‘เอาไปให้พวกมันซะ’
ในนาทีนั้นขัติมากรย่นคิวด้วยความไม่เข้าใจความหมาย แต่ก็เริ่มเข้าใจในเวลาต่อมาว่าเขาคงอยากช่วย (จริง?) หรือหลอกลวงอะไรเธอเหมือนกับป้าของเธอหรือเปล่า จึงตัดสินใจถามออกไปเสียงสั่น
‘แลกกับอะไรคะ?’
เธอสบตาคมคู่นั้นที่ยิ่งมองยิ่งรู้สึกเยือกเย็นจนขนลุก
‘ร่างกายของเธอ’
เพียงแค่คนแปลกหน้าตอบคำถามนั้น ขัติมากรรีบวิ่งหนีเขาทันทีแต่กลับวิ่งได้แค่ใจคิด เมื่อความเป็นจริง เธอถูกชายรูปร่างกำยำสองคนดักที่หน้าประตูเอาไว้ไร้หนทางหลบหนี
‘ใจเย็น ๆ ก่อน สาวน้อย’
กันตพลไม่รู้จะเรียกเธอว่าอะไรเลยใช้สรรพนามนั้นแทน
จะดูเด็กไปไหมนะ... แต่ดูจากหน้าตาก็น่าจะไม่เกินสิบเจ็ดสิบแปดปี
‘เธอกำลังเข้าใจความหมายฉันผิด’
‘เข้าใจผิด... ยังไงคะ”
เสียงที่ถามออกมาตอนนั้นทั้งสั่นกลัวและสั่นสู้
‘ฉันต้องการร่างกายเธอจริง แต่ไม่เกี่ยวกับเรื่องบนเตียง’
เกือบหัวใจวายอีกรอบไปแล้ว โชคดีที่เขาบอกความหมายของประโยคแสนกำกวมนั้นก่อน
‘หนูทั้งผอม ทั้งเรี่ยวแรงน้อย คุณจะใช้ประโยชน์อะไรกับร่างกายนี้ได้’
นั่นสิ! ยัยเปี๊ยกนี่ตัวก็เล็ก ผอมกะร่อง ดีแค่สูงถึงเกณฑ์มาตรฐานทั่วไป แล้วแบบนี้จะใช้อะไรกับร่างกายเธอดีนะ
‘คอยอยู่ข้าง ๆ ฉัน ง่าย ๆ แค่นั้น ทำได้ใช่ไหม’
“อืม”
เสียงครางเบา ๆ ดังขึ้น ดึงร่างสูงแสนมาดแมนหลุดจากภวังค์ในอดีต กันตพลค่อย ๆ ลอบมองปฏิกิริยาคนบนเตียงว่าเธอจะฟื้นหรือแค่ละเมอ จนเห็นเปลือกตาที่ปิดลูกตาสวยไว้ค่อย ๆ ลืมขึ้นในเวลาไม่กี่นาทีต่อจากนั้น สิ่งแรกที่คนนั่งเฝ้าเธอมาหลายนาทีทำคือความโล่งใจ
“ฟื้นแล้ว” น้ำเสียงที่ถามออกไปช่างอ่อนโยน ยากที่ใครจะเคยได้ยินโทนเสียงนี้ของมาเฟียตัวร้าย เจ้าพ่อค้าอาวุธเถื่อนรวมถึงอาชีพสีเทาอื่น ๆ อีกมากมาย
“คะ...คุณเพลิงกัลป์!”
เด็กหนอเด็ก... เจอเขาทำไมถึงได้ดูตกใจขนาดนั้น
หน้าตาก็ออกจะหล่อเหลา ทว่าอีกคนกลับทำท่าทีเหมือนเจอผีหน้าตาน่าเกลียดไปได้
“คุณเพลิงกัลป์มาอยู่ที่นี่ได้ยังไงคะ”
ที่เธอทำท่าทางแบบนั้นเพราะตกใจต่างหาก ก็เขาบอกเธอเองว่ามีธุระสำคัญต้องไปจัดการ แต่ทำไมพอเธอฟื้นมาถึงเห็นคนตัวโตนั่งอยู่ตรงนี้ได้
“เป็นยังไงบ้าง ปวดหัวหรือว่าเจ็บตรงไหนหรือเปล่า” กันตพลถามอย่างห่วงใย ยอมรับเลยว่าเก็บอาการกับแม่สาวน้อยของเขาไม่ค่อยได้เลยจริง ๆ
อยากทำเย็นชาเหมือนที่ทำกับคนทั้งโลก แต่ไม่รู้เพราะอะไร เพียงแค่อยู่ต่อหน้าผู้หญิงคนนี้เขากลับควบคุมตัวเองไม่ได้ ต่อหน้าคนอื่นเขายังพอเก็บอาการได้ส่วนหนึ่ง แต่พอเป็นการอยู่ลำพังแบบนี้เขากลับรู้สึกเหมือนไม่ใช่ตัวของตัวเอง สายตาอ่อนโยนที่ทอดมองออกไปเขาจะรู้ตัวไหมนะว่าทำเด็กสาวคนหนึ่งกำลังสั่นไหว
“หนูไม่เป็นอะไรค่ะ”
ขัติมากรตอบเสียงแผ่ว แถมยังมีหลบสายตาคมคู่นั้นเสมองไปทางอื่นทั้ง ๆ ที่ใจอยากจดจ้องใบหน้านั้นแทบตาย
“แน่ใจนะ?”
กันตพลไม่รู้ว่าน้องสาวบุญธรรมเขาทำอะไรเธอคนนี้บ้าง
“ค่ะ หนูแค่คิดเรื่องเก่า ๆ แล้วคงควบคุมตัวเองไม่ได้ รู้สึกตัวอีกที ก็เห็นคุณเพลิงกัลป์นั่งอยู่ตรงนี้แล้ว”
จู่ ๆ หัวใจที่เคยเต้นปกติก็แกว่งแรง เมื่อกันตพลเผลอแปลคำพูดธรรมดานั้นเป็นความหมายที่พิเศษ ตื่นมาแล้วเห็นเขานั่งอยู่ตรงนี้ ก็เท่ากับว่า ตื่นมาเจอเขาเป็นคนแรกในสายตา อะไรมันจะรู้สึกดีแบบนี้ก็ไม่รู้
“คุณเพลิงกัลป์ไม่สบายหรือเปล่าคะ” มือบางรีบเอื้อมไปแตะหน้าผากอีกคนทันทีเมื่อพวงแก้มเขาแดงขึ้นแถมยังลามไปถึงลำคออีก
หมับ..!
แต่ด้วยความที่เป็นคนเคยฝึกการต่อสู้ มือหนาเลยคว้ามือแน่งน้อยข้างนั้นไว้ทันเมื่อปฏิกิริยาของร่างกายมันตอบสนองคิดว่าจะเข้ามาทำร้าย
“โอ๊ย!”
เผลอใส่แรงเยอะไปหน่อยจนคนตัวเล็กที่นั่งสูงกว่าเขาระดับหนึ่งถูกบีบที่ข้อมืออย่างแรงแถมยังกระตุกจนร่างเธอลอยหวือลงมานั่งบนตักแกร่ง สาวน้อยตรงหน้าลืมความเจ็บไปในทันที หัวใจเธอสั่นรัวเมื่อใบหน้าทั้งสองอยู่ห่างกันแค่หนังสือไม่กี่หน้าขวางกั้น
แอ๊ดดดด...
เสียงประตูถูกเปิดเข้ามาด้วยฝีมือของคุณหมอลิลณาคนสวย
“อะแฮ่ม! คนไข้หมอตกเตียงเหรอคะ”
เข้ามาก็เจอช็อตเด็ด บนตักพี่ชายมีร่างบอบบางนั่งอยู่ แถมยังถูกสวมกอดไว้ราวกลัวจะตกลงมาได้รับอันตรายอีก
ไม่ธรรมดา!
คนไข้ของเธอคนนี้มีอิทธิพลกับพี่ชายเธอเกินไปแล้ว
“เข้ามาทำไมไม่เคาะประตู”
กันตพลยังคงวางท่าเรียบนิ่งแถมยังเย็นชาใส่น้องสาวแบบคนละขั้วกับเมื่อกี้ ก่อนจะค่อย ๆ ช้อนร่างบางที่นั่งบนตักเขาขึ้นไปวางไว้บนเตียงตามเดิมด้วยท่าทางนิ่ง ๆ
“นี่ห้องทำงานลิลลี่นะคะ”
นั่นสิ!
นี่มันโรงพยาบาล แถมห้องนี้ยังเป็นห้องทำงานส่วนตัวยัยตัวแสบนั่นอีก การเคาะประตูก็คงไม่ใช่สิ่งที่ต้องทำ
“มาตรวจหน่อย”
เพราะเห็นเงาตะคุ่ม ๆ อยู่หน้าประตู คนตัวโตเลยวางมาดส่งเสียงเข้มบอกน้องสาวมาทำหน้าที่ต่อ
“ตรวจใครดีคะ”
หมอลิลณาไม่วายเอ่ยแซวพี่ชาย มีความสุขจริงได้เห็นมุมที่ไม่เคยเห็นนี้ของเฮียเพลิง
“อย่าเล่น”
ชิ! มาทำเสียงดุกลบเกลื่อน
“อ้าว แล้วนั่นเฮียจะไปไหน” พอเธอมาก็จะหนีออกนอกห้องซะงั้น อยู่ต่อก็ได้ สัญญาจะไม่ล้อต่อแล้ว
“ทำหน้าที่ของเธอไป ฉันมีเรื่องต้องไปสั่งสอนไอ้เทพหน่อย”
“เฮียใจเย็น ๆ นะ เรื่องนี้ทัศน์เทพไม่ผิด”
หมอลิลณารู้สึกถึงไอสังหารลอยออกมาจากตัวพี่ชาย
ทัศน์เทพจะโดนอะไรบ้างนะ นี่ไม่ใช่ความผิดเขาสักหน่อย
“เอ่อ ขอถามได้ไหมคะ”
ขัติมากรที่นั่งมองคนสองคนคุยกันเงียบ ๆ เริ่มร้อนใจตามคำพูดที่หมอคนสวยตะโกนบอกอีกคน
“ว่าไงคะ?”
หมอลิลณาแย้มยิ้มให้อีกคนเพื่อให้ผ่อนคลาย
“ที่บอกกว่าไม่เกี่ยวกับคุณทัศน์เทพ หมายความว่าคุณเพลิงกัลป์กำลังจะออกไปทำอะไรเหรอคะ” ฟังแล้วเหมือนอีกคนกำลังจะออกไปมีเรื่องอย่างไรอย่างนั้น
“อยากรู้เหรอ”
รู้แล้วละว่าจะพิสูจน์ความสัมพันธ์ของพี่ชายกับคนตรงหน้าด้วยวิธีไหนดี
“ออกไปดูกับตาตัวเองสิ”
พูดเสร็จก็ผายมือเชื้อเชิญให้คนอยากรู้เป็นทุนเดิมอยู่แล้วออกไปดูด้วยตาตัวเอง ขัติมากรไม่รีรอ เธอรู้สึกถึงเรื่องไม่ดีกำลังจะเกิดขึ้นกับคนที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่จึงรีบกระโดดลงจากเตียงแล้วออกจากห้องนี้ทันที
[End part]
ผลัวะ!
ฉันวิ่งออกมาจากห้องคุณหมอคนสวย เดินมาตามทางที่หมอคนนั้นบอกก็เจอเข้ากับช็อตเด็ด เมื่อหมัดใหญ่ ๆ ของคุณเพลิงกัลป์กระทบเข้าหน้าท้องคุณทัศน์เทพหนึ่งครั้ง
“อย่าค่ะ!”
รีบวิ่งเข้าไปห้ามเมื่อดูท่าทางจะมีหมัดที่สองตามมา
“ออกมาทำไม” เขาพูดกับฉันแต่ส่งสายตาบอกคุณเทชิให้เดินมารวบตัวฉันไว้แล้วถอยออกห่างพวกเขาสองคน
“คุณเพลิงกัลป์ทำร้ายคุณทัศน์เทพทำไมคะ” ฉันตะโกนถามเสียงดังออกไป ในน้ำเสียงนั้นมีความไม่พอใจในการใช้กำลังของเขาแก้ปัญหาเป็นอย่างมาก
“ผมทำงานพลาดเองครับ” เฮียเทพหันมายิ้มให้ฉัน ในสายตาคู่นั้นเขากำลังบอกฉันว่าเขาไม่เป็นอะไร
“งานอะไรคะ ทำไมถึงขั้นต้องลงไม้ลงมือ คงไม่ใช่เพราะหนูควบคุมตัวเองไม่ได้แล้วสลบไปหรอกนะคะ”
วันนี้ทั้งวันเฮียเทพอยู่กับฉันตัวติดกันตลอด ถ้าเขาบอกเขาทำงานพลาด คงมีแค่เรื่องนี้เรื่องเดียวที่พอจะเดาได้ในตอนนี้
“หน้าที่ของมันคือจับตาดูเธอไม่ให้คลาดสายตา”
จริง ๆ ด้วย! คุณเพลิงกัลป์กำลังโมโหเฮียเทพเรื่องฉันจริง ๆ
“คุณเพลิงกัลป์ฟังหนูอธิบายก่อนนะคะ”
ฉันเงยหน้าส่งสายตากึ่งร้องขอให้คุณเทชิปล่อยฉัน แต่ไม่เป็นผล
“ไม่เป็นไรครับ ผมสมควรได้รับโทษนี้”
ทำไมคนเราต้องใช้ความรุนแรงแก้ปัญหาด้วย
“ที่นี่โรงพยาบาล หมอต้องรักษาคนป่วยเป็นการส่วนตัว คุณทัศน์เทพเลยเข้าไปไม่ได้ค่ะ”
ไม่ให้ฉันยุ่งได้ไง ในเมื่อฉันคือต้นเหตุของเรื่องนี้
“คุณเพลิงกัลป์ยกโทษให้คุณทัศน์เทพเถอะนะคะ มันเป็นเหตุสุดวิสัยจริง ๆ ค่ะ” ทำไมเรื่องเล็กน้อยแค่นี้คุณเพลิงกัลป์ดูโกรธขนาดนั้นกันนะ
“พอเถอะเฮีย ที่เธอพูดก็ถูกแล้ว อย่าเอาแต่ใจเป็นเด็กสิ”
“หุบปาก!”
อา... นี่อารมณ์ไม่ดีจริง ๆ ใช่ไหม ขนาดคุณหมอคนสวยยังโดนหางเลขไปด้วยเลย
“ต่อไปถ้ากูสั่งให้เฝ้า หมายความว่าห้ามคลาดสายตาแม้วินาทีเดียว”
คุณเพลิงกัลป์เดินออกมาทันทีที่เขาสั่งคุณทัศน์เทพเสร็จ
หมับ..!
“อะ!?”
ข้อมือถูกคว้าแล้วกระตุกให้เดินตามขายาว ๆ ของเขาอย่างไร้คำ พูดจาใด ๆ จากตอนแรกที่เจ็บแปลบเพราะเขาใช้แรงบีบเยอะไปหน่อย ทว่าตอนนี้ตรงส่วนนั้นเริ่มผ่อนคลายลงบ้างแล้ว
เขาพาฉันมายังรถหรูสีดำขลับที่ฉันกับคุณทัศน์เทพใช้ขับมาที่นี่
“กุญแจ” เขาหันไปขอกุญแจจากลูกน้องที่เพิ่งถูกเขาซ้อมมา
“นายจะขับเอง?”
ทำไมสีหน้าที่คุณทัศน์เทพถามดูประหลาดใจเหมือนเจ้านายเขาไม่เคยขับรถมาก่อน
“อย่าให้พูดซ้ำ” น้ำเสียงขวนขนลุก ฟังแล้วเยือกเย็นถึงก้นบึ้งหัวใจ ตามมาด้วยกุญแจรถที่ถูกยื่นให้ผู้เป็นนายในเวลาต่อมา
“ขึ้นรถ”
เขาสั่งพร้อมประตูที่เปิดอ้ากว้าง ฉันกลัวว่าเขาจะหงุดหงิดอะไรอีกเลยรีบขึ้นไปนั่งรอเงียบ ๆ จนคนขับตามมานั่งประจำที่แล้วตัวรถก็ทะยานไปข้างหน้าด้วยความเร็วระดับหนึ่ง
“คุณเพลิงกัลป์จะพาหนูไปไหนคะ” ตอนแรกก็กะจะนั่งนิ่ง ๆ ไม่ส่งเสียงใด ๆ แต่ดูท่าทางตึงเครียดของอีกคนชวนคุยน่าจะผ่อนคลายกว่า
“ใช้ร่างกายเธอ”
ชะ...ใช้ร่างกายฉัน?
“ใช้ยังไงคะ?” พยายามข่มเสียงไม่ให้สั่นถามออกไป
“ต่อไป ใช้ร่างกายเธอให้ระวังที่สุด อย่าเจ็บ อย่าทำร้ายตัวเองเพราะความฝันนั่นอีก”
อา... ที่แท้เขาก็หมายความแบบนี้นี่เอง
แต่จะมาให้ฉันลืมฝันร้าย ๆ ที่กลืนกินฉันไปหลายเดือนแบบนี้ง่าย ๆ คงเป็นไปไม่ได้หรอก
“ถ้าเธอฝันร้าย ฉันจะไล่มันด้วยความทรงจำใหม่ให้เอง”
“ความทรงจำใหม่? อะ!”
รถจอดกะทันหันด้วยฝีมือเขา ตามมาด้วยมือฉันที่ถูกจับอย่างแผ่วเบาขึ้นอยู่ระดับอกของอีกคน
“แบบนี้”
ข้อมือฉันสัมผัสได้ถึงไอความร้อนจากลมที่เขาพรูมันออกมาจากปากหยักลึกสีธรรมชาติ เขาเอาแต่เป่าข้อมือฉันที่มีรอยแดงจากการถูกเขาบีบเมื่อกี้ซ้ำแล้วซ้ำอีก ฉันมองการกระทำนั้นอย่างงุนงงพร้อมอกข้างซ้ายที่เต้นระรัว
“ต่อไปถ้าเธอฝันร้าย ให้ยกมือข้างนี้ขึ้นมาดู ความอบอุ่นที่ฉันฝากไว้ตรงนี้จะขจัดฝันร้ายให้เธอเอง”
นี่ฉันไม่ได้ฝันไปใช่ไหม?
คุณเพลิงกัลป์ที่เมื่อกี้ยังชกต่อยลูกน้องเขาอย่างดุกร้าวอยู่คือคนเดียวกับที่อ่อนโยนกับฉันตรงนี้ใช่หรือเปล่า
หลายวันต่อมา
ในที่สุดฉันก็ได้สวมชุดนักศึกษาเหมือนคนอื่น ๆ สักที ยืนหมุนตัวซ้ายขวาอยู่หน้ากระจกเพื่อตรวจสอบความเรียบร้อยของเสื้อผ้าที่สวมอยู่ เสียงประตูห้องก็ดังขึ้น
“เชิญค่ะ”
“คุณเพลิงกัลป์ให้มาตามลงไปรับประทานอาหารเช้าค่ะ”
เธอคือแม่บ้านที่อยู่ประจำเพนต์เฮาส์นี้
“ค่ะ” ฉันพยักหน้าพร้อมขยับมุมปากยกขึ้นเล็กน้อย หยิบกระเป๋าสะพายแบรนด์ดังที่เฮียเทพเอามาให้เมื่อวันก่อนพาดไหล่
จะว่าไปแล้ว ข้าวของเครื่องใช้ฉันที่เกี่ยวกับการไปมหาวิทยาลัยฉันไม่เคยได้จัดการเองเลยสักอย่างเดียว แม้กระทั่งชุดนักศึกษาของตัวเอง คุณเพลิงกัลป์ก็ยังให้คนอื่นจัดการให้ โชคดีที่ไซซ์พอดีตัวฉันเลยไม่เป็นปัญหา ลิฟต์จอดที่ชั้นล่างสุด ฉันเดินออกมาแล้วตรงดิ่งไปที่โต๊ะอาหารทันที
“วันนี้เรียนวันแรก ตั้งใจล่ะ” เสียงทุ้มเอ่ยบอก
มือเขายังถือแก้วกาแฟดำของโปรดขึ้นจิบตามกิจวัตรประจำวัน แต่วันนี้ดูผิดแผกไปจากทุก ๆ วัน เมื่อเขาสวมเพียงแค่เสื้อยืดแขนยาวสีดำตัวเดียว
“ค่ะ” ตอบได้เพียงคำเดียวสั้น ๆ ทั้ง ๆ ที่ในใจอยากถามมากว่าวันนี้เขาไม่ได้ออกไปไหนเหรอ
“วันนี้เลิกเที่ยง เดี๋ยวเทชิจะเป็นคนไปรับกลับมาที่นี่”
เขารู้ตารางเรียนฉันหมดเลย ก็นะ... เขาเป็นคนจัดการทุกอย่างให้เองนี่
“วันนี้คุณเพลิงกัลป์ไม่ได้ไปไหนเหรอคะ”
ในที่สุดก็เผลอถามออกไป อีกคนตวัดสายตามองมาแต่ไม่ได้ดุมาก
“ฉันว่าจะพาเธอไปซื้อของใช้”
ของใช้?
ยังต้องมีของใช้อะไรอีก เท่าที่มีอยู่ฉันว่าก็มีครบทุกอย่างแล้วนะ
“ค่ะ” แม้ในใจจะอยากถามว่าต้องซื้ออะไรเพิ่ม แต่เพราะเป็นเพียงผู้อาศัยเลยไม่กล้าถามซักไซ้ให้มากความ
“กินสิ”
คนตัวโตที่นั่งอยู่หัวโต๊ะส่งสัญญาณให้ฉันทานอาหารตรงหน้า วันนี้เป็นอาหารเช้าสไตล์ตะวันตกง่าย ๆ ฉันตั้งใจลงมือทานอย่างมีมารยาท แต่ก็ยังมีเหลือบตามองอีกคนที่วัน ๆ ในเวลาเช้า ๆ เอาแต่จิบกาแฟไม่แตะอาหารใด ๆ
“มีอะไร”
เหมือนเขาจะรู้ว่าฉันแอบมองเลยถามขึ้น
“หนูเห็นคุณเพลิงกัลป์ทานแต่กาแฟทุกเช้า ไม่ดีต่อสุขภาพนะคะ”
อยากตีปากตัวเองอีกแล้ว ทำไมชอบยุ่งเรื่องคนอื่นด้วยนะ เขามองหน้าฉันเล็กน้อย ก่อนจะสั่นกระดิ่งที่วางไว้บนโต๊ะ สักพักแม่บ้านก็วิ่งกระหืดกระหอบมา
“คุณเพลิงกัลป์ต้องการอะไรคะ”
“เอาอาหารมาเพิ่มอีกชุด”
ฉันได้แต่ทำหน้างง ๆ มองเขาตาปริบ ๆ
ไม่ใช่ว่าเอามาเพิ่มให้ฉันใช่ไหม?
“ของคุณเพลิงกัลป์หรือคุณฟางเซียนคะ”
แม่บ้านถามเสียงอ้อมแอ้ม
“ของฉัน”
ขะ...ของเขา!
ไม่ใช่แค่ฉันที่ตกใจ แม่บ้านเองก็ดูแปลกใจเหมือนกันที่เจ้านายสั่งเธอแบบนั้น
“เร็วสิ!”
“ค...ค่ะ” แม่บ้านคนเดิมรีบค้อมหัวรับคำสั่งแล้ววิ่งกลับไปจัดการสิ่งที่เจ้านายต้องการ
“กินต่อสิ”
รีบก้มหน้าตักอาหารจานตัวเองทานต่อเงียบ ๆ พลางคิดในใจ
‘เขาคงไม่ได้ทำแบบนั้นเพราะคำพูดฉันใช่ไหมนะ?’
บนโต๊ะอาหารยังคงเงียบเช่นเดิม จนเฮียเทพเดินเข้ามา
“วันนี้มีแขกมาขอพบนายตอนเที่ยงตรงครับ”
“ใคร?”
คนที่กำลังใช้มีดหั่นเนื้อบนจานปรายตาขึ้นมองลูกน้องที่ยืนราย งานแค่แวบหนึ่ง
“คุณเคโกะครับ”
ชื่อน่ารักจัง เหมือนชื่อคนญี่ปุ่นเลย
“เลื่อนนัด เที่ยงนี้ฉันต้องไปทำธุระ”
“แต่วันนี้นายไม่มีธุระที่ไหนนี่ครับ”
มือฉันเหงื่อออกเมื่อเผลอนึกเข้าข้างตัวเองถึงธุระที่อีกคนว่า
“ไม่ต้องรู้มาก บอกไปตามนั้น”
“แต่...”
“ไม่มีแต่!”
“ครับนาย”
เมื่อกี้ตกใจจนเกือบทำส้อมหลุดมือ คุณเพลิงกัลป์ตะคอกเฮียเทพจนเสียงดังสะท้อนก้องทั้งห้องอาหาร
“ตกใจเหรอ” สายตาคมมองมาทางฉันอย่างสังเกตอาการ
“นะ...นิดหน่อยค่ะ”
ไม่หน่อยแล้วละ ใจฉันมันเต้นแรงมากเพราะอาการตกใจเสียงเขาเมื่อกี้
“ถ้าอิ่มแล้วก็ไปเรียนเถอะ”
ฉันรีบรวบช้อนกับส้อมไว้มุมจานอย่างไม่อิดออด ยกแก้วน้ำเปล่าขึ้นดื่มแค่จิบ ๆ ก่อนจะลุกขึ้นแล้วยืนตัวตรงยกมือไหว้อีกคนที่เพิ่งออกคำสั่ง
“เดี๋ยว!”
หันหลังให้เขาได้ยังไม่เต็มตัวดี คนตัวสูงก็เหมือนเดินมายืนอยู่ด้านหลังเพราะฉันรู้สึกเหมือนระยะห่างเรามันใกล้ลง
“เอานี่ไป ไว้ใช้จ่ายที่มหา’ลัย”
เงินจำนวนหนึ่งถูกยื่นมาให้ทั้ง ๆ ที่ฉันยังหันหลังให้เขา
พอเห็นจำนวนแบงก์ที่ค่อนข้างหนากว่าการให้ไปเรียนธรรมดาทำฉันรีบดันมือเขาพร้อมเงินนั้นกลับไป
“นี่มันเยอะไปค่ะ” ถึงฉันจะเพิ่งมาอยู่ที่ไทยเกือบห้าเดือน แต่ฉันก็รู้จักศึกษาค่าเงินบาทรวมถึงมารยาทต่าง ๆ ที่นอกเหนือจากแม่ที่เป็นคนจีนสอนไว้เป็นอย่างดี
“นี่เรียกเยอะ?”
ใช่สิ ก็เขารวย เงินแบงก์สีเทาแค่ห้าหกใบ คงเรียกเยอะสำหรับเขาไม่ได้
“ที่นั่นคงไม่ต้องพกเงินเยอะขนาดนี้มั้งคะ”
ฉันยังไม่ยื่นมือไปรับเงินก้อนนั้น ซ้ำยังก้าวถอยหลังเว้นระยะห่างออกมาอีกหนึ่งก้าว
“เอาไป ควักออกมาแล้วขี้เกียจเก็บเข้าที่เดิม”
แบบนี้ก็ได้เหรอ?
แค่เอาเงินเก็บไว้ในกระเป๋าสตางค์เหมือนเดิมมันยากขนาดนั้นเลย
“แต่ว่า...”