บทที่ 4 เจ้าช่อมาลี - 70%

1774 Words
พชรยืนกอดอกเอาสะโพกพิงไว้กับโต๊ะทำงาน มองท่าทีประหม่าลนลานเดินออกจากห้องของเลขาฯ แล้วก็ให้นึกขำ ยิ่งเห็นใบหน้านั้นขึ้นสีระเรื่ออย่างน่าเอ็นดู เขาก็นึกอยากแกล้งจับมือเธอให้มาสัมผัสที่เนื้อแท้ตัวเป็น ๆ ของเขาเสียเลย อยากรู้นักว่าจะทำหน้าอย่างไรถ้าเจอเหตุการณ์นั้น สงสัยคงขอลาออกแทบไม่ทันเป็นแน่! ช่อมาลีเดินเข้ามาในแคนทีน เธอเหลียวซ้ายมองขวา เมื่อเห็นว่าไม่มีใครจึงกำมือไว้แน่นทั้งสองข้าง ทำท่ากรี๊ดแบบไม่มีเสียงด้วยความอัดอั้น “อี๊...อีตาบ้า...หน้าไม่อาย หนอย...รู้จักช่อมาลีน้อยไปซะแล้ว” บ่นเขาลับหลังเสร็จก็หันมองหน้าหลังอีกครั้ง ถึงแม้ทั้งชั้นนี้จะมีแค่เธออยู่เพียงคนเดียวก็ตาม โต๊ะของเธอตั้งอยู่ด้านนอกหน้าห้องของท่านประธานหนุ่ม โชคดีที่ผนังห้องของเขาเป็นแบบทึบ ไม่ใช่กระจกที่สามารถมองออกมาเห็นภายนอกได้ มิเช่นนั้นเขาคงได้เห็นท่าทางประหลาดของเธอแน่ เธอเห็นสายตาเจ้าเล่ห์ของพชร เขาจงใจยั่วให้เธอได้อาย ทำแบบนี้ถือเป็นการแกล้งกันชัด ๆ เห็นทีคงต้องประเมินผู้ชายคนนี้เสียใหม่ เขาไม่ใช่เจ้านายมาดนิ่งอย่างที่เข้าใจตั้งแต่แรก แต่เขาเป็นพรานล่าเนื้อ เป็นเพลย์บอยตัวร้ายที่ขึ้นชื่อลือชาในตอนกลางคืน คิดแล้วก็ให้นึกหวั่นใจ จำได้ว่าคืนนั้นเขาจ้องเธอแทบไม่วางตา ถึงแม้จะไม่มีทีท่าเจ้าชู้กรุ้มกริ่มใส่ แต่เธอรู้ดีว่าภายใต้หน้ากากที่แสนเย็นชาเรียบเฉยนั้น ซุกซ่อนคมเขี้ยวไว้แพรวพราวแค่ไหน เห็นทีคืนวันศุกร์ที่จะถึงนี้คงต้องระมัดระวังตัวเสียหน่อยแล้ว ช่อมาลีเดินถือถาดใส่แก้วกาแฟเข้ามาในห้อง เห็นชายหนุ่มทำหน้านิ่วคิ้วขมวดขณะก้มลงอ่านเอกสารในมือ ก็อดมองลอดแว่นไปดูเอกสารตรงหน้าเขาไม่ได้ หรือเธอจะทำอะไรผิดพลาด เขาถึงได้ทำหน้าอย่างนั้น “มีอะไรผิดพลาดหรือคะท่านประธาน” หญิงสาววางแก้วกาแฟลงบนโต๊ะตรงหน้าเขา แล้วทรุดตัวลงนั่งฝั่งตรงข้าม “เปล่าหรอก ไม่มี คุณทำงานได้ดีแล้วคุณช่อ เพียงแต่ผมกำลังคิดว่าถ้าเรานำเข้ารถอีกรุ่น โดยเน้นกลุ่มเป้าหมายไปที่พวกนักศึกษา หรือพนักงานบริษัทที่ระดับเงินเดือนธรรมดา ๆ แต่สามารถผ่อนรถได้ คุณคิดว่าเป็นยังไง” พชรลองเลียบเคียงถามความเห็นของเลขาฯ คนใหม่ เขาอยากรู้ว่าหญิงสาวจะมีความคิดเห็นอย่างไรบ้างกับบริษัทของเขาที่นำเข้ารถหรูระดับสิบล้านบาทขึ้นไปเท่านั้น แต่ถ้าหากว่าบริษัทจะเปิดอีกไลน์ซึ่งก็คือการนำเข้ารถรุ่นธรรมดาที่สามารถซื้อหาได้ทั่วไปเพื่อเพิ่มยอดขาย หญิงสาวนิ่งคิดไปชั่วอึดใจ ก่อนจะตอบออกมาด้วยความคิดเห็นที่ไตร่ตรองมาเป็นอย่างดีแล้ว “อืม...ดิฉันว่าไม่ควรนะคะท่านประธาน” “ทำไมล่ะ” พชรควงปากกาในมือเล่น มองหญิงสาวตรงหน้าด้วยสายตายิ้มได้ พร้อมกับเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ “ก็ในเมื่อบริษัทของเรานำเข้าแต่รถหรู เราก็ควรที่จะต้องรักษาระดับความเป็นมาตรฐานเอาไว้ค่ะ เพราะถ้าหากเรานำเข้ารถรุ่นธรรมดาเข้ามา ดิฉันเกรงว่ามันจะดู...เอ่อ...จับฉ่ายเกินไปหน่อย” ท้ายประโยคเธอพูดเสียงแผ่ว นิ้วเรียวดันกรอบแว่นให้เข้าที่ทั้งที่มันก็อยู่ตรงตำแหน่งของมันดีอยู่แล้ว “แล้ว...” พชรถามต่อ เพราะดูเหมือนหญิงสาวจะพูดอะไรเพิ่มเติม “แต่ถ้าต้องการเพิ่มไลน์ขึ้นมาจริง ๆ ดิฉันว่าน่าจะเปิดอ**บริษัทเลยดีกว่า เป็นบริษัทในเครืออีกทีหนึ่งน่ะค่ะ” พอฟังจบ ชายหนุ่มเอียงคออมยิ้ม รู้สึกพึงพอใจกับคำตอบที่ได้รับ เพราะมันเป็นสิ่งที่เขากำลังคิดอยู่ในตอนนี้พอดี เลขาฯ ใหม่ของเขาคนนี้ใช้ได้เลยทีเดียว ทางด้านช่อมาลี เห็นเจ้านายนั่งอมยิ้มเอานิ้วเคาะโต๊ะเป็นจังหวะ ตาคมมองเอกสารในมือท่าทางเหมือนถูกอกถูกใจอะไรสักอย่าง หากแต่เธอก็ไม่กล้าถามอะไรมากนักเพราะอาจจะโดนเขาทดสอบอีก เมื่อครู่เธอรู้ว่าเขาลองภูมิ แต่คนอย่างช่อมาลีก็ใช่ว่าจะไปไม่เป็นกับคำถามง่าย ๆ แค่นั้น “คุณช่อ คุณไม่คิดจะถอดแว่นแล้วเปลี่ยนไปใส่คอนแท็กเลนส์บ้างหรือ” ช่อมาลีสะดุ้งโหยงที่จู่ ๆ เขาก็ถามออกมาโต้ง ๆ หญิงสาวทำหน้าเหลอหลามองเขาครู่หนึ่ง ก่อนจะก้มหน้างุดจนคางแทบชิดกับคอ “มะ...ไม่ดีกว่าค่ะ ดิฉันไม่ชอบใส่คอนแท็กเลนส์ ดิฉันถนัดใส่แว่นมากกว่า” ความรู้สึกของคนที่ทำผิดแล้วกลัวถูกจับได้เป็นอย่างไร เธอเพิ่งรู้สึกได้วันนี้นี่เอง ตอนนี้เริ่มไม่แน่ใจแล้วว่า ตกลงเขาจำเธอได้หรือไม่ “สะ...เสื้อผ้าของท่านประธานที่เลอะกาแฟเมื่อครู่ ดิ...ดิฉันเอาไปซักให้ก็ได้นะคะ เพราะดิฉันเป็นคนทำเลอะ” “หืม...คุณจะเอาไปซักให้ผมหรือ แน่ใจนะ” พชรเท้าแขนกับพนักเก้าอี้ มือข้างหนึ่งยกขึ้นมาลูบคางตนเองเล่นไปมา “ค่ะ ดิฉันซักให้ได้ค่ะ ดิฉันอยากรับผิดชอบที่ทำซุ่มซ่ามขนาดนั้น” หญิงสาวยืนยันด้วยน้ำเสียงหนักแน่น เพราะต้องการทำอย่างที่พูดจริง ๆ โดยที่ไม่รู้ว่าชายหนุ่มจะมีแม่บ้านคอยจัดการเรื่องพวกนี้ให้อยู่แล้ว “ก็ตามใจ แต่มันมีกางเกงในของผมด้วยนะ กาแฟเมื่อกี้มันหกรดไปจนถึง...กางเกงในของผมเลย” พชรแกล้งพูดเสียงยานคางเว้นวรรคเพื่อจงใจยั่วหญิงสาวให้ได้หน้าเห่อร้อนขึ้นมาอีกรอบ สองตาของเขาระยิบระยับขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นใบหน้าขึ้นสีระเรื่อของคนตรงหน้า ก่อนจะฉีกยิ้มกว้างให้ “หึ ๆ ไม่เป็นไรหรอกครับคุณช่อ ผมมีแม่บ้านมาจัดการให้อยู่แล้ว” ชายหนุ่มหัวเราะร่วนอย่างอารมณ์ดี ส่งผลให้ใบหน้านวลยิ่งแดงเถือกขึ้นอีกอย่างช่วยไม่ได้ “เอ่อ...ถ้าไม่มีอะไรแล้วดิฉันขอตัวออกไปนั่งที่โต๊ะทำงานด้านนอกนะคะ ถ้าท่านประธานมีอะไรจะเรียกใช้ดิฉันก็เรียกได้ตลอดเวลาเลยค่ะ” หญิงสาวลุกขึ้นยืนหันหลังกลับแล้วเดินไปที่ประตู แต่ก็ต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อได้ยินเสียงทุ้มเรียกชื่อเธอไว้ “คุณช่อ” “ค...คะท่านประธาน มีอะไรรึเปล่าคะ” ช่อมาลีหันไปมองหน้าเจ้านายอีกรอบ เห็นเขายกแก้วกาแฟขึ้นมา ใบหน้าหล่อเหลานั้นยิ้มกริ่มอย่างอารมณ์ดี “เปล่า...ผมแค่อยากจะบอกว่า ขอบคุณสำหรับกาแฟ รสชาติเริ่มใกล้เคียงแล้วล่ะ” เขายักคิ้วให้อย่างหยอกเย้าจนหญิงสาวต้องนับหนึ่งถึงสิบในใจ แล้วพยายามปั้นหน้ายิ้มส่งไปให้คนช่างแกล้ง “ไม่เป็นไรค่ะ มันเป็นหน้าที่ของดิฉันอยู่แล้ว” ช่อมาลีพูดจบก็เดินลิ่ว ๆ ออกจากห้อง ทิ้งให้ชายหนุ่มนั่งหัวเราะแบบไม่มีเสียงอยู่เพียงลำพังหลังโต๊ะทำงานตัวใหญ่ นัยน์ตาระยิบระยับพริบพราวเมื่อเห็นสีหน้าของเลขานุการคนใหม่ “สนุกดีแฮะ” เขาไม่เข้าใจตนเองเหมือนกันว่าทำไมถึงชอบแกล้งช่อมาลีนัก ทั้งที่เพิ่งเจอหน้ากันครั้งนี้ครั้งที่สอง กับเลขาฯ คนเก่าเขาไม่เคยเป็นแบบนี้ แต่กับช่อมาลี เขากลับรู้สึกอยากเห็นสีหน้าของเธอเวลาเปลี่ยนอารมณ์ไปมา เดี๋ยวซีดเดี๋ยวแดง เดี๋ยวทำหน้าเหวอ เดี๋ยวทำหน้างอ ดูแล้วมีสีสันไม่น่าเบื่อ จะเหลือก็แต่สีหน้าตอนมีอารมณ์อย่างว่า เขาอยากจะเห็นนักว่าเธอจะทำหน้าแบบไหนกัน ตอนที่ต้องนอนบิดกายอยู่ใต้ร่างของเขา ช่อมาลีเดินกระฟัดกระเฟียดมาที่โต๊ะ มาทำงานได้แค่สองวันยังเจอเขาแกล้งขนาดนี้ ถ้าอยู่ต่อไปนาน ๆ มีหวังได้เละเป็นโจ๊กแน่ ถ้าไม่ติดว่าที่นี่ให้เงินเดือนสูงกว่าที่อื่นละก็ เธอไม่มีทางเอาตนเองมาเสี่ยงกับตัวอันตรายอย่างนายพชรคนนี้เด็ดขาด เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นจากกระเป๋าสะพาย หญิงสาวล้วงไปหยิบมันขึ้นมาแล้วกดรับสายทันทีเมื่อเห็นรายชื่อคนที่โทร. เข้า “จ้ะแม่” ปกติช่อฟ้า มารดาของเธอจะไม่ค่อยโทรศัพท์มาเวลานี้นัก แต่ถ้าโทร. เข้ามาหา นั่นหมายความว่ามีเรื่องให้เธอต้องกลับไปสะสางแทบทุกครั้ง “มาลี! ช่วยน้องด้วยลูก เอ็งต้องช่วยน้องมันนะ” เสียงสั่นพร่ากระท่อนกระแท่นที่ส่งมาตามสาย ทำให้หญิงสาวต้องหลับตาลงอย่างอดกลั้นต่อสิ่งที่กำลังจะได้รับฟังจากผู้เป็นมารดาทันที น้องชายของเธอคงก่อเรื่องให้แม่ต้องร้องไห้อีกแล้ว ตลอดช่วงบ่าย ช่อมาลีเข้าประชุมกับพชรด้วยใจที่กังวลไปสารพัด ชายหนุ่มแนะนำเธอให้รู้จักกับผู้บริหารอีกหลายคนที่เข้าประชุมด้วยกันในฐานะของเลขานุการคนใหม่ หญิงสาวสังเกตสายตาหลายคนที่มองตรงมายังเธอด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย บางคนก็เฉย ๆ ไม่รู้สึกอะไร แต่บางคนก็ส่งสายตาชื่นชมมาให้เมื่อเห็นการแต่งกายที่ถูกระเบียบของเธอ ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะเป็นผู้หญิง ทว่าก็ยังมีสายตาปรามาสดูแคลนหลายคู่ที่มองมาอย่างเปิดเผย เพราะเธอนั้นอายุยังน้อย น่าจะอ่อนด้อยประสบการณ์ถ้าเทียบกับเลขานุการคนเก่า แต่พชรก็แสนดี เขาพูดแก้ต่างให้จนดูเหมือนปกป้องเธอจากผู้บริหารรุ่นลายครามทั้งหลายอย่างนุ่มนวล และมีชั้นเชิง ซึ่งนับเป็นครั้งแรกของวันเลยก็ว่าได้ที่หญิงสาวรู้สึกเทิดทูนเจ้านายของตนเองขึ้นมา หลังจากเลิกประชุมแล้ว พชรดูนาฬิกาเห็นว่าเลยเวลาเลิกงานมาเกือบครึ่งชั่วโมง เขาเหลือบมองไปยังเลขาฯ ส่วนตัวแล้วก็รู้สึกเหมือนเจ้าตัวจะมีเรื่องอะไรบางอย่างอยู่ในใจ เขาสังเกตได้ตั้งแต่ตอนเข้าประชุมแล้ว จะว่าเพราะประหม่าที่ต้องเจอผู้บริหารพร้อมหน้าพร้อมตาก็ไม่น่าจะใช่ และเขาก็ไม่คิดจะเก็บความสงสัยเอาไว้นานเสียด้วย
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD