Chapter 04

3812 Words
พึ่บ! ยังไม่ทันได้ค้านอะไรออกไปอีกรอบ เงินจำนวนนั้นก็ถูกยัดเข้าที่มือฉันเรียบร้อยแล้ว “ใช้ให้หมดเลยก็ได้นะ” นี่เขาประชดฉันอยู่ไหม? เงินตั้งเยอะแยะจะให้ฉันที่ไปเรียนใช้ให้หมดในเวลาไม่กี่ชั่วโมงใครจะไปทำได้ อีกอย่าง... คุณค่าของเงิน ไม่มีใครรู้ซึ้งเท่าฉัน ฟางเซียน คนนี้แล้ว “ไปเถอะ ตอนเที่ยงค่อยเจอกัน” นี่ถ้าเขารวบฉันเข้าไปกอดจะได้ฟิวส์เหมือนพ่อส่งลูกไปเรียนเลยนะ “หนูไปนะคะ” ยกมือไหว้คนตรงหน้าอีกรอบ ยัดเงินนั้นเข้ากระเป๋าอย่างจำใจ เดินออกมาด้านนอกก็เจอคุณเทชิยืนเปิดประตูรถหรูรอแล้ว ไม่ว่าจะตบหน้าตัวเองกี่ทีต่อกี่ที เรื่องราวทั้งหมดนี้ก็คือความจริงไม่ใช่ความฝัน “วันนี้มีนักศึกษาย้ายมาเรียนกลางเทอม ใครใจดีก็ช่วยบอกงานเพื่อนให้ตามเก็บด้วยนะ” อาจารย์ประจำคลาสแนะนำฉัน ก่อนจะบอกให้หาที่นั่งเองตามสบาย ด้วยความที่เพิ่งเคยเจอบรรยากาศในห้องเรียนแบบกลิ่นไอผู้ใหญ่แบบนี้ก็รู้สึกเกร็งนิดหน่อย พอหาที่นั่งได้ก็รู้สึกเหมือนใครสะกิดจากทางขวามือ พอหันไปมองเจอผู้หญิงคนหนึ่งหน้าตาน่ารัก ผมสั้นกำลังดี รับกับกรอบหน้ารูปไข่ของเธอได้เป็นอย่างดี “หวัดดี พูดไทยได้ไหม” ทำไมเธอทักฉันแบบนั้นนะ ทั้ง ๆ ที่อาจารย์ไม่ได้บอกด้วยซ้ำว่าฉันมาจากที่ไหน “สวัสดีค่ะ” “คนไทยเหรอเนี่ย!” เหมือนเธอจะตกใจมากที่เห็นฉันพูดไทยฉะฉานแบบนั้น “เรานึกว่าสาวเกาหลีไรงี้” ไหงไปทางนั้นได้นะ... “เราชื่อชล” เธอยื่นมือมาเหมือนขอจับ “เราชื่อฟางเซียน” “ชื่อเหมือนคนจีนเลย” “อืม” ฉันไม่ได้เล่าต่อว่าตัวเองมีแม่เป็นคนจีนและพ่อเป็นคนไทย “มหาลัยเราต้องมีพี่รหัสนะ เดี๋ยวจบคลาสนี้เราพาเธอไปหาพี่รหัสเราก่อน เดี๋ยวให้เขาช่วยจัดการเรื่องนี้ให้” “...” ได้แต่พยักหน้าหงึก ๆ ดีจัง มาเรียนวันแรกก็ได้เพื่อนใหม่หนึ่งคนแล้ว เราใช้เวลาเรียนคลาสแรกจนถึงสิบโมงเช้า ก็เป็นการพักเบรกอิสระประมาณครึ่งชั่วโมงเพื่อเรียนคลาสสุดท้ายของวันนี้ ชลที่เป็นเพื่อนใหม่เธอเลยพาฉันมาหาพี่รหัสของเธอ “พี่แก้ม” ผู้หญิงที่ถูกชลเรียกหันมามองก่อนจะทักทายเหมือนสนิทกันมาก “ยัยแสบมาไงไปไงวันนี้” ว่าชลสวยแล้ว ผู้หญิงที่ชื่อแก้มก็สวยไม่ต่างกัน แต่ดูมีความเป็นกุลสตรีมากกว่าเพื่อนใหม่ที่ยืนข้าง ๆ ฉันหลายเท่าตัว “นี่ฟางเซียน เพื่อนใหม่เพิ่งย้ายมาค่ะ” รีบยกมือไหว้ตามมารยาท “น่ารักจัง” “ใช่ม้า!” “คงไม่ใช่พามาหาพี่เพื่อแนะนำเพื่อนใหม่แค่นี้ใช่ไหม” ฉันยืนมองชลกับพี่รหัสของเธอคุยกัน พลางเริ่มมองไปรอบบริเวณที่ยืนอยู่ เห็นเหล่านักศึกษาหลายชั้นปีหลากหลายคณะเดินขวักไขว่ไปมา บ้างก็มองมาทางฉันแล้วซุบซิบอะไรกัน บ้างก็เดินมองแบบชนิดที่ลืมมองทางเดินก็มี “แฮ่ ๆ รู้ทัน คืองี้นะ พี่แก้มพอจะรู้จักใครที่ยังไม่มีน้องรหัสหรือเปล่า ชลจะหาให้ฟางเซียนน่ะ” เพราะได้ยินอีกคนเหมือนเรียกชื่อตัวเองเลยหันไปมอง “ไม่รู้สิ เดี๋ยวพี่ลองสืบ ๆ ให้นะ เข้ากลางคันก็แบบนี้แหละ อาจจะมีหรือไม่มีพี่รหัสจนจบเลยก็ได้” ตอนแรกเธอคุยกับชล แต่ประโยคท้ายหันมาบอกฉันอย่างเป็นมิตร “แล้วนี่ไม่มีเรียนเหรอ” “พวกเราพักเบรกค่ะ” “งั้นไปร้าค้ากันไหม น้องรหัสมาหาทั้งที่ พี่ต้องเทกแคร์หน่อย” “เย่! ไปกันฟางเซียน” ข้อมือฉันถูกคว้าจากชล เธอดึงฉันให้เดินตามพี่คนสวยที่ชื่อแก้ม ตลอดทางฉันเอาแต่เดินก้มหน้าเพราะไม่อยากสบตากับคนรอบข้างที่เอาแต่มองเหมือนฉันเป็นตัวประหลาด วี้ดวิ้ว~ เสียงผิวปากดังลอยมาแต่ไกล จากนั้นก็ปรากฏกลุ่มผู้ชาย สูงยาวเข่าดี หน้าตาจัดว่าดีแต่ไม่เท่าลูกน้องคุณเพลิงกัลป์ที่ฉันรู้จัก “พาสาวสวยที่ไหนมาเอ่ย” ผู้ชายรูปร่างสูงผิวติดคล้ำนิด ๆ กระโดดมาขวางทางพวกเรา “ถอยไปเลยอันธพาล” ขอกลับคำนิดนึง ตอนแรกบอกว่าพี่แก้มแกเหมือนกุลสตรี แต่ตอนนี้ฉันว่าไม่ใช่แล้วล่ะ เธอดูห้าวนิด ๆ แต่ไม่ถึงกับดีดกะโหลก “น้องแก้มก็ตอบพี่เอสมาก่อนสิครับ” ชลที่จับมือฉันอยู่รีบปล่อยทันทีแล้วเดินไปดึงพี่รหัสเธอถอยห่างคนกลุ่มนั้น “พวกพี่ช่วยมีมารยาทหน่อยสิคะ” ฉันไม่ค่อยชอบสถานการณ์แบบนี้เลย “พี่ไม่มีมารยาทตรงไหน เมื่อกี้ก็ถามพวกเราดี ๆ” ประโยคน่ะดี แต่การกระทำยอดแย่เลยล่ะ “โอ๊ะโอ... นั่นใครหนอ พี่เอสสุดหล่อไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนเลย” คนที่เรียกตัวเองว่าเอส เปลี่ยนเป้าหมายมาทางฉันแทน “นี่! อย่ามายุ่งกับเพื่อนน้องรหัสฉันนะ” พี่แก้มรีบเข้ามาขวางไว้ แต่เหมือนอีกคนจะไม่ค่อยกลัวเกรง เขาผลักไหล่เธอจนเกือบเซล้ม อันธพาลอย่างที่พี่เขาเรียกตอนแรกเลย “เป็นไรไหมพี่” ชลรับพี่รหัสเธอไว้ทัน ทว่าฉันที่มัวแต่เป็นห่วงคนที่ยื่นมือมาช่วยเลยลืมดูแลตัวเอง ข้อมือถูกรั้งให้เซไปข้างหน้าจนใบหน้าชนเข้ากับแผงอกเขา “ปล่อยนะ!” การกระทำของเขาทำให้ฉันนึกถึงพวกมาเฟียที่ป้าเหยาขายฉันให้พวกมัน หัวเริ่มมึนตื้อ เปลือกตาเริ่มหนักอึ้ง รู้สึกลมหายใจเริ่มติดขัดจนต้องใช้ปากช่วยหายใจ “ปะ...ปล่อย” แม้แต่เสียงยังเหมือนมีแค่ลมพ่นออกไปเลย หมับ! “มึงเป็นใครวะ โอ๊ย!” รู้สึกเหมือนถูกใครอีกคนกระชากร่างเข้าไปกอดไว้ ตามมาด้วยเสียงเหมือนคนโดนรุม เพราะมีเสียงร้องเหมือนเจ็บปวดดังขึ้น อยากลืมตาขึ้นมองแต่ยิ่งได้ยินเสียงเอะอะโวยวายชกต่อยกันฉันยิ่งหายใจไม่ออก “พอแล้ว!” เสียงคุ้นหูดังขึ้น ร่างกายรู้สึกถึงการกอดรัดที่แน่นขึ้นแต่กลับรู้สึกอบอุ่น “ครับนาย” คำว่า ‘นาย’ จากเสียงที่คุ้นหูเช่นกันทำให้ฉันตัดสินใจเงยหน้าขึ้นมอง สันกรรมได้รูป ใบหน้าคมเข้มแววตาเย็นชาแบบนี้มีแค่คนเดียวเท่านั้น “คะ...คุณเพลิงกัลป์” เขามาได้ไง? “กลับกันเถอะ” ยังไม่ทันได้ตอบตกลง ฉันก็ถูกโอบไหล่ให้เดินตามแรงนำพาของเจ้าของอ้อมกอดนั้นไปเสียแล้ว ฉันถูกคุณเพลิงกัลป์พาขึ้นรถหรูของเขาขับออกมาจากมหาลัย ไม่รู้ว่าบังเอิญไปหาฉันที่มหา’ลัย แล้วเจอเหตุการณ์นั้นพอดี หรือว่าเขาตั้งใจตามไปตั้งแต่แรก แต่ที่แน่ ๆ คือ ฉันไม่กล้าถามความจริงเขาแน่นอน “พวกนั้นเป็นใคร” ความเงียบที่ปกคลุมมานานถูกคนตัวโตผมสีเงินถามขึ้น “...” ฉันก้มหน้างุด สองมือพันกันไปมาด้วยความกลัวส่วนหนึ่งและไม่รู้ว่าเขาหมายถึงใครอีกส่วนเลยยังไม่ตอบ “ผู้ชายพวกนั้น” เขาคงเพิ่งนึกได้ว่าคำถามตัวเองมันดูกว้างไปเลยถามอีกครั้งแบบระบุตัวตน “หนูไม่รู้ค่ะ แต่พี่แก้มกับชลเรียกพวกเขาว่าอันธพาล” “ต่อไปฉันคงต้องให้ใครสักคนตามประกบเธอ” “ไม่ได้นะคะ!” แย่แล้ว! ทำไมถึงกล้าปฏิเสธเขาเสียงแข็งแบบนั้นนะ ดูสิ! คุณเพลิงกัลป์คิ้วขมวดแล้ว “คือ... หนูไม่อยากให้คนอื่นมองหนูแบบเป็นลูกมาเฟียอะไรพวกนั้นค่ะ” ถ้าเขาให้คนตามประกบฉันจริงขอเลือกนอนอยู่บ้านไม่ต้องออก ไปเรียนดีกว่า “อึดอัด?” “...” ข้อนี้ถามตรง ฉันเลยพยักหน้าเบา ๆ แต่ยังไม่กล้าสบตาเขา “นายจะกลับเพนต์เฮาส์เลยไหมครับ” เสียงคุณเทชิถามขึ้น “ไปห้าง” แต่คำตอบผู้เป็นนายทำฉันขมวดคิ้วเป็นหนที่เท่าไหร่ไม่รู้ “ฉันเคารพการตัดสินใจของเธอ แต่หลังจากนี้เราต้องมีกฎที่ต้องตกลงกัน” กฎเหรอ? คงไม่มีอะไรยากหรอกมั้ง อย่างฉันจะทำอะไรได้นอกจากตอบตกลง “ค่ะ” เอาจริง ๆ มาอยู่ที่นี่ได้ห้าเดือน ฉันนับจำนวนครั้งที่ออกมาเดินห้างแบบนี้ได้เลย นี่เป็นครั้งที่สามในรอบห้าเดือนที่ฉันได้ออกมาเปิดหูเปิดตา “เอาเครื่องที่แพงที่สุด” สงสัยไหมว่าเขากำลังทำอะไร คุณเพลิงกัลป์พาฉันมาร้านโทรศัพท์มือถือ เขาสั่งพนักงานให้หยิบเครื่องที่แพงที่สุดมาให้ฉันเลือก “ชอบเครื่องไหน” ฉันเล่นไม่เป็น ไม่รู้ว่าเครื่องไหนดีกว่ากัน เลยจิ้มมั่ว ๆ “สีม่วง เขาบอกสีของคนอกหัก” เขาพูดพร้อมกับเปลี่ยนเครื่องเป็นสีขาวแทน “เอาสีนี้เหมาะกับเธอดี” เขากำลังจะสื่อว่าสีขาวบริสุทธิ์หรือเปล่า “ค่ะ” ก็ไม่น่าให้เลือกแต่แรกก็จบไหม? “เฮียเพลิง!” เสียงนี้ค่อนข้างคุ้น พอหันตามทิศทางที่คุณเพลิงกัลป์มองก็เจอกับผู้หญิงคนหนึ่งที่สวยเฉี่ยว แต่งตัวเปรี้ยวจัด ต่างจากตอนที่เจอกันที่โรงพยาบาลอย่างสิ้นเชิง “วันนี้ไม่ทำงาน” เขาถามน้องสาวเขาหรือก็คือหมอลิลณาที่เคยรักษาฉัน “หยุดยาววววว” เธอลากเสียงก่อนจะสะดุดตอนที่สบตาฉันพอดี “อ้าว วันนี้ไปเรียนวันแรกไม่ใช่เหรอ” หมอลิลณาถามขึ้น เธอมองฉันสลับพี่ชายเธอแถมยังเห็นมุมปากที่แย้มขึ้นนิด ๆ เหมือนคิดอะไรอยู่ “เลิกแล้ว” คนที่ตอบก็เป็นคนที่ยืนข้างฉันนี่แหละ “แล้วนี่มาทำไรกันอะ เดตเหรอ?” “ยัยแสบ!” “อุ๊ย! ปากไวไปหน่อย” เธอยกมือปิดปาก ท่าทางแบบนี้เหมือนแกล้งพี่ชายเธอมากกว่าพูดจริง แต่ดูอีกคนจะไม่ค่อยมีอารมณ์ขันใด ๆ กับเขาเลยนะ “ชื่อฟางเซียนใช่ไหม” “ค่ะ” ฉันพยักหน้า ทว่ายังไม่กล้าสู้สายตาที่มองมาแบบแปลก ๆ ของหมอลิลณา “นี่ก็ใกล้เที่ยงแล้ว ไปทานข้าวเป็นเพื่อนเจ้หน่อยสิ” มือบางเรียวจับเข้าที่ข้อมือฉันเบา ๆ พร้อมดึงให้เดินตาม หมับ! มืออีกข้างก็ถูกคว้าไว้ด้วยมือหนาของคนที่มองตาขวางใส่น้องสาวเขาเช่นกัน “ไม่มีมารยาท ฉันยังทำธุระไม่เสร็จ” เสียงคุณเพลิงกัลป์ออกไปทางดุอีกคน แต่เหมือนหมอลิลณาจะไม่สะทกสะท้านทั้งสายตาเย็นชาและน้ำเสียงดุ ๆ นั่นของพี่ชายเธอเลยสักนิด “ฟางเซียนไม่มีเงินจ่ายของพวกนั้นหรอก เฮียจัดการเสร็จค่อยตามพวกเรามาแล้วกัน” “อ๊ะ!” ร่างฉันเกือบจะลอยตามแรงกระชากของเธอ แต่ไม่ใช่กระชากให้เจ็บตัวอะไรนะ เธอแค่ดึงฉันให้เดินตามปกติ ผิดที่ฉันมัวแต่เหม่อจนเดินตามไม่ทันเอง “ตกลงนี่คบกันเหรอ?” “คะ?” ไม่เข้าใจความหมายของคำถามนั้นจนคิ้วขมวดยุ่น “ไม่มีอะไรหรอก” หรือว่าเมื่อกี้ฉันจะหูแว่วไปเอง? “อยากกินอะไรเป็นพิเศษไหม” เราสองคนหยุดยืนอยู่ใจกลางโซนร้านอาหารที่มีให้เลือกหลาก หลายร้านหลากหลายสไตล์ “นั่นเป็นไง” หมอลิลณาชี้ไปยังร้านที่เป็นป้ายชื่อภาษาจีน ฉันรีบขืนแรงไว้เพราะไม่อยากนึกถึงตัวตนของตัวเอง “หนูว่ารอคุณเพลิงกัลป์ก่อนดีไหมคะ” ยื้อเวลาไว้ก่อนฟางเซียน ไม่ใช่ว่ารังเกียจที่จะอยู่กับหมอลิลณาคนสวย แต่ฉันแค่รู้สึกว่าเธอมีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่ ถึงแม้จะไม่ได้รู้สึกถึงเจตนาไม่ดี แต่เธอกำลังมีลับลมคมนัยอะไรสักอย่างแน่ ๆ “ห่างกันไม่ได้เลยนะ” กำลังจะปฏิเสธสิ่งที่เธอว่า แต่อีกคนก็ขำพรืดออกมาทำลายบรรยากาศอึดอัดของฉัน “ล้อเล่น” “...” “เรายังไม่ได้แนะนำตัวกันเลยใช่ไหม ฉันชื่อลิลณา เป็นน้องสาวเฮียเพลิง ต่อไปเรียกเจ้ลิลลี่แล้วกันนะ น้องฟางเซียน” รอยยิ้มหวานของเธอยิ่งขับให้ใบหน้าที่สวยเฉี่ยวอยู่แล้วสวยยิ่งกว่าเก่า “สำหรับตระกูลวิสุทธิ์กมลเทพ ถ้านับญาติกับใครแล้วแปลว่าคนนั้นคือครอบครัวของพวกเราคนหนึ่ง” ฉันไม่รู้ว่าเธอกำลังจะสื่ออะไร แต่ที่จับสัมผัสได้คือ คนตรงหน้าไม่ได้คิดร้ายอะไรกับฉัน “ไม่รู้ใครห่างใครไม่ได้กันแน่” สักพักเธอก็พูดขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย พร้อมมองไปทางด้านหลังฉัน อดใจไม่ได้เลยมองตามสายตาของเจ้ลิลลี่ เห็นผู้ชายที่ออร่าโดดเด่นกว่าคนไหน ๆ ที่เดินสวนไปมากับเขากำลังย่างสามขุมมาทางนี้ น้องสาวก็สวย พี่ชายก็หล่อ อิจฉาคนบ้านนี้จริง ๆ “เพิ่งนึกขึ้นได้ว่านัดเพื่อนไว้ ลิลลี่ไปก่อนนะคะ” เอ้า! เมื่อกี้ไม่เห็นจะมีวี่แววแบบนี้เลยนี่ พอพี่ชายเธอมา ตัวเองก็ชิ่งซะงั้น “คุยอะไรกัน” เจ้ลิลลี่ทิ้งฉันไว้กับพี่ชายเขาตามเดิม ส่วนคนตัวสูงก็ไม่ได้สนใจน้องสาวตัวเองสักนิด หันมาคาดคั้นเหมือนฉันกับน้องสาวเขามีความลับอะไรกันงั้นแหละ “เปล่าค่ะ เจ้ลิลลี่ให้หนูเลือกร้านอาหาร แต่ว่าตอนนี้...” ‘คนลากฉันมาหนีไปเรียบร้อยแล้ว’ ต่อประโยคในใจเงียบ ๆ “ยัยแสบให้เรียกแบบนั้น?” “คะ? อ้อ ใช่ค่ะ” เขาคงหมายถึงที่ฉันเรียกน้องสาวเขาว่าเจ้ลิลลี่ “ถ้าไม่อยากกินอะไรก็กลับบ้านกัน” ร่างสูงโปร่งสวมชุดสีดำแทบจะเป็นสีโปรดของเขาเดินนำออกไปแล้ว ฉันจำต้องรีบก้าวขาสั้น ๆ ให้ก้าวยาว ๆ จะได้ตามเขาทัน ทุกพื้นที่ ๆ เดินผ่าน สาวน้อยสาวใหญ่มองคุณเพลิงกัลป์ตาเป็นมันเชียว บางคนถึงกับแอบยกโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปไว้ก็มี เฮ้อ! ฮอตจริง ๆ ผู้มีพระคุณของฉัน ตอนนี้ฉันกำลังถูกขนาบข้างด้วยบอดี้การ์ดของคุณเพลิงกัลป์ทั้งสองคน ส่วนด้านหน้ายังมีผู้ชายแสนเย็นชานั่งเฝ้าอีกต่างหาก “อะ สมัครให้ครบทุกอย่างแล้ว” เฮียเทพยื่นโทรศัพท์ที่คุณเพลิงกัลป์เพิ่งซื้อให้หมาด ๆ คืนฉัน “ส่วนนี่ รหัสพร้อมพาสเวิร์ดสำหรับเข้าใช้งานแอปต่าง ๆ” คุณเทชิเองก็ยื่นสมุดโน้ตขนาดเท่าฝ่ามือมาให้ฉันเช่นกัน “ฝึกเล่นให้ชิน” คุณเพลิงกัลป์สั่ง “จะพยายามค่ะ” ฉันตอบอย่างเรียบง่าย นั่งดูเฮียเทพเล่นเมื่อกี้ก็ไม่เห็นจะยากอะไร “เฮียครับ ได้เวลาแล้ว” ฉันเหลือบมองดูเวลาที่ผนังห้อง บ่งบอกว่าเที่ยงตรงพอดี เมื่อเช้าเขามีนัดนี่นะ... “พวกมึงออกไปก่อน” สิ้นคำสั่งทั้งสองคนก็ออกไปจากห้องนี้ทันที ส่วนห้องที่ว่าก็ไม่ใช่ห้องไหน เป็นห้องนั่งเล่นที่อยู่ชั้นล่างนี่แหละ Rrrr... เสียงริงโทนที่เฮียเทพเพิ่งตั้งให้ฉันหมาด ๆ ดังขึ้นจากโทรศัพท์เครื่องที่ถืออยู่ รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยว่าใครโทร.มา เพราะเครื่องเพิ่งเปิดใช้บริการ และในวินาทีต่อมาฉันก็กระจ่างแจ้งว่าเบอร์ที่ว่านี้คือเบอร์ใคร “รับสิ นั่นเบอร์ฉันเอง” เบอร์เขา? แล้วทำไมต้องให้ฉันรับสายด้วย บอกแค่นี้ก็รู้แล้ว “รับ” เสียงทุ้มดังขึ้นอีกรอบ รีบลนลานสไลด์หน้าจอที่ปุ่มสีเขียวทันที “ค่ะ” กรอกเสียงลงไปพร้อมสบตาเขาอย่างงง ๆ “ต่อไปถ้าฉันโทร.หา ต่อให้ยืนอยู่ตรงหน้า เธอก็ต้องรับสายห้ามปฏิเสธเด็ดขาด!” ดะ...เดี๋ยวนะ! แบบนี้ก็ได้เหรอ? ยืนอยู่ด้วยกันเขายังจะต้องโทร.หาฉันทำไมอีก “ค่ะ” แต่ก็อย่างที่รู้ ๆ ไม่ว่าคำสั่งเขาจะแปลกพิสดารแค่ไหนฉันก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากน้อมรับคำสั่งพวกนั้น “บันทึกไว้ด้วย” เขาวางสายไปแล้ว ฉันกำลังจะกดบันทึกเบอร์ ลำคอเนียนโล่งก็รู้สึกถึงลมหายใจอุ่น ๆ กระทบจนชวนขนลุก “พิมพ์ตามที่ฉันบอก” ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันแน่น ลมหายใจฉันหยุดเฮือกไปชั่ววินาที ก่อนจะค่อย ๆ ผ่อนลมหายใจอีกครั้งแต่ยังไม่ปกติเท่าไรเมื่อใบหน้าคมเข้มที่แทรกมาจากทางด้านหลังอยู่ห่างแก้มเนียนฉันไปไม่กี่เซนฯ ทะ...ทำไมต้องมายืนซ้อนด้านหลังแบบนี้ด้วย “สระเอ” เสียงทุ้มเอ่ยช้า ๆ ในท่าเดิม ฉันพยายามคุมมือไม่ให้สั่นทั้ง ๆ ที่ความเป็นจริงคือฉันสั่นไปทั้งตัวแล้ว ไม่ใช่ความสั่นกลัว แต่มันสั่นวูบวาบอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน “ฮ.นกฮูก” ทำไมไม่บอกเป็นชื่อมาเลยจะให้พิมพ์ว่าอะไร มาบอกทีละคำแบบนี้ ลมที่ออกจากปากเขาก็ยิ่งกระทบผิวแก้มฉันซ้ำแล้วซ้ำอีก “สระอี” ตุ้บ! เห็นไหม มือฉันสั่นจนทำโทรศัพท์หลุดมือไปแล้ว “หึ!” ได้ยินเสียงขำเบา ๆ ดังลอดออกมา จากนั้นร่างกายฉันก็แข็งทื่อราวถูกสาป เมื่อมือแกร่งเอื้อมเหมือนโอบกอดฉันข้างหนึ่งเพื่อมาคว้ามือถือไปถือไว้ จากที่ตอนแรกมาแค่มือข้างเดียว แต่นาทีนี้เขาใช้มืออีกข้างเอื้อมโอบมาด้านหน้า กลายเป็นร่างบางของฉันอยู่กึ่งกลางแขนทั้งสองข้างของเขา ใบหน้าเขายังคงวางตำแหน่งเดิมจนบางครั้งแอบเสียดสีแก้มฉันเบา ๆ แล้วก็ขยับออกห่างเล็กน้อย ไม่ดี ๆ ตอนนี้ร่างกายฉันวูบวาบ หายใจไม่ทั่วท้องไปหมดแล้ว “พูดตามสิ” นึกว่าจะจบแล้ว แต่คนตัวโตที่ไม่รู้กำลังเล่นอะไรอยู่ออกคำสั่งให้ฉันอ่านตามสิ่งที่เขาพิมพ์ “ยะ...ย.ยักษ์” นี่เขากำลังจะสอนพยัญชนะไทยให้อยู่หรือเปล่าเนี่ย “สระเอ” เสียงฉัน “อืม” ทำไมต้องครางตอบด้วย ฉันถูกสอนเขียน สอนอ่านภาษาไทยมาตั้งแต่จำความได้จากแม่แท้ ๆ อยู่แล้ว ทำให้พื้นฐานแน่น ไม่ต้องมาหลอกวัดไอคิวฉันก็ได้ค่ะ “พูดต่อสิ” พอฉันเงียบเพราะรู้สึกสติสตังไม่ค่อยอยู่กับตัว คนด้านหลังก็ใช้ไหล่หนาเขาสะกิดไหล่บางฉันที่เหมือนถูกโอบกอดอยู่ให้อ่านพยัญชนะตัวต่อไป “พ.พาน” ทำไมต้องทำอะไรให้ยุ่งยากแบบนี้ก็ไม่รู้ “ล.ลิง” “...” “สระอิ” “...” “งะ...ง.งู” เพียงแค่ฉันอ่านตัวสุดท้าย (คิดว่านะ) จบ คนตัวโตก็กดปุ่มบันทึกทันที “ลองอ่านทวนเป็นคำให้ฟังหน่อยสิ” นี่เขากำลังจะวัดความรู้ฉันจริง ๆ ใช่ไหม “ไม่อ่าน? งั้นเดี๋ยวฉันอ่านให้ฟัง” “...” ฉันได้แต่กลืนน้ำลายหนืด ๆ ลงคอ หายใจยังต้องค่อย ๆ และเบาที่สุดเพราะกลัวใบหน้าจะเฉียดถูกัน “เฮียเพลิง” เสียงเขา “ถ้าเบอร์นี้โชว์ที่เครื่องเธอเมื่อไร ต้องรับสายทันที ไม่ว่าจะยุ่งแค่ไหนก็ตาม นี่คือกฎข้อแรกของฉัน” ให้ตายสิ! เขาบันทึกเบอร์ตัวเองว่า ‘เฮียเพลิง’ ไม่พอ ยังบังคับให้ฉันอ่านให้เขาฟัง พอฉันไม่อ่านคนเอาแต่ใจกลับออกเสียงอ่านเอง แถมยังตั้งกฎประหลาด ๆ นั้นไว้อีก “ไหน ลองมาทวนคำพูดฉันเมื่อกี้ดูสิ” “คะ!?” นึกว่าจะรอดแล้วแท้ ๆ แต่เหมือนผู้มีพระคุณฉันจะไม่ยอมจบง่าย ๆ “เอาสิ ฉันอยากฟังจากปากเธอ” ฮือ ๆ วันนี้ฉันคงไม่ได้ไปเหยียบขาหรือทำอะไรให้เขาโกรธใช่หรือเปล่า ทำไมถึงรู้สึกว่ากำลังโดนแกล้งอยู่ก็ไม่รู้ “ฮะ...เฮีย เพลิง” แม้แต่ออกเสียงยังสั่นเครือเลย หายใจก็ติด ๆ ขัด ๆ เพราะรู้สึกเหมือนอีกคนจะโถมน้ำหนักตัวลงมาพิงฉันมากเกินไปจนต้องขืนร่างกายให้ดูมั่นคงแข็งแรงรับน้ำหนักเขา “ถ้าเบอร์นี้โทร.มา หนูต้องรับสาย ห้ามปฏิเสธเด็ดขาด” ฉันทวนสิ่งที่เขาพูดตอนแรกในแบบที่ตัวเองเข้าใจ และดูเหมือนอีกคนจะพอใจแล้วเลยปล่อยฉันให้เป็นอิสระ เดินกลับไปนั่งที่เก้าอี้ตัวเดิมก่อนออกคำสั่งต่อมา “กฎข้อที่สอง” แค่กฎข้อแรกหัวใจฟางเซียนก็จะวายอยู่แล้ว หวังว่าข้อสองของเขาคงไม่ยากนะ “ห้ามคบเพื่อนผู้ชายที่มหาลัย” “แล้วถ้ามีงานกลุ่มล่ะคะ?” แบบนี้มันกดสิทธิส่วนบุคคลเกินไปนะ “ฉันหมายถึงคบเป็นแฟน” อ๋อ นึกว่าหมายถึงคบพูดคุยเป็นเพื่อนอะไรพวกนั้น “หนูไม่คิดเรื่องพวกนั้นตอนนี้หรอกค่ะ คุณเพลิงกัลป์ไว้ใจได้” ฉันตอบอย่างมั่นอกมั่นใจ แถมรอยยิ้มสวยให้อีกหนึ่งรอยเลย “แล้วเมื่อไหร่ถึงจะพร้อม” “คะ?” ทำไมวันนี้เขาดูแปลก ๆ “ช่างเถอะ ทำให้ได้อย่างที่รับปากแล้วกัน” ฉันพยักหน้าสบตาเขาอย่างไม่ละไปไหนเพื่อแสดงความจริงใจว่าฉันจะไม่ผิดคำพูดตัวเองแน่นอน “ข้อสาม” ยังมีต่ออีกเหรอเนี่ย! “ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น คนที่เธอต้องนึกถึงคนแรกคือฉัน” ข้อนี้เขาไม่บอกฉันก็ทำอยู่แล้ว ในเมื่อที่นี่ฉันมีเขาแค่คนเดียวที่พึ่งพิงได้ “ค่ะ คุณเพลิงกัลป์จะเป็นคนแรกที่หนูคิดถึง” ฉันว่าวันนี้เริ่มจะรู้จักคำว่ารอยยิ้มขึ้นเยอะเลยละ เมื่อกี้มุมปากฉันยกสูงขึ้นทั้งสองข้างแถมยังกว้างกว่าปกติด้วย “ขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัวเถอะ ถ้าหิวก็เรียกแม่บ้านแล้วกัน” สั่งฉันเสร็จ ตัวเขาเองก็เป็นฝ่ายเดินออกไปจากตรงนี้แทน ฉันมองตามแผ่นหลังกว้างจนลับสายตา ก่อนที่อกข้างซ้ายจะเต้นผิดแปลกไป
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD