บทที่ 1
มาเฟีย.. เป็นชื่อเรียกของกลุ่มสังคมที่ผิดกฎหมายอย่างลับ ๆ เชื่อกันว่าเกิดขึ้นครั้งแรกในช่วงกลางของศตวรรษที่ 18 ในเกาะซิซิลีประเทศอิตาลี จากนั้นจึงเริ่มแผ่กระจายไปยังสหรัฐอเมริกา แคนาดา และออสเตรเลีย
โดยดั้งเดิมแล้ว มาเฟีย คือ กลุ่มพันธมิตรในยุคกลางของอิตาลี ที่รวมตัวกันเพื่อต่อต้านชาวนอร์มันและชาวเติร์ก ต่อมาจึงกลายเป็นคำเรียกองค์กรลับต่าง ๆ ในอิตาลี หนึ่งในองค์กรลับ ๆที่เป็นที่กล่าวขาน คือ ตระกูลคาร์น
“ไอ้เหี้ยเค พ่อมึงมา” เสียงทุ้มลึกของชายหนุ่มวัยยี่สิบปีดังขึ้นที่หน้าประตูห้องเลคเชอร์วิชาบริหาร เขากดเสียงต่ำเพื่อบอกเพื่อนของเขาที่กำลังปิดเคสไอแพดลงหลังเรียนเสร็จ
“มึงหลอกกู” เควินตอบกลับเพื่อนเขาด้วยสีหน้ารำคาญในความกวนบาทาของเพื่อนเขาคนนี้ อาจจะเป็นเพราะเพื่อนเขาคนนี้มันจอมเจ้าเล่ห์ และชอบหลอกคนไปทั่ว
“รอบนี้กูพูดจริง ไหนมึงบอกพ่อมึงไม่ตามแล้วไง” ไทป์ ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล ถึงแม้เขาจะชอบเล่นวิ่งไล่จับกับพ่อของเควิน แต่วันนี้มันเป็นวันคริสมาสต์ เขาอยากออกไปเที่ยวเสียมากกว่า
“หนีสิครับ รออะไร” เควินโพล่งเสียงออกมา ก่อนจะหยิบไอแพดบนโต๊ะขึ้นพร้อมกับออกตัววิ่ง แต่ทว่า
เพื่อนเขากลับไม่ได้วิ่งตามมา
“มึงไม่วิ่งวะ”
“มึงไม่ลองคุยกับพ่อมึงดี ๆ” ไทป์ว่าพลางเดินถือไอแพดเข้าไปหาเพื่อนของเขาที่กำลังจะวิ่งหนีออกทางประตูหนีไฟ
“กู ไม่อยากคุย” เควินพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา มันเบาจนทำให้ไทป์กระตุกยิ้มออกมาด้วยความเห็นใจ
“งั้น วิ่งดิสัส” สิ้นสุดเสียงของไทป์ ชายหนุ่มทั้งคู่เห็นพ้องต้องกันว่าตอนนี้พวกเขาควรวิ่งหนีให้เร็วที่สุด
ตึก ตึก~
เสียงฝ่าเท้าของสองชายหนุ่มในสภาพชายเสื้อนักศึกษาหลุดลุ่ยดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในมือทั้งสองคนถือไอแพดคนละเครื่องขณะที่สองฝ่าเท้ายังคงกระหน่ำวิ่งลงบันไดชั้นสิบ
“ปืนล่ะ”
“อยู่บนรถ” เควินตอบเพื่อนของเขาด้วยน้ำเสียงหอบเหนื่อย เขาทั้งคู่หยุดวิ่งที่ชั้นสองก่อนจะเปิดประตูหนีไฟออก เพราะรู้ว่าชั้นหนึ่งกำลังมีลูกน้องของพ่อเควินรออยู่
“เร็ว ๆดิวะ” เควินเอ่ยรียกเพื่อนของเขาที่กำลังขาอ่อนลงจากการวิ่งอย่างหนัก
“แฮ่ก ๆ เหนื่อยชิบ”
“กูบอกว่าอย่าหนักไงเมื่อคืน” ไทป์หัวเราะออกมาเบา ๆ เพราะเมื่อคืนเขาได้สาวไปเยอะจนวันนี้ทำให้ตัวเขาเองขาอ่อนวิ่งไม่ออก
ทั้งคู่วิ่งเข้าห้อง ๆหนึ่งที่มีเชือกป่านเส้นใหญ่ที่พวกเขาเป็นคนเตรียมมันไว้เพื่อการหนีโดยเฉพาะ ก่อนที่ทั้งคู่จะช่วยกันผูกเชือกเส้นนั้นกับเสาปูนขนาดใหญ่ พร้อมกับโยนปลายเชือกอีกด้านลงไปยังชั้นหนึ่งทางด้านหลังตึกบริหาร
ตุบ!
ตุบ!
ไม่นานเสียงฝ่าเท้าของทั้งคู่ก็ตกกระทบพื้นที่ชั้นหนึ่ง ทางด้านหลังตึกบริหารไม่ได้มีผู้คนมากนักด้วยความที่มันเป็นเวลาเลิกเรียน และบริเวณนี้ก็เป็นบริเวณดูดบุหรี่
“ไอ้เค มึงเกมส์แน่งานนี้” ไทป์ชะโง้กคอมองดูคนของพ่อเควินมากกว่าสิบคนที่ใส่เสื้อสูทยืนดักรอเควินอยู่หน้าตึกทุกช่องทางเข้าออก แปลกที่ไม่มีนักศึกษาคนอื่นเลยสักคน
“กู ไม่อยากไป” เควินเลียริมฝีปากที่แห้งผากของเขา ความกังวลเกิดขึ้นบนใบหน้าลูกครึ่งอิตาลี เขาไม่อยากไปกับผู้เป็นพ่อ มันทำให้คนได้ยินนึกสงสารขึ้นมาจับใจ
“มึงมากับใคร มึงมากับปรมาจารย์นะ” ไทป์ว่าพลางคิดหาทางออก ก่อนที่เขาจะยกยิ้มขึ้นเมื่อเขาคิดได้ว่าเขาควรเดินออกไป แล้วหลอกว่าเควินได้กลับคอนโดไปแล้ว
“เดี๋ยวกูมา”
“มึงจะไปไหน”
“อยู่เฉย ๆ ไอ้น้อง” ไทป์ยกมือหนาขึ้นปรามเพื่อนของเขา เมื่อเควินคิดจะเดินตาม
ชายหนุ่มจับเชือกเส้นเดิมก่อนจะปีนกลับขึ้นอาคาร เขาทำมันอย่างรวดเร็วด้วยความที่ถูกฝึกให้เรียนศิลปะป้องกันตัวทุกชนิดรวมถึงการปีนหน้าผา ชายหนุ่มฝึกมาตั้งแต่เรียนมัธยมเพราะชีวิตของเขาก็ตกอยู่ในอันตรายตลอดเวลาเช่นกัน
“มึงรอนี่แหละ” ไทป์ตะโกนลงมาบอกเควินจากชั้นสอง ก่อนจะออกตัววิ่งไปขึ้นลิฟต์เพื่อลงไปยังชั้นหนึ่ง
แต่ทว่าการกระทำของทั้งคู่ถูกมองผ่านกล้องวงจรปิดออนไลน์ของมหาวิทยาลัยชื่อดัง ชายวัยกลางคนสัญชาติอิตาเลี่ยนมองการกระทำของลูกชายคนเดียวด้วยความรู้สึกไม่พอใจ ก่อนที่เขาจะลงจากรถเมื่อได้สั่งให้ลูกน้องไปจับตัวลูกชายเขามา
“ปล่อยกู!” เควินถูกจับตัวมาอย่างง่ายดายด้วยความอ่อนประสบการณ์ในการต่อสู้ เขาถูกนำตัวมายืนประจันหน้ากับผู้เป็นพ่อ
“หมดเวลาสนุกของแกแล้ว” เสียงแหบจากการดูดบุหรี่อย่างหนักในภาษาอิตาลีดังขึ้น เควินมองผู้เป็นพ่อด้วยสายตาขุ่นเคือง
“ผมไม่ไปไหนทั้งนั้น!!” เขากระแทกเสียงใส่ใบหน้าของผู้เป็นพ่อ ก่อนที่
ปั่ก!
ตุบ!
“อึก” ขาของเขาข้างหนึ่งจะล้มลงเมื่อชายหนุ่มถูกหน้าแข้งของผู้เป็นพ่อเตะเข้ากับข้อพับขาจนทำให้เขาต้องทรุดตัวลงคุกเข่าต่อหน้าผู้เป็นพ่อ แต่แล้ว
“ไอ้เค...” เสียงของไทป์ดังออกมาหลังจากที่เขายืนหลบมุมมองสถานการณ์ข้างหน้าด้วยความหวั่นใจ ก่อนที่เขาจะตัดสินใจปรากฏตัวออกมาเมื่อรู้สึกว่าเขากำลังจะถูกพรากเพื่อนรักของเขาไป
“มึงจะออกมาทำไม” ไม่เคยคิดว่าเพื่อนของเขาจะโง่แบบนี้มาก่อน เควินหันขวับไปมองเพื่อนของเขาด้วยความรู้สึกเป็นห่วงที่เพื่อนของเขาโผล่ออกมาแบบนี้
“เด็กน้อย กลับบ้านไปเถอะ” พ่อของเควินหันหน้าไปคุยกับไทป์เป็นภาษาอังกฤษเพราะรู้ว่าหนุ่มน้อยคนนี้ฟังภาษาอิตาลีไม่ออก
“ไอ้เคมันไม่อยากไปครับ” ชายหนุ่มละสายตาออกจากเควินก่อนจะหันหน้าไปมองชายวัยกลางคน แต่ทว่า
แกร็ก~
“พ่ออย่า!!” เควินตะคอกเสียงดังลั่นเมื่อลำปืนสีดำขลับถูกยกขึ้นชี้เป้าไปที่เพื่อนของเขา ขณะที่ไทป์ยืนตัวแข็งทื่อทันที
“แล้วแบบนี้ล่ะ แกจะไปไหม” ผู้เป็นพ่อพูดด้วยเสียงเย็นยะเยือก ในขณะที่เควินรู้ดีว่าพ่อเขากล้าทำมากแค่ไหน ถึงแม้เพื่อนของเขาจะเป็นลูกของคนใหญ่คนโตในประเทศไทย แต่ทว่าถ้าเทียบกับพ่อเขาแล้วขี้เล็บก็คงเป็นสิ่งที่เปรียบเทียบได้เป็นอย่างดี
และทันใดนั้น การตัดสินใจเพียงชั่วเสี้ยววินาทีของเควินก็เกิดขึ้น
พรึ่บ!
พรึ่บ!
“ไอ้เค!!” เสียงตะคอกดังลั่นของไทป์ดังขึ้น เมื่อเควินตัดสินใจออกแรงเฮือกสุดท้ายลุกขึ้นยืน เขาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วหมุนลำตัวก่อนจะคว้าเอาปืนที่สะโพกลูกน้องของพ่อเขาขึ้นมาจ่อที่ใต้คางตัวเอง
แกร็ก~
“งั้นก็เอาแค่ร่างกายผมไปก็แล้วกัน” ทุกอย่างรอบกายเหมือนกับหยุดนิ่ง กลุ่มชายชาวต่างชาติในชุดสูทสีดำสนิทหยุดเคลื่อนไหวทุกอย่าง ในขณะเดียวกันที่คนเป็นพ่อเหมือนกับถูกบีบอัดที่หัวใจ มันแตกเป็นเสี่ยง ๆเมื่อลูกชายคนเดียวของเขาเกลียดสิ่งที่ตระกูลของเขาเป็นอยู่มากขนาดที่ยอมตายได้ ก่อนที่เขาจะลดปืนที่กำลังชี้เป้าไปที่เพื่อนของลูกชายลง
แต่ทว่าเควินกลับไม่ยอมลดปืนลงจากใต้คางของตัวเอง เพื่อบอกเป็นนัยย์ให้พ่อเขารับรู้ว่าเขาจะไม่ยอมไปด้วย
แต่แล้วคำพูดของผู้เป็นพ่อกลับทำให้เควินชะงักนิ่งงันทันที
“แม่แกถูกฆ่าตาย เมื่อเช้านี้...”
“เฮือกกกก~” ร่างหนาใหญ่สะดุ้งเฮือกตื่นจากความฝันที่เขาอยากให้มันเป็นแค่ฝัน แต่มันกลับไม่เป็นเช่นนั้นเพราะมันเป็นเรื่องจริงที่เคยเกิดขึ้นเมื่อสิบปีที่แล้ว ตามใบหน้าหล่อเหลาของเขามีเหงื่อเม็ดเล็กผุดขึ้นมากมาย เสียงหอบหายใจของเขาดังลั่นท่ามกลางความเงียบสงบของห้องนอนขนาดใหญ่
เควินยกมือหนาขึ้นกอบกุมใบหน้าที่เต็มไปด้วยเหงื่อของเขา ก่อนที่ในความมืดนั้นเขาจะมองเห็นภาพของตัวเองที่กำลังจ่อปลายกระบอกปืนลงที่หน้าผากของลูกน้องคนสนิทอย่างคริสพร้อมกับเสียงดังของปืนที่เขาเป็นคนลั่นไกออกไป มันดังกึกก้องในโสตประสาทของเขา
ปัง!!
นานพอสมควรที่เควินจมดิ่งลงไปสู่ก้นเหว ก่อนที่เขาจะหยัดกายตัวเองลุกขึ้นยืนเมื่อนึกขึ้นได้ว่าวันนี้เป็นวันอะไร เขาเดินไปหยิบเสื้อคลุมแจ็คเก็ตหนังขึ้นมาสวมใส่ พร้อมกับสวมใส่หมวกแก๊ปเพื่ออำพลางใบหน้า แต่ดูเหมือนมันยังไม่พอชายหนุ่มถึงได้เดินไปหยิบเอาหน้ากากผ้าสีดำมาปิดใบหน้าไว้ครึ่งหนึ่ง ก่อนที่เขาจะปีนหน้าต่างบ้านออกไป
เช่นเคย
ทุกการกระทำของเขาถูกมองจากกล้องวงจรปิด ไม่ใช่ว่าชายหนุ่มไม่รู้ แต่ทำไงได้ ยังไงซะวันนี้เขาจะต้องออกไปข้างนอกให้ได้
ตลอดทางเดินบนฟุตบาทมีผู้คนมากมายเดินสวนกันไปมาบนเกาะซิซิลี ชายหนุ่มเดินทอดน่องออกไปตามทางเดิน สายตาของเขามองหาใครบางคนที่เขาคิดว่าอาจจะเจอในที่นี้ และวันนี้
วันคริสมาสต์บนเกาะซิซิลีดินแดนที่เลื่องลือเรื่องของมาเฟีย มันถูกออกแบบประดับประดาด้วยไฟประดับบนต้นคริสมาสต์สวยงามน่าตื่นตาตื่นใจ เขารู้ว่าเขาคงออกมาได้ไม่นาน เพราะอีกไม่กี่นาทีลูกน้องของเขาจะมาตามกลับ ด้วยเหตุผลที่ต้องคอยปกป้องเขาจากศัตรูที่มีอยู่ทั่วทั้งเกาะ
แต่เขาหวังว่าเขาจะได้เจอเพื่อนของเขาในวันนี้ ชายหนุ่มถึงเลือกหนีออกมา
และทันใดนั้น
ผลั่ก!!
“อุ้ย ซอรี่ ๆๆๆ” น้ำเสียงภาษาอังกฤษแปล่ง ๆพูดขึ้น มันทำให้เจ้าของใบหน้าหล่อเหลานั้นขมวดคิ้วมองเด็กสาวที่เดินชนเขา
คนไทยอย่างนั้นหรือ...
เควินมองเด็กสาวที่ตัวเล็กมาก เธออยู่ในเสื้อฮูดสีแดงสดเข้ากับวันคริสมาสต์ เขากระตุกยิ้มภายใต้หน้ากากผ้าสีดำเมื่อเขาเห็นดวงหน้าจิ้มลิ้มของเธอที่เงยหน้าขึ้นมองเขา
“ฝรั่งหัวแดง เดินไม่ดูทางเอาซะเลย” ถึงแม้ว่าเขาจะสวมหมวกอยู่แต่ทว่าปอยผมสีแดงของเขายังพอมีให้เห็น
เด็กสาวไม่รู้ว่าชายหนุ่มผู้นี้ฟังไทยออก เธอต่อว่าเขาออกมาด้วยความหงุดหงิด ซึ่งเขาก็ไม่ได้ถือสาเด็กน้อยหรอก ดูท่าจะยังเรียนไม่จบมัธยมเสียด้วยซ้ำ
เด็กสาวมองเขาด้วยแววตาไม่พอใจ เมื่อคนตัวโตไม่คิดจะกล่าวขอโทษเธอ เพราะดูยังไงเธอก็ไม่ผิด ก็เขาน่ะเดินก้มหน้าก้มตาเหมือนกับหนีเมียมาเที่ยว
“Sorry, you should apologies to me.” เด็กสาวเอ่ยปากบอกสิ่งที่เธอต้องการ เธอบอกให้เขาขอโทษเธอ แต่ทว่าเขากลับนิ่ง
“ไร้มารยาท” เธอเบะปากมองบน ก่อนจะคิดหาเรื่องชายหนุ่มผู้นี้ต่อ เพราะเธอเป็นคนไม่ยอมใคร และจะไม่ยอมให้กับคนไร้มารยาทคนนี้เด็ดขาด แต่แล้ว
พรึ่บ!
“เฮ้ จะไปไหน!” เด็กสาวตกใจเมื่ออยู่ ๆเขาก็มองไปทางด้านหลังเธอเหมือนกับเห็นผี ก่อนจะหมุนตัวเดินหายไป แต่ไม่วายเด็กสาวคนนี้กลับกึ่งเดินกึ่งวิ่งตามไป
เขาเดินไวมากอาจจะเป็นเพราะช่วงขาที่ยาวกว่า ทำให้คนตัวเล็กวิ่งตามไม่ทัน เธอหอบหายใจอย่างเหน็ดเหนื่อยท่ามกลางความเย็นยะเยือกของบรรยากาศในประเทศอิตาลี แต่แล้วเธอกลับเพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองเดินมาไกลจากตำแหน่งเดิมมาก ทำให้เธอกลัวว่าจะหลงทางในต่างแดน อีกอย่างเธอกลัวจะโดนพี่สาวดุด้วยที่หนีมาเที่ยวคนเดียว และทันใดนั้น
หมับ!
“กรี๊ดดดด Help me please!” เด็กสาวส่งเสียงกรีดร้องพร้อมกับตะโกนเสียงขอความช่วยเหลือหลังจากถูกมือหนาของใครก็ไม่รู้กระชากข้อมือเธอเข้าไปในตรอก ๆ หนึ่ง ก่อนที่เจ้าของมือปริศนานี้จะยกมือปิดปากเธอไว้
ดวงตากลมโตเบิกกว้างขึ้นเมื่อพบว่าเจ้าของการกระทำไร้มารยาทแบบนี้ เป็นคนเดียวกับคนไร้มารยาทที่เธอเพิ่งได้ต่อว่าเขาไป..