“ทำไมมันเร็วขนาดนั้นล่ะแก้ว จู่ๆ ก็จะไปปุบปับมีเรื่องอะไรรึเปล่าลูก แล้วทำไมต้องไปทำงานต่างบ้านต่างเมืองแบบนั้นด้วย ลูกเป็นผู้หญิงตัวคนเดียว มันอันตรายนะ” เมษาทักท้วงด้วยความเป็นห่วง
“พอดีบริษัทออกแบบที่โน่นเขาโทรมาว่ากำลังขาดคน อยากให้แก้วรีบไปรายงานตัวค่ะ แก้วเห็นว่ามันเป็นโอกาสดีที่แก้วจะได้ทำงานที่ชอบแล้วก็ตรงกับที่แก้วเรียนมา แก้วก็เลยตอบตกลงเขาไป แต่คุณแม่ไม่ต้องห่วงนะคะแก้วดูแลตัวเองได้ อีกอย่างที่โน่นก็มีพี่เจฟกับพี่ไอด้าคอยช่วยเหลือ ยังไงแก้วก็ไม่ลำบากแน่นอนค่ะ” แก้วมุกดาจำต้องโกหกด้วยไม่อยากให้คนที่รักดุจมารดาต้องไม่สบายใจ
“ถึงอย่างนั้นแม่ก็ยังอดห่วงไม่ได้อยู่ดี บอกตามตรงว่าแม่ไม่อยากให้ลูกต้องไปทำงานต่างบ้านต่างเมืองแบบนั้นเลย ยังไงๆ มันก็ไม่ปลอดภัยเท่าอยู่บ้านเรา อีกอย่างตอนนี้บ้านปันรักของเราก็ไม่ถูกปิดแล้ว ทุกคนที่นี่ก็ได้อยู่ด้วยกันเหมือนเดิม” แก้วมุกดาและสุดที่รักมองหน้ากันทันทีที่ได้ยิน
“มะหมายความว่ายังไงคะ” แก้วมุกดาถามเสียงรัว
“ก่อนหน้าที่เราสองคนจะเข้ามา เจ้าของที่เขาโทรมาบอกแม่ว่า เจ้าของที่คนใหม่เขาให้พวกเราอยู่ที่นี่ต่อได้ แม่เองก็ไม่รู้ว่าทำไม หรือบางทีเขาอาจจะเป็นคนดีที่ใจเป็นกุศลถึงได้ให้เราอยู่ต่อโดยไม่เก็บค่าเช่า ที่สำคัญเขายังรับอุปการะเด็กทุกคนที่นี่ไว้ด้วยนะ” สองสาวได้ยินถึงกับทำตาโต ด้วยไม่คิดว่ามันจะเร็วขนาดนั้น เรื่องแบบนี้คงเดาได้ไม่ยาก จะเป็นฝีมือใครไปไม่ได้นอกจากพี่เขยของพวกเธอ
“เอ่อ แล้วคุณแม่คิดว่าไงคะ” แก้วมุกดาลองถามหยั่งเชิง
“มันก็ดีนะ เด็กๆ ทุกคนที่นี่จะได้มีอนาคตที่ดีกว่านี้ ได้เรียนสูงๆ ตามที่ฝันไว้ ความจริงแม่ก็อยากให้แก้วอยู่ช่วยงานที่นี่ด้วย เพราะทางเจ้าของที่เขาแจ้งความจำนงมาว่าจะส่งคนเข้ามาดูแลที่นี่ให้เป็นระบบระเบียบมากขึ้น แม่คิดว่ามันก็ดีเหมือนกัน แต่มันคงจะดีกว่านี้ถ้ามีแก้วอยู่คอยช่วยประสานงานให้แม่ แต่ในเมื่อแก้วตัดสินใจไปทำในสิ่งที่ตัวเองรัก แม่ก็ไม่อยากบังคับ แต่แม่ก็อดเป็นห่วงลูกไม่ได้อยู่ดี” สีหน้าที่บอกว่าไม่สบายใจจริงๆ ของเมษาทำเอาแก้วมุกดาอดรู้สึกผิดไม่ได้ แต่จะทำยังไงได้ เมื่อมันคือหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ และวาจาสัตย์ที่ต้องรักษา เมื่อเธอรับปากว่าจะทำงานนั้นเธอก็ต้องทำให้ได้อย่างที่พูด
“คุณแม่เมษาไม่ต้องห่วงยัยแก้วหรอกค่ะ รายนี้เขาทั้งอึดทั้งทน เป็นผู้หญิงที่ถึกกว่าผู้ชายซะอีก ยิ่งมีพี่เจฟกับพี่ไอด้าคอยดูแลแบบนั้นด้วย ยิ่งไม่ต้องเป็นห่วงค่ะ” สุดที่รักช่วยพูดด้วยอีกแรง เพราะรู้ดีว่าเพื่อนกำลังไม่สบายใจ
“เอ้า! แล้วหยีไม่ได้ไปด้วยกันเหรอลูก” เมษาทำหน้าแปลกใจ เพราะปกติสองสาวมักทำอะไรด้วยกันตลอด แต่คราวนี้กลับแยกกันได้
“อ๋อ! พอดีหยีได้งานอีกที่หนึ่งค่ะ แต่คุณแม่เมษาไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ เพราะยังไงเราสองคนก็จะไม่ขาดการติดต่อกันแน่นอนค่ะ ถ้าคิดถึงกันมากๆ ก็ไปหากัน อิตาลีกับฝรั่งเศสไม่ไกลกันเท่าไหร่หรอกมั้ง” ท้ายประโยคสุดที่รักแอบบอกเสียงเบา
“เอาเถอะ ในเมื่อตัดสินใจกันแบบนี้แล้ว แม่คงขัดอะไรไม่ได้อีก เราสองคนเป็นผู้ใหญ่แล้ว แม่เคารพการตัดสินใจของลูกเสมอจ๊ะ แต่ขอให้รู้ไว้นะว่าบ้านหลังนี้ยินดีต้อนรับพวกลูกกลับมาเสมอ” ได้ยินแบบนี้ สองสาวถึงกับปล่อยโฮก่อนจะเข้าไปสวมกอดคนที่เปรียบเสมือนบุพการีไว้แน่น
วันเดินทาง
“สวัสดีค่ะพี่เจฟ” ระหว่างที่แก้วมุกดากำลังเตรียมสัมภาระเพื่อออกเดินทาง เธอต้องรับโทรศัพท์ทางไกลจากจิโอวาโน่
“พร้อมสำหรับการเดินทางรึยังแก้วตา” ได้ยินแบบนี้ เธออยากจะบอกเหลือเกินว่า ไม่พร้อมเลยสักนิด แต่ความจริงกลับต้องตอบไปว่า
“พร้อมค่ะ เอ่อพี่เจฟคะ คือแก้วอยากจะถามอะไรสักนิดได้ไหมคะ” แก้วมุกดาตัดสินในที่สุด หลังจากที่กล้าๆ กลัวๆ อยู่นานว่าจะถามดีไหม
“ได้สิ ถ้าเดาไม่ผิด คงเป็นเรื่องงานที่พี่จะให้เธอไปทำใช่ไหม” คำพูดของจิโอวาโน่ราวกับมานั่งอยู่กลางใจเธอยังไงยังงั้น
“ค่ะ คือแก้วอยากรู้ว่าพี่จะให้แก้วไปทำงานอะไร แล้วทำไมต้องปลอมเป็นผู้ชายด้วยคะ” แก้วมุกดายอมรับไปตรงๆ ด้วยไม่อยากให้มันค้างคาอยู่ในความรู้สึก
“มันเป็นงานในเรือสำราญ” ยังไม่ทันที่จิโอวาโน่จะพูดจนจบ เสียงของแก้วมุกดาก็แทรกขึ้นมา
“เรือสำราญ! แล้วอย่างแก้วจะไปทำอะไรได้คะ” แก้วมุกดายังคิดไม่ออก ว่าผู้หญิงที่จบมัณฑนศิลป์อย่างเธอจะไปทำอะไรได้ในเรือสำราญแบบนั้น หรือว่าเขาจะให้เธอไปออกแบบห้องพักในเรือ แต่ก็ไม่น่าจะใช่อีกนั่นแหละ เพราะระดับเขาคงจ้างนักออกแบบดังๆ ที่มีชื่อเสียงมากกว่าเด็กจบใหม่โนเนมอย่างเธอ
‘เอ๊ะ! หรือว่าเขาจะให้เราไปเป็นเด็กเสิร์ฟที่นั่น อ๊าย! ไม่นะ ฉันไม่ใส่ชุดบั๊กบันนี่เด็ดขาด ให้ตายก็ไม่ใส่’ แก้วมุกดาถึงกับผวากับภาพในจินตนาการที่ตัวเองใส่ชุดแบบนั้นเดินเสิร์ฟเครื่องดื่มให้แขกบนเรือ หารู้ไม่ว่าสิ่งที่เธอคิด กับสิ่งที่เขาคิด มันห่างไกลกันมากเลยล่ะ
“เอาเป็นว่าพี่มั่นใจว่าเราทำได้ พี่เชื่อในความสามารถของเราว่าเราต้องช่วยพี่ได้ แล้วพี่ก็มั่นใจว่าพี่ไว้ใจเราได้”
‘คงมีแต่หนูสินะที่ไม่มั่นใจในตัวเอง’
“เอ่อ! แล้วงานที่ว่า มันคืองานอะไรคะ” แก้วมุกดาถามเสียงแบ่งรับแบ่งสู้ กล้าๆ กลัวๆ
“คุมบ่อน” ปลายสายตอบกลับมาน้ำเสียงราบเรียบ
“อ๋อ! คุมบ่อน ห๊า! เมื่อกี้พี่ว่าไงนะ จะให้แก้วไปคุมบ่อน บ่อนที่หมายถึงคือบ่อนกาสิโนเนี่ยนะ” แก้วมุกดาตกใจจนแทบตะโกนออกไป ‘คุมบ่อนนะ ไม่ใช่คุมกำเนิด ถึงได้คิดว่าฉันจะทำได้’ แต่ก็ยังยั้งไว้ได้ทัน
“อืม! ถ้าในเรือสำราญไม่มีบ่อนไก่ บ่อนที่พี่หมายถึงก็คงเป็นกาสิโนนี่แหละ” เอ่อ...ยังอุตส่าห์เล่นลิ้นอีก แต่เธอก็ทำได้แค่แอบเขม่นในใจ
“เอาน่า ผู้หญิงคุมบ่อนก็ไม่เห็นแปลกอะไร เอาเป็นว่าพี่มั่นใจว่าเราทำได้” เอ้อ! แต่ดูเหมือนเธอจะไม่มั่นใจในตัวเองเอาซะเลย
“เอ่อ! แต่มันจะดีเหรอคะ ยังไงแก้วก็เป็นผู้หญิง ดูยังไงก็ไม่เหมาะ” เธอพยายามยกเหตุผล
“แต่พี่ไม่คิดแบบนั้นนะ พี่กลับคิดว่ามันดีซะอีกที่ส่งเธอไปทำงานแบบนั้น เพราะผู้หญิงมีความละเอียดรอบคอบและช่างสังเกตมากกว่าผู้ชาย อีกอย่างเธอเป็นคนที่พี่ไว้ใจมากที่สุด ในสายตาพี่คนที่เหมาะกับงานนี้เป็นใครไปไม่ได้นอกจากเธอ เพราะพี่ไว้ใจเธอ” คำก็ไว้ใจสองคำก็ไว้ใจ จะให้ตอบอะไรได้นอกจาก...
“ค่ะ”
“อืม! คนของพี่รอเธออยู่หน้าห้องแล้ว พร้อมเมื่อไหร่ก็ออกไปพบพวกเขาได้เลย พวกเขาจะเป็นคนจัดการเรื่องทุกอย่างต่อจากนี้ รวมทั้งเรื่องรายละเอียดทั้งหมดที่เธอต้องทำ ยังไงก็ขอให้โชคดี” แก้วมุกดาวางสายพลางกลอกตาไปมา ก่อนจะเดินออกมาจากห้องพักที่เธอเช่าอยู่ในสมัยทียังเรียนมหาวิทยาลัย
“สวัสดีครับคุณแก้วมุกดา” ทันทีที่เปิดประตูก็มีสองหนุ่มตัวสูงใหญ่ ที่เธอเดาว่าน่าจะเป็นคนที่พี่เขยเธอส่งมา
“อะเอ่อ สวัสดีค่ะ ถ้าจะหล่อขนาดนี้ไปเป็นดาราดีกว่ามั้ง” แก้วมุกดาทักชายทั้งสองเป็นภาษาอังกฤษ จากนั้นก็ใช้ภาษาไทยแอบนินทาทั้งสองไปด้วย
“ผมอีวาน ส่วนนี่ไซมอน เราสองคนได้รับหน้าที่ให้มาดูแลคุ้มครองคุณ ส่วนนี่คือข้าวของเครื่องใช้ทั้งหมดของคุณครับ” อีวานส่งกระเป๋าใบเขื่องให้เธอที่ยังทำหน้างงๆ
“ตะแต่ว่าของพวกนี้ฉันมีแล้ว” แก้วมุกดาส่ายหน้าหวือ ไม่ยอมรับกระเป๋าสัมภาระที่อีกฝ่ายยื่นให้
“นี่เป็นของที่คุณจำเป็นและต้องใช้ครับ ส่วนกระเป๋านั่นคงไม่ต้องเอาไป เพราะยังไงก็ไม่ได้ใช้ กรุณารับไว้และเปลี่ยนเครื่องแต่งกายใหม่ด้วยครับ” อีวานบอกเสียงเรียบ ทำให้แก้วมุกดาถึงกับหน้ามุ่ยและแอบนินทาอีกฝ่ายในใจ
‘เอ้อ! จะหน้านิ่งไปไหนเนี่ย ไม่เมื่อยบ้างรึไง’ หลังจากทำปากขมุบขมิบเจริญพรอีกฝ่ายไปแล้ว เธอจึงรับกระเป๋าใบเขื่องมาอย่างเสียไม่ได้