“แต่ตอนนี้เธอต้องคอยดูนายธีรกับยัยแจมไว้ให้ดีๆ อย่าให้มีอะไรเกินเลยนะ หรือถ้าเลือดแม่มันแรงนัก อยากใฝ่ต่ำเห็นยาจกอย่างเจ้าธีรดีกว่าราชาอย่างนายซีเหมือนแม่มันก็ขัดไว้ก่อน รอให้นายซียกหุ้นให้ก่อนก็แล้วกัน และอย่าเผลอไปบอกเรื่องนี้ให้ยัยแจมรู้ล่ะ คงไม่ต้องให้บอกนะว่าจะหลอกใช้มันยังไงก่อน เล่ห์เหลี่ยมเล็กๆ น้อยๆ เธอควรจะหัดมีไว้บ้างนะ แล้วก็อย่าลืมขอเงินจากลูกเขยรวยๆ ของเธอมาเข้ากระเป๋าไว้ด้วยล่ะ เผื่อฉุกเฉินขึ้นมาจะได้มีใช้ และถ้ารู้เรื่องอะไรของยัยแจมกับนายซี...”
วิวรรญาแทบหมดแรงก้าวเดินจากหน้าห้อง เมื่อได้ยินคำที่พ่อสั่งแม่เลี้ยงนักหนา โดยไม่สนใจว่าลูกคนนี้จะรู้สึกยังไง จะเสียใจยังไงเมื่อได้ยิน
ธีรนันท์ที่ได้ยินถ้อยคำนั้นอย่างชัดเจนก็อดสงสารเจ้านายสาวไม่ได้ เขาคว้ามือบางที่เดินเซเล็กน้อยไว้ เพื่อให้เป็นหลักพยุงกาย ก้าวเดินลงบันไดไปอย่างเชื่องช้า สวนกับเด็กรับใช้ที่กำลังยกของว่างมาแล้วมองเจ้านายอย่างงวยงง
ลูกที่หลงคิดว่าพ่อรักยิ่งค่อยๆ พากายไปนั่งในรถ มีผู้ช่วยหนุ่มขับออกไปช้า โดยไม่ต้องรอให้สั่ง เพราะรู้ดีว่าเจ้านายคงจะพูดไม่ออกแน่ เขาอดสงสารขึ้นมาอย่างจับจิตจับใจไม่ได้
“พรุ่งนี้คุณธีรไม่ต้องมารับแจมนะคะ แจมจะเข้าสายๆ ค่ะเดี๋ยวขับรถไปเอง”
แม้ปากอยากจะบอกว่าไม่อยากเข้าไปทำงานอีกแล้วแทบแย่ แต่วิวรรญาก็ยังมีสติมากพอเลยหันไปบอกผู้ช่วยหนุ่ม ที่หันมามองเจ้านายสาวด้วยใบหน้าของคนเป็นกังวลไม่น้อย
แล้วจ้องมองตามแผ่นหลังตาละห้อยไปจนหายเข้าประตูบ้าน เลยออกไปหอบกล่องของฝากตรงไปหาตึกใหญ่อย่างรู้งาน คนรับใช้คนแรกที่เจอ
ธีรนันท์ก็ยื่นกล่องให้แล้วรีบกลับไปหารถขับออกไปทันที แม้จะห่วงอีกคนที่เข้าบ้านไปแล้วแทบแย่ แต่ก็รู้ดีว่าตัวเองไม่อยู่ในฐานะอะไรที่จะช่วยปลอบขวัญได้
ส่วนคนที่หันไปพึ่งพาลิฟต์เพราะไร้ซึ่งเรี่ยวแรงจะก้าวขึ้นบันไดนั้น ก็ปล่อยให้น้ำตาไหลนองหน้าอย่างไม่เกรงกลัวว่าใครจะมาพบเห็น เพราะบ้านนี้ไม่มีใครอยู่แล้ว สาวใช้ประจำก็ลากลับบ้านหลายวัน
ส่วนสามีที่ดูจะไม่เหมือนเป็นสามีเข้าไปทุกวันแล้วก็คงยังไม่เข้าบ้าน หรืออาจจะยังไม่กลับจากการหิ้วสาวข้างกายไปเที่ยวต่างจังหวัด หรือถ้ามาแล้ว บ้านนี้เขาก็คงไม่คิดจะกลับมานอน ในเมื่อมีอีกบ้านให้ต้องไปแล้ว
น้ำจากฝักบัวไม่อาจจะช่วยล้างน้ำตาที่หลั่งรินออกมาให้หมดไปได้ แม้จะเปิดแรงแค่ไหน จะยืนให้มันราดรดลงมาหากายเนิ่นนานเพียงใด เมื่อในใจยังมีคำของพ่อเวียนว่ายอยู่ไม่ห่าง
‘ฮือๆ ๆ ฮือๆ ๆ ฮือๆ ๆ ฮือๆ ๆ ฮือๆ ๆ ฮือๆ ๆ ฮือๆ ๆ ฮือๆ ๆ’
เสียงสะอื้นไห้ดังแข่งกับสายน้ำ เข่าสองข้างไร้ซึ่งเรี่ยวแรงหยัดยืน จนพับลงกับพื้นที่ชื้นแฉะ เมื่อตระหนักได้ว่า ณ เวลานี้ตัวเองไม่หลงเหลือใครในชีวิตอีกแล้ว
‘ไม่มีใคร’
‘ไม่มีที่พึ่งพิงใดๆ’
‘ไม่มีแม้แต่ใครสักคนจะมาเข้าใจ’
ภาพนายลินผู้ต่ำต้อยที่กลับกลายมาเป็นนายปาลินผู้มั่งคั่งเวียนวนกลับมาย้ำเตือนความเจ็บช้ำให้อีกครั้ง และไม่ยากเย็นสักนิด หลังจากที่เคยคิดว่าอย่างน้อยๆ ตัวเองก็มีคนที่รักและเขาก็รักหมดใจมาหลายเดือน
ภาพใบหน้าและท่าทางของแม่ ที่ได้พบเห็นลูกเป็นครั้งแรกในรอบเกือบยี่สิบปี ที่หาวี่แววของความยินดีปรีดาไม่พานพบ จากที่เคยคิดว่าตัวเองยังมีแม่ ที่รักและห่วงใยลูกคนนี้จนหมดหัวใจมาเกือบยี่สิบปี
ภาพท่าทีหมางเมินที่พ่อมีให้นับตั้งแต่จำความได้หวนกลับมาในห้วงความคิดอีก จากที่หลงคิดว่าพ่อจะรักและหันมาสนใจบ้าง หลังจากที่ลูกคนนี้ตัดสินใจเสียสละครั้งยิ่งใหญ่ด้วยการแต่งงานกับชายที่ไม่เคยรักจะทำให้พ่อให้ความสำคัญกับลูกบ้าง
แต่ทุกอย่างจบสิ้นลงไปหมดแล้ว คนสุดท้ายที่คิดว่าจะเป็นที่พึ่งพิงทางใจ ไม่มีอีกต่อไปแล้ว ชีวิตนี้ไม่มีใครในชีวิตอีกต่อไปแล้ว เหลือแค่ตัวคนเดียวแล้ว
“ทำไมต้องเป็นแบบนี้ด้วย! ทำไม! ทำไม! ทำไม!”
เสียงประกาศก้องร้องถามดังขึ้นแข่งกับสายน้ำ คละเคล้ากับเสียงสะอึกสะอื้นร้องร่ำไห้ปานใจจะขาดรอนๆ เมื่อรู้สึก
‘หนาวเหน็บ’
‘อ้างว้าง’
‘โดดเดี่ยว’
‘เดียวดาย’
เหลือจะทานทน ไร้หนทางจะก้าวเดิน ไร้จุดหมายจะก้าวไป และไร้ซึ่งใครบางคนคอยยืนเคียงข้างในยามเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า ยามที่น้ำตาไหลรินก็ไร้ซึ่งคนคอยซับออกให้
กายสั่นเทาค่อยๆ ลุกไปหาผ้าเช็ดตัวผืนหนา เสื้อคลุมตัวหนาถูกสวมใส่ไป แล้วค่อยๆ เดินออกไปแทรกกายอยู่ใต้ผ้าห่ม ทั้งที่ผมยังเปียกชื้นอยู่เลย แล้วน้ำตาก็ไหลรินอาบหางตาลงไปหาใบหู เรื่อยลงไปหาหมอนจนเปียกปอนอีกครั้ง
ไม่สนใจด้วยซ้ำว่าเวลาจะผ่านไปเนิ่นนานหรือดึกดื่นสักแค่ไหน รู้แต่ว่าอยากร้องไห้ อยากจะร้องให้สาสมใจ อยากระบายความอัดอั้นตันใจทั้งหมดที่มีผ่านหยดใสๆ ที่ไหลริน กระทั่งไร้ซึ่งเรี่ยวแรงและหลับไปทั้งน้ำตา
ส่วนอีกคนที่ควบรถมาจอดกึกอยู่ตรงหน้าบ้านในเวลาตีหนึ่งด้วยอาการมึนนิดๆ กระนั้นสายตาก็เหม่อมองขึ้นไปหาห้องเมียที่ยังคงเปิดไฟอยู่ ไม่รู้ทำไมค่ำคืนนี้เขาช่างคิดถึงเมียรักปานใจจะขาดนัก
อยากจะเดินไปเคาะประตูเรียก แล้วดึงร่างนุ่มหอมเข้ามากอดจูบลูบไล้ แล้วทำอะไรต่อมิอะไรเหมือนที่เคยทำๆ มาหลายต่อหลายครั้งแทบใจจะขาด แต่ภาพของเมียที่สะอื้นไห้โอบกอดกับ
‘ไอ้งั่งนั่น’
ทำให้กายสูงผละหนีจากหน้าประตูห้องเมียในเดี๋ยวนั้น แม้อยากจะเห็นหน้าเมียแทบใจจะขาด เพราะนานนับชาติในความรู้สึก ที่แทบไม่ได้พานพบกันเลย หรือถ้าพบที่ห้องประชุมก็จะมีแต่ท่าทีเฉยเมย กับหมางเมินหยิบยื่นให้เป็นนิจ