ชายหนุ่มพยักหน้าให้ หญิงสาวจึงเดินออกไปจากห้อง เขาเพิ่งสังเกตเห็นว่าบนโต๊ะมีแต่ชามของเขาแค่คนเดียว แต่ไม่มีของช่อมาลี เขาจึงลุกขึ้นเดินออกจากห้องแล้วตรงไปที่โต๊ะทำงานของเลขาฯ ส่วนตัว
แล้วก็เป็นดังคาดเมื่อเห็นชามเปล่าวางไว้คู่กันกับถุงโจ๊กบนโต๊ะ พชรหยิบมันติดมือเดินกลับเข้าห้องไปทันทีโดยไม่ต้องเสียเวลาคิดนาน ก็ในเมื่อวันนี้เขาตั้งใจจะมากินมื้อเช้ากับเธอ แล้วเรื่องอะไรที่เขาจะต้องมานั่งกินอยู่คนเดียวในห้องกันเล่า
“กาแฟได้แล้วค่ะ”
ช่อมาลีเดินถือถาดใส่แก้วกาแฟเข้ามาในห้อง พอวางลงบนโต๊ะตรงหน้าพชรแล้วถึงได้เห็นชามของตนเองวางอยู่ตรงข้ามกับที่นั่งของเขา
“ผมแค่ไม่อยากนั่งกินคนเดียว อุตส่าห์ให้คุณไปซื้อมาให้ก็เพื่อจะมานั่งกินด้วยกัน คุณจะแยกไปกินคนเดียวหน้าห้องทำไมล่ะ รังเกียจผมหรือไงคุณช่อ” พชรแกล้งพูดเย้าหญิงสาว ทำเอาช่อมาลีส่ายหน้าหวือ
“เปล่านะคะ ไม่ได้รังเกียจ ดิฉันก็แค่เกรงใจ นึกว่าท่านประธานอยากจะนั่งกินคนเดียวเงียบ ๆ”
“ถ้าผมอยากนั่งกินคนเดียวเงียบ ๆ คงไม่มานั่งกินที่ออฟฟิศหรอกครับคุณช่อ”
พชรผายมือเชื้อเชิญให้คนตรงหน้านั่ง ช่อมาลีจำต้องนั่งลงอย่างเกรงใจ จากนั้นจึงจัดการกับอาหารตรงหน้าตนไปเงียบ ๆ
“ผมไม่รู้ว่าคุณลองปาท่องโก๋เจ้านี้รึยัง ผมว่ามันอร่อยมากเลยนะ ลองดูสิ” อยู่ดี ๆ พชรก็หย่อนปาท่องโก๋ลงไปในชามโจ๊กของหญิงสาว ทำเอาช่อมาลีวางหน้าไม่ถูก ได้แต่อ้อมแอ้มขอบคุณเขาเบา ๆ แล้วก็ก้มหน้าก้มตากินโจ๊กของตนเองต่อ
“คุณเคยเที่ยวกลางคืนบ้างไหม”
คำถามแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยของพชรทำเอาช่อมาลีแทบสำลักโจ๊ก เธอไอโขลก ๆ จนหน้าแดงก่ำ รีบลุกขึ้นวิ่งออกไปจากตรงนั้นโดยเร็วจนมาหยุดอยู่หน้าห้องน้ำ กว่าจะหยุดอาการไอทรมานได้ก็เล่นเอาหายใจหายคอแทบไม่ทัน
“บ้าจริง! ถามออกมาได้...หรือเขาจะรู้แล้วนะ”
ช่อมาลีถอดแว่นวางไว้บนเคาน์เตอร์ ก่อนก้มหน้าวักน้ำขึ้นมาลูบหน้าลูบตาตนเอง เช็ดให้แห้งแล้วใส่แว่นกลับเข้าไปตามเดิม หญิงสาวมองตนเองในกระจกทั้งเอียงซ้ายเอียงขวา มั่นใจว่าพชรไม่มีทางจำได้แน่นอน บางทีเธอคงกังวลมากเกินไป
ช่อมาลีเดินกลับเข้าไปในห้องทำงานอีกครั้ง เห็นพชรนั่งเอนหลังอยู่บนเก้าอี้ และกำลังมองมาทางนี้พอดี
“เป็นยังไงบ้างคุณช่อ ผมถามแค่นี้ถึงกับสำลักเลยหรือ” ชายหนุ่มหัวเราะขลุกขลักในลำคอ พลางก้มลงหยิบปาท่องโก๋ใส่ปากอีกชิ้นหนึ่ง
“จู่ ๆ ถามมาอย่างงั้น ดิฉันก็ตกใจน่ะสิคะ”
หญิงสาวนั่งลงที่เดิมของตนเองแล้วยกแก้วน้ำขึ้นมาดื่มแก้เก้อ แต่ดูเหมือนพชรจะยังตั้งตารอคำตอบอยู่อย่างไม่ลดละ
“ก็แล้วเคยไปบ้างรึเปล่าล่ะ” ตาคมยังคงมองจ้องมาที่ใบหน้าขาวซีดของคนตรงหน้า ช่อมาลียิ้มแหยส่งให้ก่อนจะยกแก้วน้ำขึ้นจิบอีกครั้ง
“ไม่เคยไปเที่ยวหรอกค่ะ ลำพังแค่ทำงานกว่าจะกลับถึงบ้านก็เหนื่อยจะแย่อยู่แล้ว” เธอไม่ได้โกหกนะ แต่ไม่เคยเที่ยวจริง ๆ เพราะทุกครั้งที่ไป เธอไปทำงานต่างหากล่ะ
“สนใจอยากลองไปบ้างไหมล่ะ ผมมีหุ้นส่วนอยู่ที่คลับซุส ไม่รู้ว่าคุณเคยรู้จักไหม คุณเป็นเลขาฯ ของผม บางทีคุณควรจะรู้เอาไว้บ้างว่านอกจากที่นี่แล้ว ผมยังมีคลับอีกแห่งที่ต้องบริหารเหมือนกัน”
ชายหนุ่มพูดไปเรื่อย ๆ โดยที่ไม่ได้สังเกตสีหน้าของอีกฝ่ายที่เม้มปากแน่นเพื่อกลั้นยิ้ม เมื่อรู้สึกว่าเริ่มจะกลั้นไว้ไม่ไหว เธอจึงจัดการยัดปาท่องโก๋ชิ้นโตเข้าปากเสียเลย
“คืนนี้เลยเป็นไง คืนนี้คุณต้องไปไหนรึเปล่า”
ชายหนุ่มยกกาแฟขึ้นดื่มแล้วก็รู้สึกพอใจที่รสชาติได้ตามอย่างที่เขาต้องการ ในขณะที่หญิงสาวทำตาโตอยู่หลังแว่นสายตา ปากก็รีบเคี้ยวอาหารในปากให้หมดเร็ว ๆ
...ไม่ได้! คืนนี้ต้องไปให้ปากคำที่สถานีตำรวจ
“คืนนี้ไม่ได้หรอกค่ะ เผอิญว่าคืนนี้ดิฉันนัดกับเพื่อนเอาไว้ มีงานเลี้ยงวันเกิดที่บ้านเพื่อนน่ะค่ะ อีกอย่างนะคะ ดิฉันไม่ถนัดจริง ๆ เรื่องเที่ยวกลางคืนเนี่ย ขอบคุณนะคะท่านประธานที่อุตส่าห์ชวน”
“ไม่เป็นไร เอาไว้วันหน้าก็ได้ ความจริงแล้วการเที่ยวกลางคืนมันก็ไม่มีอะไรน่ากลัวอย่างที่คิดหรอก คลับของผมมีแต่คนมีระดับมาเที่ยว ไม่มีพวกเกเรหรือพวกกุ๊ยแน่นอน”
...แต่มีคนตายตั้งหนึ่งคน แถมยังจับคนร้ายไม่ได้อีกต่างหาก...
ช่อมาลีแอบต่อประโยคในใจ
“ค่ะ...เอาไว้โอกาสหน้าก็แล้วกัน” หญิงสาวตอบรับเสียงอ่อย แล้วก็แทบสะดุ้งกับประโยคถัดมาของเขา
“วันศุกร์เสาร์อาทิตย์จะมีวงดนตรีเล่นสด วงนี้ชื่อเสียงเขาดังมากโดยเฉพาะนักร้องนำ ไม่รู้เป็นไงนะ แต่ผมว่าผู้หญิงคนนั้นที่เป็นนักร้องนำน่ะ ดูคล้ายคุณยังไงก็ไม่รู้สิ”
พชรพูดไปก็นึกเปรียบเทียบไป แต่ถึงแม้จะดูคล้ายกันแค่ไหน ทว่าบุคลิกของผู้หญิงสองคนนี้กลับแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ช่อมาลีดูเปิ่น ๆ ขี้ตื่นตกใจ แต่เวลาทำงานกลับฉลาด และเอาจริงเอาจัง ในขณะที่อีกคนหนึ่งนั้น เขายังไม่รู้นิสัยใจคอเพราะยังไม่เคยคุยด้วยสักครั้ง แต่เท่าที่ดูจากภายนอกแล้ว ม็อทดูค่อนข้างมั่นใจในตัวเองสูงทีเดียว ทั้งยังดูลึกลับน่าค้นหาไปเสียทุกซอกทุกมุม
เหงื่อเม็ดเป้งผุดขึ้นที่ไรผมของช่อมาลี เธอรีบเก็บถุงอาหาร และชามโจ๊กรวบเข้าไว้ด้วยกันเพื่อเอาไปเก็บที่ห้องแคนทีนเป็นการตัดบทสนทนา นึกอยากให้เขารีบออกจากบทสนทนาอันน่าอึดอัดนี่เสียที เพราะเธอเองก็เกรงว่าจะหลุดพูดอะไรที่เป็นการเปิดเผยตัวตนออกไป
“ดิฉันขอตัวเอาชามไปเก็บนะคะ”
ช่อมาลีคว้าชามได้ก็เผ่นแผล็วออกจากห้องไปทันที ทิ้งให้คนข้างหลังมองตามด้วยสายตายิ้มได้ จากนั้นจึงเดินไปนั่งที่โต๊ะทำงานตัวใหญ่แล้วจมจ่อมอยู่กับหน้าจอโน้ตบุ๊ก
ช่อมาลีกับเพื่อนในวงเดินเข้าไปในสถานีตำรวจที่สารวัตรจุมพลสังกัดอยู่ เมื่อแจ้งความจำนงค์กับเจ้าหน้าที่เวรแล้ว เขาก็พาทุกคนเข้าไปนั่งรอในห้อง ห้องนั้นมีโต๊ะตัวยาวกับเก้าอี้วางเรียงกันอยู่ฝั่งละสี่ตัว หัวโต๊ะด้านละตัว คริสเลือกนั่งตัวที่อยู่ใกล้หัวโต๊ะมากที่สุด ตามมาด้วยจิล ช่อมาลี และว่านเรียงตามลำดับกันไป รอไม่นานนักสารวัตรจุมพลก็เดินเข้ามาพร้อมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจอีกสองนายเพื่อบันทึกการให้ปากคำ
สารวัตรหนุ่มนั่งลงที่หัวโต๊ะ เจ้าหน้าที่อีกสองคนจึงนั่งอีกฝั่ง และเมื่อเห็นว่าทุกคนเตรียมพร้อมกันแล้ว สารวัตรจึงเริ่มเปิดประเด็นซักถามทันที โดยเขาพุ่งเป้าไปที่นักร้องนำหญิงของวงก่อนเป็นคนแรก
“จากการตรวจสอบที่เกิดเหตุ เราพบรอยรองเท้าบูตส้นสูงของผู้หญิงที่เหยียบถูกเลือดของเหยื่อเข้า เป็นรองเท้าของคุณใช่ไหมครับ”
จุมพลพูดด้วยน้ำเสียงเนิบนาบเพราะไม่ต้องการให้ผู้ถูกสอบปากคำต้องตื่นเต้น หรือรู้สึกกดดันมากเกินไป
“ใช่ค่ะ ของดิฉันเอง” ช่อมาลีตอบเสียงแผ่ว เพราะรู้ตัวว่าผิดที่ไม่ยอมแจ้งความตั้งแต่แรก
“รองเท้าคู่นั้นยังอยู่รึเปล่าครับ หรือเอาทิ้งไปแล้ว”
สารวัตรถามหยั่งเชิงทั้งที่คาดเดาเอาไว้ว่าเจ้าตัวน่าจะทิ้งไปแล้ว รองเท้าที่เหยียบเลือดคนตายมา โดยส่วนใหญ่ไม่มีใครเก็บเอาไว้กับตัวแน่นอน
“อะ...เอาทิ้งไปแล้วค่ะ ขอโทษด้วยค่ะ ดิฉันกลัวนี่นา” หญิงสาวทำหน้าหงอยพลางหันมองคริส หัวหน้าวงที่นั่งกอดอกไม่พูดไม่จา
“จริง ๆ แล้วผมกับเธอเป็นคนพบศพคนแรกครับ ผมเห็นม็อทเขาเหยียบอะไรมาเลยเอาไฟฉายส่องดูถึงได้รู้ว่าเป็นเลือดก็เลยลองกลับไปดูตรงที่ม็อทเดินผ่านอีกรอบ แล้วก็เจอศพ ผมเลยบอกเธอไปว่าถ้าหากพรุ่งนี้ยังไม่มีคนพบศพ ผมจะเป็นคนมาแจ้งความด้วยตัวเอง”
คริสตัดสินใจเล่าตามความเป็นจริงที่คุยกันเอาไว้กับช่อมาลีเมื่อวันก่อน