Chapter 03

3054 Words
‘เอาไปให้พวกมันซะ’ ในนาทีนั้นขัติมากรย่นคิวด้วยความไม่เข้าใจความหมาย แต่ก็เริ่มเข้าใจในเวลาต่อมาว่าเขาคงอยากช่วย (จริง?) หรือหลอกลวงอะไรเธอเหมือนกับป้าของเธอหรือเปล่า จึงตัดสินใจถามออกไปเสียงสั่น ‘แลกกับอะไรคะ?’ เธอสบตาคมคู่นั้นที่ยิ่งมองยิ่งรู้สึกเยือกเย็นจนขนลุก ‘ร่างกายของเธอ’ เพียงแค่คนแปลกหน้าตอบคำถามนั้น ขัติมากรรีบวิ่งหนีเขาทันทีแต่กลับวิ่งได้แค่ใจคิด เมื่อความเป็นจริง เธอถูกชายรูปร่างกำยำสองคนดักที่หน้าประตูเอาไว้ไร้หนทางหลบหนี ‘ใจเย็น ๆ ก่อน สาวน้อย’ กันตพลไม่รู้จะเรียกเธอว่าอะไรเลยใช้สรรพนามนั้นแทน จะดูเด็กไปไหมนะ... แต่ดูจากหน้าตาก็น่าจะไม่เกินสิบเจ็ดสิบแปดปี ‘เธอกำลังเข้าใจความหมายฉันผิด’ ‘เข้าใจผิด... ยังไงคะ” เสียงที่ถามออกมาตอนนั้นทั้งสั่นกลัวและสั่นสู้ ‘ฉันต้องการร่างกายเธอจริง แต่ไม่เกี่ยวกับเรื่องบนเตียง’ เกือบหัวใจวายอีกรอบไปแล้ว โชคดีที่เขาบอกความหมายของประโยคแสนกำกวมนั้นก่อน ‘หนูทั้งผอม ทั้งเรี่ยวแรงน้อย คุณจะใช้ประโยชน์อะไรกับร่างกายนี้ได้’ นั่นสิ! ยัยเปี๊ยกนี่ตัวก็เล็ก ผอมกะร่อง ดีแค่สูงถึงเกณฑ์มาตรฐานทั่วไป แล้วแบบนี้จะใช้อะไรกับร่างกายเธอดีนะ ‘คอยอยู่ข้าง ๆ ฉัน ง่าย ๆ แค่นั้น ทำได้ใช่ไหม’ “อืม” เสียงครางเบา ๆ ดังขึ้น ดึงร่างสูงแสนมาดแมนหลุดจากภวังค์ในอดีต กันตพลค่อย ๆ ลอบมองปฏิกิริยาคนบนเตียงว่าเธอจะฟื้นหรือแค่ละเมอ จนเห็นเปลือกตาที่ปิดลูกตาสวยไว้ค่อย ๆ ลืมขึ้นในเวลาไม่กี่นาทีต่อจากนั้น สิ่งแรกที่คนนั่งเฝ้าเธอมาหลายนาทีทำคือความโล่งใจ “ฟื้นแล้ว” น้ำเสียงที่ถามออกไปช่างอ่อนโยน ยากที่ใครจะเคยได้ยินโทนเสียงนี้ของมาเฟียตัวร้าย เจ้าพ่อค้าอาวุธเถื่อนรวมถึงอาชีพสีเทาอื่น ๆ อีกมากมาย “คะ...คุณเพลิงกัลป์!” เด็กหนอเด็ก... เจอเขาทำไมถึงได้ดูตกใจขนาดนั้น หน้าตาก็ออกจะหล่อเหลา ทว่าอีกคนกลับทำท่าทีเหมือนเจอผีหน้าตาน่าเกลียดไปได้ “คุณเพลิงกัลป์มาอยู่ที่นี่ได้ยังไงคะ” ที่เธอทำท่าทางแบบนั้นเพราะตกใจต่างหาก ก็เขาบอกเธอเองว่ามีธุระสำคัญต้องไปจัดการ แต่ทำไมพอเธอฟื้นมาถึงเห็นคนตัวโตนั่งอยู่ตรงนี้ได้ “เป็นยังไงบ้าง ปวดหัวหรือว่าเจ็บตรงไหนหรือเปล่า” กันตพลถามอย่างห่วงใย ยอมรับเลยว่าเก็บอาการกับแม่สาวน้อยของเขาไม่ค่อยได้เลยจริง ๆ อยากทำเย็นชาเหมือนที่ทำกับคนทั้งโลก แต่ไม่รู้เพราะอะไร เพียงแค่อยู่ต่อหน้าผู้หญิงคนนี้เขากลับควบคุมตัวเองไม่ได้ ต่อหน้าคนอื่นเขายังพอเก็บอาการได้ส่วนหนึ่ง แต่พอเป็นการอยู่ลำพังแบบนี้เขากลับรู้สึกเหมือนไม่ใช่ตัวของตัวเอง สายตาอ่อนโยนที่ทอดมองออกไปเขาจะรู้ตัวไหมนะว่าทำเด็กสาวคนหนึ่งกำลังสั่นไหว “หนูไม่เป็นอะไรค่ะ” ขัติมากรตอบเสียงแผ่ว แถมยังมีหลบสายตาคมคู่นั้นเสมองไปทางอื่นทั้ง ๆ ที่ใจอยากจดจ้องใบหน้านั้นแทบตาย “แน่ใจนะ?” กันตพลไม่รู้ว่าน้องสาวบุญธรรมเขาทำอะไรเธอคนนี้บ้าง “ค่ะ หนูแค่คิดเรื่องเก่า ๆ แล้วคงควบคุมตัวเองไม่ได้ รู้สึกตัวอีกที ก็เห็นคุณเพลิงกัลป์นั่งอยู่ตรงนี้แล้ว” จู่ ๆ หัวใจที่เคยเต้นปกติก็แกว่งแรง เมื่อกันตพลเผลอแปลคำพูดธรรมดานั้นเป็นความหมายที่พิเศษ ตื่นมาแล้วเห็นเขานั่งอยู่ตรงนี้ ก็เท่ากับว่า ตื่นมาเจอเขาเป็นคนแรกในสายตา อะไรมันจะรู้สึกดีแบบนี้ก็ไม่รู้ “คุณเพลิงกัลป์ไม่สบายหรือเปล่าคะ” มือบางรีบเอื้อมไปแตะหน้าผากอีกคนทันทีเมื่อพวงแก้มเขาแดงขึ้นแถมยังลามไปถึงลำคออีก หมับ..! แต่ด้วยความที่เป็นคนเคยฝึกการต่อสู้ มือหนาเลยคว้ามือแน่งน้อยข้างนั้นไว้ทันเมื่อปฏิกิริยาของร่างกายมันตอบสนองคิดว่าจะเข้ามาทำร้าย “โอ๊ย!” เผลอใส่แรงเยอะไปหน่อยจนคนตัวเล็กที่นั่งสูงกว่าเขาระดับหนึ่งถูกบีบที่ข้อมืออย่างแรงแถมยังกระตุกจนร่างเธอลอยหวือลงมานั่งบนตักแกร่ง สาวน้อยตรงหน้าลืมความเจ็บไปในทันที หัวใจเธอสั่นรัวเมื่อใบหน้าทั้งสองอยู่ห่างกันแค่หนังสือไม่กี่หน้าขวางกั้น แอ๊ดดดด... เสียงประตูถูกเปิดเข้ามาด้วยฝีมือของคุณหมอลิลณาคนสวย “อะแฮ่ม! คนไข้หมอตกเตียงเหรอคะ” เข้ามาก็เจอช็อตเด็ด บนตักพี่ชายมีร่างบอบบางนั่งอยู่ แถมยังถูกสวมกอดไว้ราวกลัวจะตกลงมาได้รับอันตรายอีก ไม่ธรรมดา! คนไข้ของเธอคนนี้มีอิทธิพลกับพี่ชายเธอเกินไปแล้ว “เข้ามาทำไมไม่เคาะประตู” กันตพลยังคงวางท่าเรียบนิ่งแถมยังเย็นชาใส่น้องสาวแบบคนละขั้วกับเมื่อกี้ ก่อนจะค่อย ๆ ช้อนร่างบางที่นั่งบนตักเขาขึ้นไปวางไว้บนเตียงตามเดิมด้วยท่าทางนิ่ง ๆ “นี่ห้องทำงานลิลลี่นะคะ” นั่นสิ! นี่มันโรงพยาบาล แถมห้องนี้ยังเป็นห้องทำงานส่วนตัวยัยตัวแสบนั่นอีก การเคาะประตูก็คงไม่ใช่สิ่งที่ต้องทำ “มาตรวจหน่อย” เพราะเห็นเงาตะคุ่ม ๆ อยู่หน้าประตู คนตัวโตเลยวางมาดส่งเสียงเข้มบอกน้องสาวมาทำหน้าที่ต่อ “ตรวจใครดีคะ” หมอลิลณาไม่วายเอ่ยแซวพี่ชาย มีความสุขจริงได้เห็นมุมที่ไม่เคยเห็นนี้ของเฮียเพลิง “อย่าเล่น” ชิ! มาทำเสียงดุกลบเกลื่อน “อ้าว แล้วนั่นเฮียจะไปไหน” พอเธอมาก็จะหนีออกนอกห้องซะงั้น อยู่ต่อก็ได้ สัญญาจะไม่ล้อต่อแล้ว “ทำหน้าที่ของเธอไป ฉันมีเรื่องต้องไปสั่งสอนไอ้เทพหน่อย” “เฮียใจเย็น ๆ นะ เรื่องนี้ทัศน์เทพไม่ผิด” หมอลิลณารู้สึกถึงไอสังหารลอยออกมาจากตัวพี่ชาย ทัศน์เทพจะโดนอะไรบ้างนะ นี่ไม่ใช่ความผิดเขาสักหน่อย “เอ่อ ขอถามได้ไหมคะ” ขัติมากรที่นั่งมองคนสองคนคุยกันเงียบ ๆ เริ่มร้อนใจตามคำพูดที่หมอคนสวยตะโกนบอกอีกคน “ว่าไงคะ?” หมอลิลณาแย้มยิ้มให้อีกคนเพื่อให้ผ่อนคลาย “ที่บอกกว่าไม่เกี่ยวกับคุณทัศน์เทพ หมายความว่าคุณเพลิงกัลป์กำลังจะออกไปทำอะไรเหรอคะ” ฟังแล้วเหมือนอีกคนกำลังจะออกไปมีเรื่องอย่างไรอย่างนั้น “อยากรู้เหรอ” รู้แล้วละว่าจะพิสูจน์ความสัมพันธ์ของพี่ชายกับคนตรงหน้าด้วยวิธีไหนดี “ออกไปดูกับตาตัวเองสิ” พูดเสร็จก็ผายมือเชื้อเชิญให้คนอยากรู้เป็นทุนเดิมอยู่แล้วออกไปดูด้วยตาตัวเอง ขัติมากรไม่รีรอ เธอรู้สึกถึงเรื่องไม่ดีกำลังจะเกิดขึ้นกับคนที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่จึงรีบกระโดดลงจากเตียงแล้วออกจากห้องนี้ทันที [End part] ผลัวะ! ฉันวิ่งออกมาจากห้องคุณหมอคนสวย เดินมาตามทางที่หมอคนนั้นบอกก็เจอเข้ากับช็อตเด็ด เมื่อหมัดใหญ่ ๆ ของคุณเพลิงกัลป์กระทบเข้าหน้าท้องคุณทัศน์เทพหนึ่งครั้ง “อย่าค่ะ!” รีบวิ่งเข้าไปห้ามเมื่อดูท่าทางจะมีหมัดที่สองตามมา “ออกมาทำไม” เขาพูดกับฉันแต่ส่งสายตาบอกคุณเทชิให้เดินมารวบตัวฉันไว้แล้วถอยออกห่างพวกเขาสองคน “คุณเพลิงกัลป์ทำร้ายคุณทัศน์เทพทำไมคะ” ฉันตะโกนถามเสียงดังออกไป ในน้ำเสียงนั้นมีความไม่พอใจในการใช้กำลังของเขาแก้ปัญหาเป็นอย่างมาก “ผมทำงานพลาดเองครับ” เฮียเทพหันมายิ้มให้ฉัน ในสายตาคู่นั้นเขากำลังบอกฉันว่าเขาไม่เป็นอะไร “งานอะไรคะ ทำไมถึงขั้นต้องลงไม้ลงมือ คงไม่ใช่เพราะหนูควบคุมตัวเองไม่ได้แล้วสลบไปหรอกนะคะ” วันนี้ทั้งวันเฮียเทพอยู่กับฉันตัวติดกันตลอด ถ้าเขาบอกเขาทำงานพลาด คงมีแค่เรื่องนี้เรื่องเดียวที่พอจะเดาได้ในตอนนี้ “หน้าที่ของมันคือจับตาดูเธอไม่ให้คลาดสายตา” จริง ๆ ด้วย! คุณเพลิงกัลป์กำลังโมโหเฮียเทพเรื่องฉันจริง ๆ “คุณเพลิงกัลป์ฟังหนูอธิบายก่อนนะคะ” ฉันเงยหน้าส่งสายตากึ่งร้องขอให้คุณเทชิปล่อยฉัน แต่ไม่เป็นผล “ไม่เป็นไรครับ ผมสมควรได้รับโทษนี้” ทำไมคนเราต้องใช้ความรุนแรงแก้ปัญหาด้วย “ที่นี่โรงพยาบาล หมอต้องรักษาคนป่วยเป็นการส่วนตัว คุณทัศน์เทพเลยเข้าไปไม่ได้ค่ะ” ไม่ให้ฉันยุ่งได้ไง ในเมื่อฉันคือต้นเหตุของเรื่องนี้ “คุณเพลิงกัลป์ยกโทษให้คุณทัศน์เทพเถอะนะคะ มันเป็นเหตุสุดวิสัยจริง ๆ ค่ะ” ทำไมเรื่องเล็กน้อยแค่นี้คุณเพลิงกัลป์ดูโกรธขนาดนั้นกันนะ “พอเถอะเฮีย ที่เธอพูดก็ถูกแล้ว อย่าเอาแต่ใจเป็นเด็กสิ” “หุบปาก!” อา... นี่อารมณ์ไม่ดีจริง ๆ ใช่ไหม ขนาดคุณหมอคนสวยยังโดนหางเลขไปด้วยเลย “ต่อไปถ้ากูสั่งให้เฝ้า หมายความว่าห้ามคลาดสายตาแม้วินาทีเดียว” คุณเพลิงกัลป์เดินออกมาทันทีที่เขาสั่งคุณทัศน์เทพเสร็จ หมับ..! “อะ!?” ข้อมือถูกคว้าแล้วกระตุกให้เดินตามขายาว ๆ ของเขาอย่างไร้คำ พูดจาใด ๆ จากตอนแรกที่เจ็บแปลบเพราะเขาใช้แรงบีบเยอะไปหน่อย ทว่าตอนนี้ตรงส่วนนั้นเริ่มผ่อนคลายลงบ้างแล้ว เขาพาฉันมายังรถหรูสีดำขลับที่ฉันกับคุณทัศน์เทพใช้ขับมาที่นี่ “กุญแจ” เขาหันไปขอกุญแจจากลูกน้องที่เพิ่งถูกเขาซ้อมมา “นายจะขับเอง?” ทำไมสีหน้าที่คุณทัศน์เทพถามดูประหลาดใจเหมือนเจ้านายเขาไม่เคยขับรถมาก่อน “อย่าให้พูดซ้ำ” น้ำเสียงขวนขนลุก ฟังแล้วเยือกเย็นถึงก้นบึ้งหัวใจ ตามมาด้วยกุญแจรถที่ถูกยื่นให้ผู้เป็นนายในเวลาต่อมา “ขึ้นรถ” เขาสั่งพร้อมประตูที่เปิดอ้ากว้าง ฉันกลัวว่าเขาจะหงุดหงิดอะไรอีกเลยรีบขึ้นไปนั่งรอเงียบ ๆ จนคนขับตามมานั่งประจำที่แล้วตัวรถก็ทะยานไปข้างหน้าด้วยความเร็วระดับหนึ่ง “คุณเพลิงกัลป์จะพาหนูไปไหนคะ” ตอนแรกก็กะจะนั่งนิ่ง ๆ ไม่ส่งเสียงใด ๆ แต่ดูท่าทางตึงเครียดของอีกคนชวนคุยน่าจะผ่อนคลายกว่า “ใช้ร่างกายเธอ” ชะ...ใช้ร่างกายฉัน? “ใช้ยังไงคะ?” พยายามข่มเสียงไม่ให้สั่นถามออกไป “ต่อไป ใช้ร่างกายเธอให้ระวังที่สุด อย่าเจ็บ อย่าทำร้ายตัวเองเพราะความฝันนั่นอีก” อา... ที่แท้เขาก็หมายความแบบนี้นี่เอง แต่จะมาให้ฉันลืมฝันร้าย ๆ ที่กลืนกินฉันไปหลายเดือนแบบนี้ง่าย ๆ คงเป็นไปไม่ได้หรอก “ถ้าเธอฝันร้าย ฉันจะไล่มันด้วยความทรงจำใหม่ให้เอง” “ความทรงจำใหม่? อะ!” รถจอดกะทันหันด้วยฝีมือเขา ตามมาด้วยมือฉันที่ถูกจับอย่างแผ่วเบาขึ้นอยู่ระดับอกของอีกคน “แบบนี้” ข้อมือฉันสัมผัสได้ถึงไอความร้อนจากลมที่เขาพรูมันออกมาจากปากหยักลึกสีธรรมชาติ เขาเอาแต่เป่าข้อมือฉันที่มีรอยแดงจากการถูกเขาบีบเมื่อกี้ซ้ำแล้วซ้ำอีก ฉันมองการกระทำนั้นอย่างงุนงงพร้อมอกข้างซ้ายที่เต้นระรัว “ต่อไปถ้าเธอฝันร้าย ให้ยกมือข้างนี้ขึ้นมาดู ความอบอุ่นที่ฉันฝากไว้ตรงนี้จะขจัดฝันร้ายให้เธอเอง” นี่ฉันไม่ได้ฝันไปใช่ไหม? คุณเพลิงกัลป์ที่เมื่อกี้ยังชกต่อยลูกน้องเขาอย่างดุกร้าวอยู่คือคนเดียวกับที่อ่อนโยนกับฉันตรงนี้ใช่หรือเปล่า หลายวันต่อมา ในที่สุดฉันก็ได้สวมชุดนักศึกษาเหมือนคนอื่น ๆ สักที ยืนหมุนตัวซ้ายขวาอยู่หน้ากระจกเพื่อตรวจสอบความเรียบร้อยของเสื้อผ้าที่สวมอยู่ เสียงประตูห้องก็ดังขึ้น “เชิญค่ะ” “คุณเพลิงกัลป์ให้มาตามลงไปรับประทานอาหารเช้าค่ะ” เธอคือแม่บ้านที่อยู่ประจำเพนต์เฮาส์นี้ “ค่ะ” ฉันพยักหน้าพร้อมขยับมุมปากยกขึ้นเล็กน้อย หยิบกระเป๋าสะพายแบรนด์ดังที่เฮียเทพเอามาให้เมื่อวันก่อนพาดไหล่ จะว่าไปแล้ว ข้าวของเครื่องใช้ฉันที่เกี่ยวกับการไปมหาวิทยาลัยฉันไม่เคยได้จัดการเองเลยสักอย่างเดียว แม้กระทั่งชุดนักศึกษาของตัวเอง คุณเพลิงกัลป์ก็ยังให้คนอื่นจัดการให้ โชคดีที่ไซซ์พอดีตัวฉันเลยไม่เป็นปัญหา ลิฟต์จอดที่ชั้นล่างสุด ฉันเดินออกมาแล้วตรงดิ่งไปที่โต๊ะอาหารทันที “วันนี้เรียนวันแรก ตั้งใจล่ะ” เสียงทุ้มเอ่ยบอก มือเขายังถือแก้วกาแฟดำของโปรดขึ้นจิบตามกิจวัตรประจำวัน แต่วันนี้ดูผิดแผกไปจากทุก ๆ วัน เมื่อเขาสวมเพียงแค่เสื้อยืดแขนยาวสีดำตัวเดียว “ค่ะ” ตอบได้เพียงคำเดียวสั้น ๆ ทั้ง ๆ ที่ในใจอยากถามมากว่าวันนี้เขาไม่ได้ออกไปไหนเหรอ “วันนี้เลิกเที่ยง เดี๋ยวเทชิจะเป็นคนไปรับกลับมาที่นี่” เขารู้ตารางเรียนฉันหมดเลย ก็นะ... เขาเป็นคนจัดการทุกอย่างให้เองนี่ “วันนี้คุณเพลิงกัลป์ไม่ได้ไปไหนเหรอคะ” ในที่สุดก็เผลอถามออกไป อีกคนตวัดสายตามองมาแต่ไม่ได้ดุมาก “ฉันว่าจะพาเธอไปซื้อของใช้” ของใช้? ยังต้องมีของใช้อะไรอีก เท่าที่มีอยู่ฉันว่าก็มีครบทุกอย่างแล้วนะ “ค่ะ” แม้ในใจจะอยากถามว่าต้องซื้ออะไรเพิ่ม แต่เพราะเป็นเพียงผู้อาศัยเลยไม่กล้าถามซักไซ้ให้มากความ “กินสิ” คนตัวโตที่นั่งอยู่หัวโต๊ะส่งสัญญาณให้ฉันทานอาหารตรงหน้า วันนี้เป็นอาหารเช้าสไตล์ตะวันตกง่าย ๆ ฉันตั้งใจลงมือทานอย่างมีมารยาท แต่ก็ยังมีเหลือบตามองอีกคนที่วัน ๆ ในเวลาเช้า ๆ เอาแต่จิบกาแฟไม่แตะอาหารใด ๆ “มีอะไร” เหมือนเขาจะรู้ว่าฉันแอบมองเลยถามขึ้น “หนูเห็นคุณเพลิงกัลป์ทานแต่กาแฟทุกเช้า ไม่ดีต่อสุขภาพนะคะ” อยากตีปากตัวเองอีกแล้ว ทำไมชอบยุ่งเรื่องคนอื่นด้วยนะ เขามองหน้าฉันเล็กน้อย ก่อนจะสั่นกระดิ่งที่วางไว้บนโต๊ะ สักพักแม่บ้านก็วิ่งกระหืดกระหอบมา “คุณเพลิงกัลป์ต้องการอะไรคะ” “เอาอาหารมาเพิ่มอีกชุด” ฉันได้แต่ทำหน้างง ๆ มองเขาตาปริบ ๆ ไม่ใช่ว่าเอามาเพิ่มให้ฉันใช่ไหม? “ของคุณเพลิงกัลป์หรือคุณฟางเซียนคะ” แม่บ้านถามเสียงอ้อมแอ้ม “ของฉัน” ขะ...ของเขา! ไม่ใช่แค่ฉันที่ตกใจ แม่บ้านเองก็ดูแปลกใจเหมือนกันที่เจ้านายสั่งเธอแบบนั้น “เร็วสิ!” “ค...ค่ะ” แม่บ้านคนเดิมรีบค้อมหัวรับคำสั่งแล้ววิ่งกลับไปจัดการสิ่งที่เจ้านายต้องการ “กินต่อสิ” รีบก้มหน้าตักอาหารจานตัวเองทานต่อเงียบ ๆ พลางคิดในใจ ‘เขาคงไม่ได้ทำแบบนั้นเพราะคำพูดฉันใช่ไหมนะ?’ บนโต๊ะอาหารยังคงเงียบเช่นเดิม จนเฮียเทพเดินเข้ามา “วันนี้มีแขกมาขอพบนายตอนเที่ยงตรงครับ” “ใคร?” คนที่กำลังใช้มีดหั่นเนื้อบนจานปรายตาขึ้นมองลูกน้องที่ยืนราย งานแค่แวบหนึ่ง “คุณเคโกะครับ” ชื่อน่ารักจัง เหมือนชื่อคนญี่ปุ่นเลย “เลื่อนนัด เที่ยงนี้ฉันต้องไปทำธุระ” “แต่วันนี้นายไม่มีธุระที่ไหนนี่ครับ” มือฉันเหงื่อออกเมื่อเผลอนึกเข้าข้างตัวเองถึงธุระที่อีกคนว่า “ไม่ต้องรู้มาก บอกไปตามนั้น” “แต่...” “ไม่มีแต่!” “ครับนาย” เมื่อกี้ตกใจจนเกือบทำส้อมหลุดมือ คุณเพลิงกัลป์ตะคอกเฮียเทพจนเสียงดังสะท้อนก้องทั้งห้องอาหาร “ตกใจเหรอ” สายตาคมมองมาทางฉันอย่างสังเกตอาการ “นะ...นิดหน่อยค่ะ” ไม่หน่อยแล้วละ ใจฉันมันเต้นแรงมากเพราะอาการตกใจเสียงเขาเมื่อกี้ “ถ้าอิ่มแล้วก็ไปเรียนเถอะ” ฉันรีบรวบช้อนกับส้อมไว้มุมจานอย่างไม่อิดออด ยกแก้วน้ำเปล่าขึ้นดื่มแค่จิบ ๆ ก่อนจะลุกขึ้นแล้วยืนตัวตรงยกมือไหว้อีกคนที่เพิ่งออกคำสั่ง “เดี๋ยว!” หันหลังให้เขาได้ยังไม่เต็มตัวดี คนตัวสูงก็เหมือนเดินมายืนอยู่ด้านหลังเพราะฉันรู้สึกเหมือนระยะห่างเรามันใกล้ลง “เอานี่ไป ไว้ใช้จ่ายที่มหา’ลัย” เงินจำนวนหนึ่งถูกยื่นมาให้ทั้ง ๆ ที่ฉันยังหันหลังให้เขา พอเห็นจำนวนแบงก์ที่ค่อนข้างหนากว่าการให้ไปเรียนธรรมดาทำฉันรีบดันมือเขาพร้อมเงินนั้นกลับไป “นี่มันเยอะไปค่ะ” ถึงฉันจะเพิ่งมาอยู่ที่ไทยเกือบห้าเดือน แต่ฉันก็รู้จักศึกษาค่าเงินบาทรวมถึงมารยาทต่าง ๆ ที่นอกเหนือจากแม่ที่เป็นคนจีนสอนไว้เป็นอย่างดี “นี่เรียกเยอะ?” ใช่สิ ก็เขารวย เงินแบงก์สีเทาแค่ห้าหกใบ คงเรียกเยอะสำหรับเขาไม่ได้ “ที่นั่นคงไม่ต้องพกเงินเยอะขนาดนี้มั้งคะ” ฉันยังไม่ยื่นมือไปรับเงินก้อนนั้น ซ้ำยังก้าวถอยหลังเว้นระยะห่างออกมาอีกหนึ่งก้าว “เอาไป ควักออกมาแล้วขี้เกียจเก็บเข้าที่เดิม” แบบนี้ก็ได้เหรอ? แค่เอาเงินเก็บไว้ในกระเป๋าสตางค์เหมือนเดิมมันยากขนาดนั้นเลย “แต่ว่า...”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD