“คุ...”
เกือบไปแล้ว เกือบหลุดปากเรียกเขาเหมือนก่อนไปแล้วฟางเซียน
“เฮียเพลิงมาหาหนูหรือเปล่าคะ”
สงสัยก็แค่ถาม เพราะนี้เป็นหน้าห้องนอนฉัน เขาไม่น่ามีธุระอื่น
“เห็นยังไม่ลงไปเลยขึ้นมาดู”
“อ๋อ ค่ะ พอดีหนูนอนไม่ค่อยหลับเลยตื่นสายนิดหน่อย”
“นอนไม่หลับ? แต่เมื่อคืนฉันก็บอกให้ฝันดีแล้ว”
ทำไมพูดตรงแบบนี้! ดูสิ เจ้ลิลลี่อมยิ้มแล้วจ้องฉันใหญ่เลย
“คือ...” จะบอกยังไงดีว่าเพราะคิดมาก กลัวเขาจะโกหกเรื่องสถานที่อยู่น่ะสิ
“นอนไม่หลับเพราะเป็นห่วงคนแถวนี้หรือเปล่าจ๊ะ”
เสียงหวาน ๆ ของเจ้ลิลลี่ยิ่งทำฉันเขินหน้าแดง ต้องก้มหน้ามองปลายเท้าตัวเองแทน
“จริง?” เสียงทุ้มอีกคนดันบ้าจี้ตามน้องสาวเขาถามออกมาได้
“ไปเรียนกันเถอะ เดี๋ยวสายเอา”
ขอบคุณเจ้ลิลลี่ที่ช่วยชีวิตฉันไม่ให้ตอบคำถามนั้นของพี่ชายเธอ ถึงแม้เธอจะเป็นคนทำให้เกิดคำถามนั้นก็เถอะ
“หนูไปเรียนก่อนนะคะ” ฉันรีบยกมือไหว้ผู้ชายผมสีเงินตรงหน้าแล้วเดินสวนออกมา
ทว่า...
“กลับมาต้องตอบคำถามเมื่อกี้ด้วยนะ”
เขากระซิบเบา ๆ ตอนที่ฉันกำลังเดินผ่าน
เพียงแค่ลมหายใจอุ่น ๆ เป่ากระทบลงมาโดนลำคอฉันแค่เล็กน้อยก็ทำสั่นไหวทั้งร่างกาย รีบก้มหน้าเดินตามเจ้ลิลลี่เข้าประตูลิฟต์ ปล่อยอีกคนที่หันมาสบตาฉันจนประตูลิฟต์ปิดไว้ตรงนั้นคนเดียว
“เฮียเพลิง... น่ารักดีนะ”
“คะ?” ไม่เข้าใจที่เจ้ลิลลี่พูดเลยเอียงคอถามเธอ
“ก็ที่เราเรียกเมื่อกี้ไง เฮียเพลิงน่ะ”
อา... นี่แซวฉันอยู่ใช่ไหมเนี่ย!
“ถ้าหนูไม่เรียก คุณเพลิงกัลป์บอกจะลงโทษเอาค่ะ”
ลับหลังเขาขอเรียกเหมือนเดิมแล้วกันมันชินปากกว่า
“ลงโทษอะไร?”
คำถามเจ้ลิลลี่ทำฉันส่ายหน้าเป็นคำตอบ ก่อนเอ่ยต่อ “หนูก็ไม่รู้ค่ะ”
เมื่อคืนเขาแค่บอกแบบนั้นแต่ไม่ได้บอกบทลงโทษว่าเป็นอะไร
“แล้วเราไม่อยากรู้เหรอ เผื่อจะเป็นบทลงโทษร้ายแรง ทำร้ายร่างกายไรงี้”
สิ่งที่เธอพูดมาทำฉันกลัว แต่ก็แค่เสี้ยววินาทีพอตั้งสติได้ว่าคนอย่างคุณเพลิงกัลป์ไม่น่ามีนิสัยแบบนั้นเลยเอ่ยบอก
“คุณเพลิงกัลป์เป็นคนดี ไม่ทำร้ายผู้หญิงหรอก ...ใช่ไหมคะ?”
แม้จะมั่นใจว่าเป็นแบบที่ตัวเองเข้าใจ แต่ท้ายประโยคยังติดคำถามให้คนที่สนิทกว่าฉันตอบ
“ไม่รู้สิ ผู้หญิงคนอื่นน้ำตาอาบแก้มเป็นว่าเล่น ดูอย่างยัยเคโกะสิ ได้ข่าวว่าเมื่อวานมาก่อเรื่องที่นี่แล้วถูกเฉดหัวออกไปไม่ใช่หรือไง?”
ทำไมเจ้ลิลลี่พูดเหมือนกำลังขู่ฉันอยู่เลย
“ถ้าเราอยากรู้ว่าจริง ๆ แล้วไอ้เฮียจะลงโทษเราแบบไหนก็ลองพิสูจน์ดูสิ” รอยยิ้มและสายตาแบบนั้นไม่ค่อยน่าเชื่อให้ทำตามเลย
“ไม่ดีกว่าค่ะ หนูเชื่อว่าคุณเพลิงกัลป์ไม่ทำร้ายผู้หญิง”
ปักใจเชื่อแล้วก็ต้องเชื่อตัวเองต่อไป อยู่มาตั้งห้าเดือนกว่าแล้วเขายังไม่เคยทำร้ายฉันเลย บทลงโทษนั้นจะเป็นอย่างที่เจ้ลิลลี่พูดได้ยังไงกัน
“ตามใจ แต่ถ้าเปลี่ยนใจอยากรู้ก็ลองพิสูจน์ดูแล้วกันนะ”
ลิฟต์ถึงชั้นล่างพอดี ร่างสวยหุ่นแซ่บเดินออกจากลิฟต์ก่อนหน้าฉัน
แต่เดี๋ยวนะ! เหมือนจะลืมถามอะไรบางอย่างออกไป
“ทำไมวันนี้เจ้ลิลลี่แต่งชุดแบบนี้ล่ะคะ?” ที่จริงว่าจะถามตั้งแต่เห็นครั้งแรกแล้วแต่เหมือนมันมีอะไรมาขัดตลอดเลยไม่ได้ถามออกไป
“อ้อ มีคนจ้างมาน่ะ!”
“คะ?”
“ไม่มีอะไร ฉันเป็นนักจิตวิทยา ก็แค่อยากลองหาประสบการณ์ไปลอบสังเกตพฤติกรรมหนุ่มสาวสมัยนี้ที่มหาลัยหน่อย เผื่อมีประโยชน์ไว้ใช้วันข้างหน้า”
ฉันได้แต่พยักหน้าเหมือนเข้าใจ แต่ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี จวบจนร่างบางกวักมือเรียกให้ฉันเดินไปขึ้นรถเธอที่จอดอยู่
“วันนี้ไปรถเจ้ เดี๋ยวเจ้รบกวนเราช่วยพาเจ้เข้าคลาสเรียนเพื่อสังเกต การณ์ด้วยหนึ่งวันนะจ๊ะ”
เธอขยิบตาให้หนึ่งที พร้อมเปิดประตูรถยุโรปคันหลายสิบร้านให้ฉันขึ้นไปนั่ง วันนี้สายแล้วเลยไม่ได้ทานมื้อเข้า ไว้ค่อยไปหาอะไรรองท้องที่มหาลัยเอาแล้วกัน
“คุณฟางเซียน!”
แต่จังหวะที่จะปิดประตูรถ เฮียเทพก็ตะโกนเรียกฉันไว้ทัน
“นี่ครับ”
“อะไรคะ” เป็นถุงกระดาษขนาดกลาง ๆ ที่เฮียเทพยื่นมาให้
“นายฝากมาให้พร้อมกำชับว่าทานให้หมดก่อนถึงมหาลัยครับ”
ได้แต่ทำหน้างง ๆ คิ้วขมวดเข้าหากัน ก้มลงมองดูของที่อยู่ในถุง เป็นแซนด์วิชสอดไส้อะไรสักอย่างพร้อมน้ำส้มคั้นหนึ่งขวด
“แล้วของฉันล่ะ” น้ำเสียงเจ้ลิลลี่ที่ถามออกไปไม่ค่อยจริงจังนัก
“คุณลิลลี่ต้องพึ่งร้านสะดวกซื้อข้างทางแล้วล่ะครับ”
“ชิ! สองมาตรฐาน” ได้ยินเสียงจิ๊ปากเหมือนไม่พอใจแต่ก็ดูไม่จริงจังเท่าไหร่จากคนที่ทำหน้าที่ขับรถให้ฉันวันนี้
“แต่นายสั่งผมมาเรียนคุณลิลลี่สามคำ ให้-คุ้ม-เสีย”
เฮียเทพเน้นสามคำที่ว่าหนักแน่น ฉันมองสองคนที่กำลังคุยกันอย่างไม่เข้าใจ อะไรคือให้คุ้มเสียที่พี่ชายเธอฝากมากัน ดูปฏิกิริยาของเจ้ลิลลี่ที่ได้ฟังคำพูดนั้นจบ ดูอารมณ์ดีผิดปกติ
สุดท้ายเธอก็ไม่ได้ตอบเฮียเทพกลับแต่อย่างใด เลือกเข้าเกียร์แล้วเหยียบคันเร่งพุ่งทะยานไปข้างหน้าทันที
มหาลัยเอกชนแห่งหนึ่ง
“ไม่มาเรียนหลายวันเลยนะตั้งแต่เกิดเรื่องวันนั้น” เสียงชลถามขึ้น
“ชลกับพี่แก้มไม่เป็นอะไรใช่ไหม”
ตั้งแต่เกิดเรื่องวันนั้นก็ไม่ได้ถามข่าวคราวกันอีกเลย
“ไม่ต้องห่วงพวกเราหรอก คนที่น่าห่วงที่สุดน่ะ พี่เอสนู่น”
ฉันทำหน้างงใส่ ชลเลยทวนความจำให้
“ก็คนที่ลวนลามเธอไง” อ้อ เขาชื่อเอสนั่นเอง ฉันลืมไปแล้วล่ะ
“แล้วที่บอกว่าน่าเป็นห่วงมันยังไงเหรอ”
นี่ไม่ใช่เสียงฉัน เป็นเสียงเจ้ลิลลี่ที่นั่งข้าง ๆ
ไม่ได้เล่าใช่ไหมว่าเจ้แกน่ะเนียนสุด ๆ แต่งชุดนักศึกษาเข้ามานั่งเรียนร่วมคลาสกับพวกฉัน แต่ใบหน้านี่มีแต่คนทักว่าเด็กใหม่เหมือนฉัน ขนาดอายุห่างพวกเราตั้งเกือบสิบปี แต่พอแต่งตัวแบบนี้วัยละอ่อนเลยล่ะ
“ก็โดนคนชุดดำวันนั้นซะน่วมเลยไงคะ เอ๊ะ! ว่าแต่นี่ใครอะ”
ชลหนอชล นั่งอยู่ด้วยกันตั้งนานเพิ่งสังเกต ไม่เหมือนคนอื่น ๆ เลย มาทำความรู้จักเจ้ฉันตั้งแต่เดินเข้ามาแล้ว ว่าแต่... คนชุดดำที่ชลพูดถึงหรือว่าจะเป็นคนของคุณเพลิงกัลป์วันนั้น นี่เล่นทำร้ายกันซะน่วมขนาดนั้นเลยเหรอโหดเหมือนกันนะ
“นี่แค่ส่วนน้อยนะ”
“คะ?” หันไปถามเจ้ลิลลี่ที่จู่ ๆ ก็โพล่งขึ้นมา
“อาการหึงหวงไง นี่แค่เลเวลหนึ่ง ต่อไปไม่อยากจะคิดเลยว่าจะถึงขั้นหามเข้าโลงหรือเปล่า” ฉันกับชลรีบมองหน้ากันอย่างขนลุก
“นี่ฟางเซียนมีแฟนโหดขนาดนี้เลยเหรอ”
“ไม่นะ เรายังไม่มีแฟน” รีบโบกไม้โบกมือปฏิเสธ
“น่าน้อยใจแทนเฮียจัง ถ้ามาได้ยินคำนี้เข้าคงเศร้าหน้าดู”
วันนี้เจ้ลิลลี่จะมาคอยสังเกตเกี่ยวกับจิตวิทยาอะไรเธอจริงใช่ไหม ไม่ใช่ว่ามาคอยสอดแนมอะไรฉันใช่หรือเปล่า
“เอาน่า มีแฟนหล่อขนาดนั้นไม่ต้องอายหรอก จะว่าไปแล้ว เรื่องวันนั้นดังไปทั่วมหาลัยเลยนะ มีคนบอกว่าเธอน่ะเป็นลูกเจ้าพ่อ”
กะแล้วว่าต้องเป็นแบบนี้ เล่นเปิดตัวกันเอิกเกริกขนาดนั้น
“ไม่ใช่ลูกจ๊ะ ต้องไปแก้ข่าวใหม่ นี่เป็นว่าที่ภรรยา”
“เจ้ลิลลี่!” รีบดุอีกคนที่พูดอะไรก็ไม่รู้ให้เพื่อนฉันฟัง
“อย่าไปสนใจคำพูดเจ้แกเลย เรายังไม่มีแฟน”
เหมือนชลจะไม่เชื่อ ส่วนเจ้ลิลลี่ก็ไม่ได้ดูทุกข์ร้อนอะไรกับสิ่งที่ฉันค้านแก มีแต่นั่งส่งยิ้มมาให้ฉันด้วยสายตาเหมือนมีอะไรซ่อนอยู่
“เดี๋ยวเจ้มานะ”
เมื่อกี้เธอมองออกไปนอกห้องแล้วทำคิ้วมุ่นเหมือนเจออะไรสักอย่าง
“เจ้จะไปไหนคะ” เป็นห่วงน่ะ เพิ่งเคยมามหาลัยด้วย
“ไปเดินสำรวจพฤติกรรมของนักศึกษากลุ่มอื่น ๆ ไม่ต้องเป็นห่วง เดี๋ยวเจ้มารับตอนเลิกคลาส” ทำไมเจ้ลิลลี่ดูรีบ ๆ จะหลงทางหรือเปล่านะ
“นี่ ฟางเซียน”
“หือ?”
“มันสั่นอยู่นานแล้วน่ะ” ชลชี้ไปที่กระเป๋าสะพายฉัน พอเพื่อนทักเลยรู้สึกถึงแรงสั่นของเครื่อง มือสื่อสารที่อยู่ในกระเป๋าทันที
“จารย์ยังไม่มา ไปรับสายเถอะ”
รู้สึกแปลกใจที่เพิ่งออกจากบ้านมาแค่ชั่วโมงเดียวแต่คุณเพลิงกัลป์กลับโทร.ตามแล้ว
“เดี๋ยวมานะ” บอกเพื่อนเสร็จก็เดินออกไปหาที่เงียบ ๆ รับสายเขา
[เรียนอยู่ไหม?]
คงไม่ใช่โทร.มาแค่ถามเรื่องนี้หรอกใช่ไหม
“อาจารย์ยังไม่เข้าสอนค่ะ คุ... เฮียเพลิงมีอะไรหรือเปล่าคะ”
ไม่ค่อยชินเรียกเขาแบบนี้จนเกือบหลุดเรียกแบบเดิมไปแล้ว
[เมื่อเช้ากินของที่ฝากไปหมดไหม]
เขาคงหมายถึงแซนด์วิชนั่น “หมดค่ะ อร่อยดี”
[งั้นเดี๋ยวทำให้กินทุกวัน]
“คุณเพลิงกัลป์ทำเองเหรอคะ”
[เรียกฉันว่าอะไรนะ?]
อา... พลาดอีกแล้วฉัน
“มันไม่ค่อยชินน่ะค่ะ” รีบทำเสียงอ่อนให้เขาได้ยินเผื่อสงสาร
[ครั้งนี้ฉันจะไม่ลงโทษเพราะเธอชมว่าอาหารฝีมือฉันอร่อย]
โล่งอกไปที
“ว่าแต่เฮียเพลิงโทร.มาตอนนี้มีอะไรหรือเปล่าคะ”
[ฉันต้องเดินทางไปสิงคโปร์ด่วน เลยจะโทร.มาถามว่าไปด้วยไหม]
เห... เขาจะไปสิงคโปร์เหรอ?
“หนูคงไปไม่ได้ค่ะ หนูต้องเรียน”
[อืม]
ทำไมเสียงเขาดูเศร้าจัง
[เดี๋ยวตอนที่ฉันไม่อยู่ลิลลี่จะเป็นคนดูแลเธอแทน]
“ค่ะ” ไม่ใช่แค่เขาที่เสียงเศร้า เป็นฉันเหมือนกันที่เศร้าไปทั้งอารมณ์และจิตใจ
[ฉันไปแค่สามวัน ถึงที่นั่นจะโทร.หาทุกครั้งที่ว่าง โอเคไหม?]
ทำไมเพียงแค่เขาบอกเหมือนแคร์ฉันมากอารมณ์ก็ดีขึ้นมาเปลาะหนึ่ง
“เฮียเพลิงโฟกัสแค่งานก็ได้ค่ะ หนูสัญญาจะไม่ดื้อและเชื่อฟังเจ้ลิลลี่ทุกอย่าง”
[นั่นแหละที่ฉันเป็นห่วง]
“ทำไมคะ?”
[ถ้าลิลลี่พูดอะไรมาก เธอก็อย่าไปฟังแล้วกัน]
ทำไมพูดเหมือนมีความลับอะไรซ่อนอยู่
“นี่ ๆ ได้ข่าวว่ามีคนตีกันที่หลังตึกเว้ย!”
“สวยด้วยนะมึง แต่แม่งโคตรเปรี้ยวว่ะ”
“สามต่อหนึ่งเอาชนะได้เฉย โหดสัตว์ ๆ”
เสียงนักศึกษาหลายคนกำลังวิ่งแตกตื่นไปที่หลังตึกที่ฉันอยู่ ทำไมฟังคนกลุ่มนั้นคุยกันแล้วรู้สึกนึกถึงคนที่เพิ่งหายตัวไปเมื่อกี้ขึ้นมา
[เกิดอะไรขึ้น ทำไมเสียงดังจัง]
“เหมือนหลังตึกจะมีเรื่องกันค่ะ”
ใจเริ่มพะวงเป็นหวงเจ้ลิลลี่ที่บอกจะไปเข้าห้องน้ำแล้วสิ
[อย่าไปใกล้ กลับเข้าห้องเรียน อยู่ที่คนเยอะ ๆ เข้าไว้]
“แต่ว่า...”
[มีอะไร]
จะบอกเขายังไงดี
“คือ เจ้ลิลลี่บอกว่าไปเข้าห้องน้ำ แล้วทางไปห้องน้ำอยู่ทางเดียวกัน”
[ไม่ต้องเป็นห่วงรายนั้น ฉันส่งยัยแสบไปคุ้มกันเธอเอง]
คุ้มกัน!? หมายความว่ายังไง ทำไมต้องคุ้มกันด้วย
“อ๊ะ เจ้ลิลลี่จริง ๆ ด้วยค่ะ”
มองลงไปด้านล่าง เห็นผู้หญิงผอมสูงหุ่นแซ่บ กำลังลากคอผู้ชายคนหนึ่งเดินมา ส่วนอีกสองคนเป็นคนชุดดำลากตามหลังเธอมาอีกที
[ลิลลี่ทำไม?]
ถึงแม้คนเป็นพี่ชายจะถามเหมือนเป็นห่วง แต่น้ำเสียงช่างเรียบเฉยเหมือนรู้ว่าอีกคนเอาตัวรอดได้สบาย
“เจ้ลิลลี่มากับผู้ชายสามคน เอ่อ มีอีกสองคนไม่แน่ใจใช่พวกของเธอไหม” ฉันรายงานตามที่เห็น
[เธออยู่ชั้นไหน ถ้าสูงเกินฉันจะโทร.หายัยแสบเอง]
“ไม่เป็นไรค่ะ หนูอยู่ชั้นสามเดี๋ยววิ่งลงไปให้”
[อย่าวิ่ง! เดินเอา ฉันรอได้]
อา... เมื่อกี้เกือบจะวิ่งลงบันไดแล้วสิ
ใช้เวลาเดินจากชั้นสามลงมาชั้นล่างเกือบห้านาทีเพราะคนในสายก็เอาแต่บอกห้ามวิ่ง ถ้าเสียงลมหายใจฉันหอบหน่อยเขาก็จับผิดแล้ว
“เกิดอะไรขึ้นคะ”
พอมาถึงเห็นคนที่แต่งชุดไปรเวทหน้าตาไม่น่าใช่นักศึกษาที่นี่นอนน่วมไปทั้งตัว
“พวกหมาลอบกัดน่ะ” เห็นเจ้ฉันเหงื่อออกเต็มด้านหลังรู้เลยว่าอาการสาหัสของสามคนนี้ต้องมีฝีมือเธอร่วมด้วยแน่
“บอกแล้วว่านั่นน่ะลูกสาวเจ้าพ่อ”
“อย่าไปอยู่ใกล้นะเธอ เดี๋ยวโดนลูกหลงเอา”
“ทำไมชอบมาอวดเบ่งที่มหาลัยแบบนี้ด้วยนะ ไปหาที่เรียนโรงเรียนเจ้าพ่อ แก๊งมาเฟียนู่นไม่ดีกว่าเหรอ”
เสียงพูดคุย วิจารณ์ฉันดังขึ้นทั่วสารทิศที่มีคนมุงดู
“นี่ ๆ ทุกคนเงียบหน่อย” เสียงเจ้ลิลลี่ดังขึ้น เธอหันมาสบตาฉันพร้อมกับมองมือถือที่ยังค้างไว้ที่หู
“ไอ้เฮียเหรอ” เธอถามพร้อมยื่นมือมาเพื่อขอเครื่องมือสื่อสารของฉันที่คุยอยู่
“ค่ะ” ฉันยื่นให้อย่างรู้กัน
“น่าจะเป็นคนของคู่ขาเก่าเฮีย”
ฉันไม่รู้ว่าอีกด้านหนึ่งคุณเพลิงกัลป์ตอบว่าอย่างไร แต่พอได้ยินคำว่า ‘คู่ขาเก่า’ จากปากเจ้ลิลลี่แล้วหัวใจฉันก็เจ็บหน่วงขึ้นมาทันที
“ไม่เป็นไร เรื่องขี้ประติ๋ว เดี๋ยวให้คนของเฮียเก็บซากไปให้”
เดี๋ยวสิ เมื่อกี้เธอบอกว่าเรื่องขี้ประติ๋วเหรอ?
“บอดี้การ์ด?”
“...”
“กี่วัน”
“...”
“ได้ แต่งานนี้เหนื่อยมาก ขอเพิ่มค่าเหนื่อยสามเท่าตัว”
ได้แต่ยืนดูเจ้ลิลลี่คุยกับพี่ชายเขา พร้อมกับความรู้สึกถึงสายตาหลายสิบคู่จ้องมาที่ฉันเป็นจุดเดียว แม้การซุบซิบกันจะเบาลงเพราะเสียงเตือนของเจ้ลิลลี่เมื่อกี้นี้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะหยุดปากคนนินทาได้ร้อยเปอร์เซ็นต์เต็ม
“อะ” มือถือเครื่องเดิมถูกส่งกลับมาที่ฉัน สายยังไม่วางฉันเลยยกแนบหูต่อ
“เฮียเพลิงมีอะไรจะคุยต่อเหรอคะ”
ฉันเข้าใจว่าเขาจะวางสายไปเลยหลังคุยกับน้องสาวเขาเสร็จ
[ไม่มีอะไร แค่อยากฟังเสียงเธอก่อนวางสาย]
อา... แบบนี้ก็มีด้วยเหรอ
“วันนี้ขึ้นเครื่องกี่โมงคะ”
[ทำไมเหรอ]
จะบอกเขาดีไหมนะว่าอยากไปส่งขึ้นเครื่อง
[อีกครึ่งชั่วโมง]
สงสัยเพราะฉันไม่ตอบคำถามเขา คนทางนั้นเลยบอกออกมา
“เดินทางปลอดภัยนะคะ”
เขาแค่ไปทำงาน ทำไมเธอต้องทำเสียงเศร้าด้วยนะ
[เป็นเด็กดี แล้วฉันจะมีรางวัลให้]
สายถูกตัดไปแล้ว แต่ฉันยังทำเหมือนอีกคนคุยสายอยู่ในท่าเดิม แค่สามวันเองฟางเซียน อย่าทำตัวเป็นเด็กติดผู้ปกครองแบบนี้สิ
“เจ้สุดยอดเลย!” เสียงชล
“ทั้งสวย ทั้งเก่ง มีไลน์ไอดีไหมคะ” เสียงพี่แก้ม
ตอนนี้หมดเวลาคลาสเรียนแล้ว เราสี่คนเลยพากันมาหาอะไรทานที่ร้านด้านนอกมหาลัย ที่ออกมาทานด้านนอกเพราะเบื่อสายตานักศึกษาคนอื่น ๆ ที่เริ่มพูดเรื่องฉันและเจ้ลิลลี่จนบิดเบือนความจริงไปใหญ่
“เจ้ยังชอบผู้ชายอยู่นะ” เธอแซวพี่แก้มกลับ
“โหย... นึกว่าจะแอบมีหวังสักหน่อย”
เสียงหัวเราะดังลั่นโต๊ะอาหาร ยกเว้นฉันที่ทำแค่แย้มยิ้มออกมาเพียงมุมปาก
“ทำหน้าเศร้าแบบนี้ คิดถึงไอ้เฮียล่ะสิ” เจ้ลิลลี่สะกิดแซว
“เปล่าค่ะ” จะให้คิดถึงเขาในสถานะไหนล่ะ
“เอาน่า แค่สามวัน ไม่แน่อาจจะไม่ถึง”
“คะ?”
“มาพนันกันไหม เจ้ว่างานนี้ไม่เกินมะรืน ไอ้เฮียกลับมา”
ฉันทำเพียงแค่เอียงคอมองหน้าและจ้องตาสาวสวยตรงหน้ากลับอย่างเงียบ ๆ
‘ถ้าลิลลี่พูดอะไรมาก เธอก็อย่าไปฟังแล้วกัน’
ทว่าคำสั่งของคุณเพลิงกัลป์กลับผุดขึ้นมาเตือนสติ
“ไม่ดีกว่าค่ะ หนูเกลียดการพนันทุกชนิด” แม้ว่าจะเป็นการพนันด้วยปากเปล่า ฉันก็ไม่อยากเกี่ยวข้องด้วยจริง ๆ
“เกลียดการพนันขนาดนั้นเชียว?”
ทำไมแววตาเจ้ลิลลี่สั่นไหวแบบนั้นนะ
“ค่ะ เพราะการพนันไม่เคยทำให้ใครรวยขึ้น แถมยังมอมเมาคนดีให้กลาย เป็น...” ปีศาจในร่างมนุษย์ ฉันต่อคำนี้ในใจ
“สงสัยงานนี้จะแย่แล้ว”
“ว่าไงนะคะ” เห็นเธอพึมพำอะไรเบา ๆ อยู่คนเดียว
“การพนันก็ไม่ใช่ไม่ดีสำหรับทุกคนนะ”
“ยังไงเหรอ” ฉันหันไปถามชลที่ออกความเห็นเรื่องนี้
“อย่างคนเปิดบ่อนถ้าทำแบบถูกกฎหมายก็ไม่ใช่ว่าเป็นคนไม่ดีเสมอไป”
ไม่ดีได้ยังไง ในเมื่อนั่นคือต้นเหตุเลย
“บางคนก็เล่นพนันแก้เบื่อ ไม่ได้หวังสูง โลภมาก เขาก็ไม่หมดตัว” พี่แก้มพูดบ้าง
“เราเห็นบ่อนหลายที่แถวนี้นะ ใครที่เล่นแล้วเสียหมดตัวก็ไม่มีให้ยืมเงินเหมือนพวกบ่อนเถื่อนในหนังในละครที่เราดู”
“พูดเหมือนเคยไป” ฉันก็อยากถามเหมือนที่พี่แก้มถาม
“ชลไม่เคย แต่ลุงชลไปเล่นบ่อย ท่านเล่นแล้วรู้จักพอ กลับมาก็ไม่ได้ฟุ้งซ่านหรือว่าอยากไปอีก นาน ๆ ที แบบเดือนละครั้งก็มี”
นี่คือประสบการณ์ที่เธอพบเจอสินะ
คนที่หักห้ามใจตัวเองแบบนี้อาจจะมี แต่ทำไมกับ... คน ๆ นั้น ถึงยิ่งเล่นยิ่งเหมือนถูกผีสิงได้
“สรุปว่าการพนันดีหรือไม่ดี” เจ้ลิลลี่ถามขึ้น
“ก็มีทั้งดีและไม่ดี ขึ้นอยู่ที่จิตสำนึกคนมากกว่าค่ะ” พี่แก้มเอ่ย
“จริงค่ะ ถ้าคนรู้จักพอ เขาก็จะไม่เดินเข้าแหล่งมั่วสุมแบบนั้น แต่ถ้าคนมักมาก ต่อให้ไม่มีพวกแหล่งอโคจรแบบนั้นอยู่เขาก็ต้องตั้งวงกันเองเหมือนเดิม”
ฉันลองลบอคติแล้วฟังชลพูดก็พอมีเหตุผล ไม่ได้สนับสนุนให้คนเล่นการพนัน แต่ก็ไม่ใช่ว่าแหล่งพวกนั้นจะเลวร้ายทุกที่ ก็เหมือนเสี่ยงโชคเสี่ยงหวย ถ้าเล่นพอประมาณเราก็ไม่ยากจน