่ายในบ้าน รวมไปถึงเงินรายวันที่ให้เขตไทติดตัวไปโรงเรียน โชคดีที่บ้านไม่ต้องเช่า และไม่มีหนี้สิน มิเช่นนั้นคงได้ลำบากกว่าที่เป็นอยู่นี้แน่
“น้องมันยังเด็ก เดี๋ยวสักวันมันก็คงคิดได้ แม่ก็ปรามมันแล้วไม่ใช่ว่าไม่ปราม แต่วัยรุ่นแถวบ้านเรามันก็มีแต่อย่างนี้ แล้วจะให้แม่ทำยังไงมาลีเอ๊ย พูดแล้วก็คิดถึงพ่อเอ็ง ถ้าพ่อเอ็งอยู่ เขตมันคงไม่เป็นอย่างนี้”
มือหยาบย่นของช่อฟ้ายกขึ้นปาดน้ำตาที่ไหลลงมาอย่างลวก ๆ ใจกระหวัดคิดไปถึงสามีผู้ล่วงลับ ไม่ต่างจากช่อมาลีที่กำลังคิดถึงบิดาผู้จากไป
ไม่มีใครรู้ว่าเบื้องหลังบานประตูที่เพิ่งปิดลงไป มีเขตไทยืนพิงประตูหลับตานิ่ง ปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาเงียบ ๆ เพียงลำพัง เขาล้วงดึงสร้อยคอออกมาจากเสื้อเชิ้ตแล้วกำไว้ในมือแน่น สร้อยสแตนเลสนั้นห้อยพระไว้ด้านหนึ่ง อีกด้านนั้นเป็นรูปชายวัยกลางคนในเครื่องแบบตำรวจเต็มยศดูงามสง่า
เขตไทนั่งหลับตานิ่งปล่อยให้น้ำตาไหลออกไปเรื่อย ๆ โดยไร้เสียงสะอื้น เขายึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่เลือกแล้ว และไม่มีวันเปลี่ยนใจ ได้แต่หวังว่าพี่สาวกับมารดาจะเข้าใจในสิ่งที่เขาทำสักวันหนึ่ง...ถ้าหากเขาไม่ตายไปเสียก่อน
ช่อมาลีเดินเอื่อยเฉื่อยมายืนรอลิฟต์ร่วมกับพนักงานคนอื่น ๆ หญิงสาวส่งยิ้มทักทายพนักงานหลายคนที่ยืนรอด้วยกันอย่างเป็นมิตร เพราะเริ่มรู้จักหน้าค่าตากันมาบ้างแล้วว่าเธอเป็นเลขานุการคนใหม่ของท่านประธานพชร
เมื่อขึ้นมาถึงชั้นบนสุด ช่อมาลีวางกระเป๋าสะพายไว้บนโต๊ะทำงาน ก่อนจะเดินไปเคาะประตูห้องของผู้เป็นนาย เมื่อไม่มีเสียงตอบรับจากด้านในจึงถือวิสาสะเปิดเข้าไปเอง หญิงสาวชะโงกหน้าเข้าไปข้างในแล้วก็พบกับความว่างเปล่า จึงตัดสินใจปิดประตูไว้ตามเดิม
ระหว่างที่กำลังจะหมุนตัวเพื่อเดินกลับไปยังโต๊ะทำงานของตนเอง ใบหน้าของช่อมาลีก็ชนเข้ากับกำแพงแผงอกของใครบางคนเข้าอย่างจัง จนใบหน้าทั้งหน้าแทบจะฝังลงไปกับคอเสื้อของเขาคนนั้น
“เฮ้ย!”
หญิงสาวตกใจจนหลุดอุทานออกมาด้วยความเคยชิน รีบยกมือขึ้นมาเป็นปราการกั้นตนเองกับเขาไม่ให้สัมผัสโดนหน้าอกของเธอได้ ครั้นจะรีบผละออกมาก็ติดที่มือของใครคนนั้นกำลังเกาะกุมสะโพกกลมกลึงของเธออยู่อย่างหลวม ๆ แถมยังไม่มีทีท่าว่าจะถอยห่างออกไปแม้แต่น้อย
“มาแต่เช้าเชียวคุณช่อ ผมนึกว่าวันนี้คุณจะเข้าสายเสียอีก”
พชรเอ่ยทักทายขึ้นก่อนด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง พลางค่อย ๆ ปล่อยมือออกจากสะโพกของเธอเมื่อเห็นว่าหญิงสาวยืนได้มั่นคงแล้ว มุมปากเขาแย้มยิ้มขึ้นมาเล็กน้อยเท่านั้น แต่นัยน์ตากลับแพรวพราวระยิบระยับจนคนมองนึกอยากจะเอานิ้วจิ้มลูกตาออกมาโยนเล่นเสียเหลือเกิน
“ดิฉันกลัวรถติดน่ะค่ะเลยออกมาแต่เช้ามืด ว่าแต่ท่านประธานก็มาเช้าเหมือนกันนะคะ”
ช่อมาลีรีบก้าวถอยหลังยืนห่างออกไปเป็นวา พลางยกมือขึ้นขยับกรอบแว่นให้เข้าที่เข้าทาง พยายามอย่างยิ่งที่จะปรับสีหน้าให้นิ่งเฉย
“ผมก็กลัวรถติดเหมือนกัน เบื่อสี่แยกนรกก่อนถึงออฟฟิศนี้น่ะ เลยต้องรีบบึ่งมาแต่เช้า” เขาตอบพร้อมกับเดินเอามือล้วงกระเป๋ากางเกงเข้าไปในห้องทำงานของตนเอง จากนั้นไปหยุดยืนพิงสะโพกไว้กับโต๊ะทำงาน แล้วยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูเวลา
“คุณกินข้าวเช้ารึยัง”
“ยังค่ะ ว่าจะมาซื้อกินแถวหน้าตึกนี้เหมือนกัน”
“งั้นดีเลย ซื้อโจ๊กเผื่อผมด้วยนะ ใส่ทุกอย่าง ขอขิงเยอะหน่อย เอาปาท่องโก๋ด้วย เอาเงินนี่ไป คุณจะกินอะไรก็ซื้อมาละกัน เดี๋ยวมากินด้วยกันบนห้องนี่แหละ”
ชายหนุ่มล้วงหยิบกระเป๋าสตางค์ขึ้นมาแล้วหยิบเอาธนบัตรใบละห้าร้อย และใบละร้อยออกมายื่นให้อย่างละใบ แต่ช่อมาลีหยิบไปแค่ใบละหนึ่งร้อยบาทใบเดียว
“ร้อยเดียวก็อยู่แล้วค่ะท่านประธาน จะเหลือเสียด้วยซ้ำ”
ช่อมาลีอมยิ้ม นึกขำเจ้านายตนเอง นี่เขาคงไม่เคยได้ย่างกรายลงไปเดินเที่ยวเตร็ดเตร่ข้างล่างเลยกระมัง ถึงได้ไม่รู้ราคาอาหารหน้าตึกของตนเอง
“งั้นก็ตามใจ เร็วหน่อยล่ะ ผมหิว...”
พชรยืนยิ้มมองดูร่างระหงของเธอเดินออกจากห้องไปจนกระทั่งประตูปิดลง อดคิดไม่ได้ว่าถ้าเขาบังคับจับเลขาฯ ของตนเองมาแต่งหน้าแต่งตัว จะเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลของลูกน้องเกินไปรึเปล่า แต่เขาก็อยากเห็นช่อมาลีในมุมอื่นดูบ้าง อยากจะรู้นักว่าถ้าเธอแต่งออกมาแล้วจะสวยบาดจิตบาดใจเหมือนนักร้องสาวพราวเสน่ห์คนนั้นหรือไม่
คิดถึงแม่ผีเสื้อราตรีแสนสวยนั่นทีไร เขาก็นึกไม่ออกสักทีว่าจะมีวิธีไหนบ้างที่จะเข้าหาเธอได้โดยไม่ให้ดูเป็นการหว่านพืชหวังผลมากเกินไป
...อยากให้ถึงวันศุกร์เร็ว ๆ จัง
รอไม่นานนัก ช่อมาลีก็เดินเข้ามาในห้องพร้อมกับถุงอาหาร และชามสำหรับใส่โจ๊ก หญิงสาววางทั้งหมดลงบนโต๊ะตัวยาว จัดแจงแกะถุงโจ๊กแล้วเทใส่ชามให้เขา ตามด้วยจัดปาท่องโก๋ใส่จานใบเล็ก กลิ่นหอมฉุยของมันเรียกให้พชรลุกขึ้นเดินเข้ามาทันที ชายหนุ่มหย่อนตัวลงนั่งพร้อมกับหยิบปาท่องโก๋ใส่ปากเคี้ยวตุ้ย ๆ
“เดี๋ยวดิฉันออกไปเอากาแฟมาให้นะคะ”