ไอ้เพื่อนที่เธอว่าผมสั้นสีน้ำตาลอ่อน อ้วนๆ หน่อยนี่คือไอ้จีนแดงเหรอวะ! ยัยบ้านี่!
“เอ้า เจ นั่นเสื้อมึงนิ ที่ไอ้จีนแดงใส่อ่ะ” ไอ้หลินทักทันทีที่ปรายนัยน์ตาไปเห็น “โห! หวานแม่งเผ็ดสัส มึงไปกวนตีนอะไรนางปะเนี่ย” มันหัวเราะตัวงอในขณะที่ผมยังทำหน้าแบบนี้ >
-_-
-_______-
-__________-!
“เจ มึงเงียบทำไมเนี่ย” ไอ้นับกระแทกข้อศอกเข้าที่สะเอวผม ผมสะบัดหัวดึงสติตัวเองกลับมาก่อนจะกัดฟันกรอด พลางนึกย้อนไปว่าผมไปทำอะไรไว้ ก็ไม่นะ ผมก็ดีกับเธอขนาดนั้นอ่ะ ให้ยืมเสื้อกันหนาวนี่ก็บุญแค่ไหนแล้ว มาทำกับผมแบบนี้ได้ไงเนี่ย!
“มึงรู้ปะ ครั้งแรกช็อปกูหายตอนร้านเหล้า ครั้งที่สองช็อปกูโดนเอาให้หมาใส่จนมันปริ” ผมว่าเสียงเรียบแล้วมองไอ้จีนแดง มันช่างเป็นหมาที่นอนธรรมดาไม่ได้ มันกลิ้งไปมาทำให้เสื้อคลุกฝุ่นไปหมด “นี่กูต้องไปตัดครั้งที่สามเหรอ ชีวิตกูดูว่างขนาดนั้นเลยใช่ปะเนี่ย?”
“เอาน่ามึง ถือเป็นสีสัน มึงเผลอไปกวนตีนอะไรเขาปะล่ะ คิดให้ดีๆ” ไอ้หลินว่าก่อนจะตบหลังผมหนึ่งที
“กูก็กวนตีนเล่นๆ ของกูไปเรื่อยอ่ะ แต่ทำแบบนี้นี่กูเคืองนะเนี่ย” ผมพูดหน้าตายก่อนจะพ่นลมหายใจเซ็งๆ
“เขาไม่ชอบรึเปล่า มึงก็ไม่ได้สนิทกับเค้าขนาดที่จะไปกวนตีนเล่นๆ ปะวะ” ผมกลอกตาพลางนึกตามคำพูดไอ้หลิน ที่มันว่ามาก็ฟังดูมีเหตุผลอยู่ แต่ก็อดหงุดหงิดไม่ได้ ผมกัดฟันกรอดพร้อมหน้าร้อนผ่าวอย่างไม่ได้ตั้งใจเมื่อนึกถึงใบหน้ายัยคนขี้เมาเจ้าปัญหา
“กูตัดสินใจละ”
“ตัดสินใจอะไรวะ?” ไอ้หลินทำหน้างง ผมยืนนิ่งๆ แต่ในใจยังคงคิดอยู่ว่าจะทำอะไรกับยัยคนกวนประสาทนั่นดี
“หลิน มึงไปขอเบอร์ผักหวานจากเซฟให้กูหน่อยดิ”
“ไอ้เหี้ย มึงอย่าไปทำอะไรเขานะ เขาเป็นผู้หญิงนะโว้ย” ไอ้นับตาโตแล้วจับมือผมด้วยความตกใจ “มึงก็ทักไปหาเขาก่อนดีปะวะ? ถามว่าทำทำไมอะไรงี้อ่ะ”
“....”
“เจ มึงจะทำอะไรมึงคิดดีๆ นะ คนอื่นเขาจะด่ามึงหน้าตัวเมียได้นะ” มันเอ่ย
“ทำไมกูจะทำไม่ได้วะ” ผมเกาหัวแกรกๆ เมื่อพวกมันร้องโวยวายยังกับผมทำอะไรผิด ก็แค่ขอเบอร์ปะวะ ไม่ได้จะไปหาเรื่องใครสักหน่อย
“มึง เขาเป็นผู้หญิงไง” มันอธิบาย ก็เออน่ะสิ ก็เพราะเป็นผู้หญิงไง ผมถึงจะทำ มันจะห้ามทัพเพื่อ?
“ก็เออน่ะสิ เพราะเขาเป็นผู้หญิงไง มึงจะให้กูจีบผู้ชายเหรอ?”
“ไอ้เหี้ย มึงจะไปทำเขา... ฮะ อะไรนะ” ไอ้นับชะงักแล้วมองหน้าผมเหมือนต้องการจะได้ยินอีกที
“กูจะจีบ”
“...” มันสตั๊นมองผมตาปริบๆ แล้วยกนิ้วชี้ขึ้นมาหนึ่งนิ้วพร้อมกับพูดต่อด้วยใบหน้างงๆ “ขออีกรอบดิ๊”
“กูจะจีบไง มึงคิดว่ากูจะทำอะไรเนี่ย?”
“เดี๋ยวๆ คือไง เขาเอาเสื้อมึงไปใส่ให้หมานี่มึงไม่โกรธแต่เสือกจะไปจีบอะนะ?” ไอ้นับกลอกตาพยายามทบทวนข้อมูลในมันสมอง ผมพยักหน้ารับอย่างไม่เข้าใจว่ามันแปลกตรงไหน ก็จะจีบอ่ะ ทำไมวะ ไอ้โกรธก็โกรธอยู่หรอก แต่พอนึกไปนึกมาแม่งก็น่ารักดี ดูเป็นคนมีกิมมิค มีซิกเนเจอร์ เป็นตัวของตัวเอง มันใช่มาก
“หลิน เพื่อนมึงประสาทกลับปะวะ พาไปเช็คสมองดิ๊” ไอ้นับว่าพลางกุมขมับอย่างเหนื่อยๆ
“แปลกตรงไหนวะ”
“ทุกตรงอ่ะ” มันเลิกคิ้วสูงทำให้ผมหัวเราะร่า แหม ไม่เห็นจะแปลก ก็เห็นทำท่าอยากจะเป็นเพื่อนผมมาก ผมก็อยากจะให้สนิทกันไง จะได้คุ้นเคย
“เอ้า มึงไม่เคยได้ยินเหรอ ผู้หญิงกวนตีนเป็นผู้หญิงน่ารัก”
“...”
“นี่แหละสเป็คกูเลย กวนตีนดี กูชอบ”
Phakwhan says…
“อีหวาน แกเอาเสื้อนางไปใส่ให้หมา นางไม่โกรธตายห่าเหรอน่ะ” อีอาร์ตเอ่ยขึ้นขณะที่พวกเรากำลังนั่งเล่นอยู่ที่ซุ้มคณะจิตวิทยา เพราะว่าวันนี้พวกมันมีเรียนตอนบ่าย ส่วนฉันวันนี้ชิลๆ ยันเย็นก็เลยสบายแฮ
“ก็แม่งกวนตีนฉันก่อนอ่ะ” ฉันว่าพลางนึกถึงหน้ากวนประสาทของหมอนั่น ฉันไม่ผิดนะ เขาเริ่มก่อนเอง ก็เลยเอาคืนเบาๆ ก็หวังว่าจะไม่โกรธ แต่ฉันก็ไม่สนหรอก
“โอ๊ย แต่แก ฉันดูรูปโปรไฟล์แล้วนางหล่อมาก เห็นหน้าแล้ววารีดำเนิน อยากจะเชิญเข้าห้องฉันเลย” อีอาร์ตสะดีดสะดิ้งแล้วทำหน้าเขินอายประหนึ่งว่าได้ผู้ชายคนนั้นมาเป็นสามีแล้ว โอ๊ย ก็งั้นๆ แหละ เบ้าหน้าแบบนี้หาได้ทั่วไปตามสยามเถอะ ไม่เห็นจะตื่นเต้น
“กะเทยนี่จริงๆ เลยนะ!” ฉันตีมือมันเรียกสติ
“แหม อีชะนี แกดีนักเหรอ!” อีอาร์ตทำหน้าจิกมองฉันอย่างหมั่นไส้ ฉันไหวไหล่แล้วอมยิ้มก่อนจะตบท้ายมันด้วยประโยคง่ายๆ ที่ทำให้เราสองคนยิ้มแฉ่ง
“เปล่า ฉันแค่จะบอกว่าถ้าจะเชิญเขา ช่วยเอาฉันไปด้วย สองคนมันไม่สนุกนะแก อย่างนี้มันต้องสาม เร้าใจแรง”
“เลิศค่า เพื่อนสาว” อีอาร์ตหัวเราะร่ากางมือทั้งห้ามาไฮไฟว์กับฉันดังแปะ เป็นอันว่ารู้กัน ฉันก็พูดเล่นเอาตลกไปงั้นๆ พอเป็นสีสัน ไม่ได้คิดจริงจังหรอก อีมิ้งเงยหน้าขึ้นมาจากโทรศัพท์ก่อนจะกะพริบตางงๆ บ่งบอกว่ามันกำลังชั่งใจอยู่ว่าฉันพูดเรื่องจริงหรือเล่น
“อีอาร์ตสงสัยอีมิ้งมันจะไม่เข้าใจ ช่วยอธิบายขยายความมันสิ๊” ฉันถอนหายใจเซ็งแล้วพลิกมือเชื้อเชิญให้อีอาร์ตช่วยสงเคราะห์เพื่อนมันสักหน่อย จะได้เลิกงงสักที กินวิตามินบีสิบสองหมดกระปุกก็ไม่น่าจะหายนะไอ้อาการตามไม่ทันชาวบ้านเขาแบบเนี้ย!
“โอ๊ย อย่างอีมิ้งมันเคยเข้าใจอะไรด้วยเหรอ นี่ถ้ามันเจอผี ผีคงเครียดอ่ะ มัวแต่งงอยู่ว่ามันต้องกลัวมั้ย”
“มันก็ไม่ขนาดนั้นมั้ยแก!” อีมิ้งเบ้หน้าเมื่อพวกฉันรุมด่ามันอย่างประสานเสียง ฉันกับอีอาร์ตเบิกตาโตแล้วทำหน้าไม่เชื่อ พูดมาได้ว่าไม่ขนาดนั้น ปกติฉันเห็นมันไม่เคยรู้ห่าอะไรสักอย่าง ตามใครไม่ทันสักเรื่อง ยังจะมาแก้ตัว! “ที่เงียบเนี่ย ฉันกำลังมองอยู่ว่าคนนั้นมันหน้าคุ้นๆ”
ฮะ?!? ฉันย่นคิ้วทันทีก่อนจะรีบหันขวับไปตามโฟกัสสายตาอีมิ้ง เพราะฉันกับอีอาร์ตนั่งข้างๆ กัน ส่วนอีมิ้งนั่งอีกฝั่ง พวกเราทั้งคู่เลยต้องเอี้ยวตัวกลับไปมองให้มั่นใจ ก็อีมิ้งน่ะเชื่อถือไม่ได้ นอกจากมันจะโง่แล้วมันยังสายตาสั้นอีก เห็นคนเป็นเสาไฟฟ้า เห็นหมาเป็นแมว ใครจะไปเชื่อสายตามัน!
“เฮ้ย หวัดดี” ไม่ทันที่ฉันจะมองให้ชัดๆ ไอ้คนมาใหม่ก็ระบายยิ้มหวานทักทายพร้อมกับโบกมือไหวๆ อยู่ไกลๆ เขามาในเสื้อสีขาวสะอาดสกรีนคำว่าเจร็อคตรงกลางหน้าอก ผมสีน้ำตาลทองส่องประกายกับแสงแดดบวกกับหน้าเนียนใสนั่นทำให้ฉันจำได้ชัด
“อุ้ย อีหวานนางมาแล้ว นางจะฆ่าแกมั้ยเนี่ย?” อีอาร์ตทำหน้าขวัญผวาก่อนจะกระซิบกระซาบ จริงๆ ถ้าเขาเดินมาหน้าตาถมึงทึงฉันก็คงเบาใจกว่านี้ แต่ตะกี้อีตานั่นแม่งยิ้มมาแต่ไกล...
“ว่าไงจ๊ะ มาหานี่คิดถึงอ๋อ” ฉันยิ้มรับด้วยท่าทีใจดีสู้เสือ คิดในใจว่าเขาจะทำอะไรฉันรึเปล่า ฉันก็เล่นแรงอยู่นะเมื่อเช้า หากแต่ร่างสูงที่ค่อยๆ เดินเข้ามาใกล้กลับไม่แสดงท่าทีโกรธเกลียดหรืออยากจะพุ่งเข้ามาฆ่าฉันสักนิด มีแต่ออร่าความเป็นมิตรที่แผ่ออกมาเต็มพิกัด
ฉิบหาย น่ากลัวกว่าทำหน้าโกรธอีก =_=;;;
“ไม่รู้สิครับ”
=[]=! ฉันว่านี่มันไม่ธรรมดา นางต้องแกล้งเป็นดีแล้วเตรียมตลบหลังฉันชัวร์ หรือไม่ก็โกรธจนสติหลุดไปแล้วแน่ ฉันทำหน้าไม่วางใจในขณะที่ไอ้คนร่างสูงแหวกฉันกับอีอาร์ตออกจากกันแล้วหย่อนก้นนั่งแทรกอย่างหน้าไม่อาย ทั้งที่ที่นั่งข้างอีมิ้งก็ว่าง แต่นางดันเลือกมานั่งตรงนี้เนี่ยนะ!
( - -)(- - )
ฉันกับอีอาร์ตสบตากันอย่างรู้ใจและสงสัยว่านางจะมาไม้ไหน ทำให้ฉันขยับก้นหนีนิดนึง
“เธอไม่มีเรียนเหรอ?” เขาว่าก่อนจะเท้าคางมองหน้าฉันด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ฉันยิ่งงงหนักเข้าไปใหญ่ เอ้า คือไง นางไม่โกรธ หรือนางกำลังเล่นอะไรของนางอยู่ ฉันเริ่มจะงงเหมือนอีมิ้งแล้วนะ
( - -)(- - )
ฉันกับอีอาร์ตมองหน้ากันอีกก่อนจะพยักหน้าให้กันอย่างเข้าใจ ส่วนอีมิ้งเหรอ...
“ไม่มีอ่ะ แค่เข้ามานั่งเล่นในมอเฉยๆ” ฉันตอบเสียงเรียบแล้วมองเขาอย่างไม่ไว้วางใจ
“งั้นวันนี้ก็ว่างอ่ะดิ” ไอ้คนตัวสูงว่าพลางเท้าคางหันมาทางฉันอย่างต้องการคำตอบ ไอ้ว่างก็ว่างอยู่หรอกแต่... “ไปกินข้าวกันปะ?”
“...”
“เดี๋ยวเลี้ยง”
“...”