“ถ้าฉันไม่คิดจะรังเกียจนายลินที่ยากจนเหมือนคนมีแต่ตัวยังไง ต่อให้นายปาลินจะพิกลพิการหรือสติฟั่นเฟือนมากแค่ไหน ฉันก็จะแต่งงานกับเขาได้ เพราะฉันมีเพียงเหตุผลเดียวคือต้องการช่วยคุณพ่อเท่านั้น”
ร่างอรชรวิ่งออกหลังบ้านอย่างรวดเร็ว ด้วยไม่อยากให้แขกในงานเห็นน้ำตา สองเพื่อนสาวก็วิ่งตามหลังไปไม่ห่าง ปาลินทำท่าจะวิ่งตามไปปรับความเข้าใจ
“จะไปไหนอาตี๋เล็ก ป๊าว่าออกไปดูแลแขกเหรื่อดีกว่านะ ปล่อยให้แขกออกไปตั้งนานแล้วไม่มีเจ้าภาพไปดูแลจะเสียมารยาทกันไปหมด ถ้าเขาไม่อยากแต่งกับแกก็ปล่อยเขาไปเถอะ ป๊าไม่ชอบให้ลูกชายต้องมาถูกตบอวดคนนับสิบอย่างนี้ มันไร้ศักดิ์ศรี”
แต่คนเป็นพ่อก็ดึงแขนไว้ พร้อมกับส่งน้ำเสียงและสีหน้าไม่พอใจกับเหตุการณ์เมื่อครู่ออกมาให้ทุกคนเห็น โดยเฉพาะไกรเดชที่ประมุขมองมากกว่าใคร และบอกเป็นนัยๆ ว่าไม่ชอบให้ลูกชายถูกลูกสาวเขามาทำแบบนี้ต่อหน้าคนอื่น
“ออกไปช่วยกันดูแลแขกกันดีกว่านะพวกเรา ยัยแจมก็ปล่อยให้เพื่อนๆ เขาดูแลกันไปก่อนก็แล้วกัน”
ไกรเดชเลยหันไปหาพี่ชายและทุกคนแล้วเดินนำออกไปหาแขก โดยไม่สนใจด้วยซ้ำว่าลูกสาวจะขึ้นรถของเพื่อนขับออกไปไหน และจะกลับเมื่อไหร่ ด้วยใจนั้นมัวพะวงอยู่แต่กับประมุขที่ไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด
เจ้าของดวงหน้าสวยที่น้ำตาไม่เคยเหือดแห้งตั้งแต่เมื่อคืนวานกระทั่งเวลานี้ ลงจากรถแล้วเดินเอื่อยเฉื่อยขึ้นไปบนห้อง โดยไม่ได้หันมามองสองเพื่อนที่จ้องมองตามด้วยความเป็นห่วงและเห็นใจในความรักและชายคนรักที่กำลังเล่นตลกด้วย แล้วหันไปมองหน้ากันพร้อมกับส่ายหน้าน้อยๆ
ก่อนจะตรงเข้าครัวหาของกินเพราะความหิว แถมจะต้องรอจนกว่าเกรียงไกรกับอรพินกลับถึงบ้านตามที่ได้โทรคุยกันก่อน ถึงจะทิ้งเพื่อนไปได้ ไม่นานก็ได้มาม่าคนละชามเดินออกไปนั่งกินตรงชุดรับแขก
“นายลินนะนายลิน ทำไมต้องทำกับเพื่อนฉันอย่างนี้ด้วย”
ลดาลัยอดโมโหไม่ได้
“ใช่! แต่คิดอีกทีนะยีน ฉันว่าออกมาแบบนี้ก็ดีแล้วนะ อย่างน้อยๆ ยัยแจมก็จะได้แต่งงานกับคนที่ตัวเองรักยังล่ะ แทนที่จะแต่งกับนายปาลินคนไม่มีเวลาให้กับเจ้าสาวแม้แต่วันลองชุดน่ะ”
ทาริกาให้แง่คิด และแน่นอนว่ามันตรงกับใจอรพินที่มาถึงบ้านในเวลาบ่ายแก่ๆ และกำลังใจคุยกันกับสองสาวในเรื่องนี้
“ถึงป้าจะไม่รู้ว่าสองคนนี้รักกันตอนไหน แต่ป้าก็ดีใจนะที่เป็นนายลิน บอกตรงๆ ว่าถ้าไม่ติดที่ยัยแจมจะต้องไปแต่งงานแล้ว ป้าจะยุให้รักกันด้วยซ้ำ เพราะนายลินนี่ถูกใจป้าที่สุด ขยัน ซื่อสัตย์ และอดทนมากๆ”
“แล้วนั่นคือตัวตนที่แท้จริงของเขาหรือเปล่าล่ะพิน การที่ยัยแจมโกรธและทำแบบนี้น่ะดีแล้ว มีอย่างเหรอมาหลอกเราให้หลงเชื่อเป็นนานสองนาน ไอ้เรารึก็สงสาร เมตตา ไม่เคยคิดไปในทางอื่น แล้วทำไมมาเห็นเราเป็นตัวตลกไปได้ พูดแล้วมันของขึ้น”
สำหรับเกรียงไกรแล้วเห็นด้วยกับหลาน แต่ก็ไม่อยากพูดอะไรมากเลยรีบหุนหันลุกจากไปผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเข้าหางานสวนที่จะต้องลุยเดี่ยวไม่มีนายลินคนปลิ้นปล้อนคอยช่วยเหมือนเมื่อก่อนแล้ว
‘ผมขอโทษครับคุณแจม’
‘ได้โปรดรับสายผมและฟังผมอธิบายได้หรือเปล่าครับ’
‘ผมไม่เคยเห็นคุณแจมหรือใครๆ เป็นตัวตลกเลยสักนิด ผมแค่อยากจะรู้ว่าผู้หญิงที่ป๊าสั่งให้ผมแต่งงานด้วยเป็นใคร หน้าตาเป็นยังไง นิสัยใจคอเป็นยังไงเท่านั้น’
‘ได้โปรดเถอะครับคุณแจม ถ้าพรุ่งนี้ผมไม่ต้องเข้าประชุมแต่เช้าผมจะบึ่งรถไปหาคุณแจมคืนนี้เลย’
และคนปลิ้นปล้อนในความคิดของเกรียงไกรก็เฝ้าเพียรส่งข้อความมาหาเจ้าของหยาดหยดน้ำตาที่ไม่เคยเหือดแห้งนับครั้งไม่ถ้วน ดวงตาเศร้าจ้องมองหน้าจอและอ่านทวนถ้อยคำเหล่านี้หลายต่อหลายครั้ง
ควบคู่กับคำถามที่ว่า เขาทนได้ยังไงที่เห็นเธอเป็นทุกข์ และทรมานเพราะต้องจากเขาไป ทำไมเขาไม่เปิดปากบอกความจริงตั้งแต่ตอนนั้น เขาต้องการอะไรกันแน่ แล้วเขาจะลองใจเธอไปถึงไหน
จะอยากรู้นิสัยใจคอผู้หญิงที่เขาจะแต่งงานด้วยไปถึงไหน แล้วน้ำตาของเขาที่ไหลรินออกมาเวลาจะต้องจากกันล่ะ มันมาจากไหน ทำไมเขาถึงได้เสแสร้งแกล้งทำได้แนบเนียนขนาดนี้
“ฉันไม่สนหรอกว่านายนั่นจะไปทำอะไรให้ยัยแจมโกรธ ฉันสนแค่ว่าเธอจะต้องไปเอายัยแจมมาที่นี่ แล้วพาไปขอโทษเฮียซ้งกับนายซีเร็วๆ ก่อนเขาจะส่งทนายมายกเลิกข้อตกลงที่ทำกับเราไว้ เพราะไม่ชอบใจที่ลูกชายถูกตบโชว์คนในงานเท่านั้น ไปเลยนะ ไปทั้งสองคนแม่ลูกนั่นล่ะ ไปเอาตัวยัยแจมมาเดี๋ยวนี้”
แต่สำหรับคนที่ไม่เคยคิดถึงอะไรมากไปกว่ากิจการของครอบครัวไวทยาสกุล ที่เขาได้รับมอบหมายจากพี่ชาย จากพ่อแม่ให้ดูแลและสานต่อไปให้เจริญรุ่งเรืองในอนาคตอย่างไกรเดชกลับกำลังตะคอกใส่เมียกับลูกสาวเมื่อไม่ได้อย่างใจ
“ปิ่นจะไปพูดยังไงให้หนูแจมยอมเชื่อได้ล่ะคะคุณพี่”
ดาราทั้งหวาดกลัวในอารมณ์ของสามีทั้งกล้าที่จะออกความคิดเห็น
“ใช่ค่ะ! แยมเห็นด้วยกับคุณแม่ที่สุด แยมว่าคุณพ่อนั่นล่ะค่ะ น่าจะเป็นคนไปหาพี่แจมเองและพาพี่แจมมาเอง”
ดาราวดีสงสารแม่เหลือกำลังเมื่อต้องกลายเป็นบ่อนรองรับอารมณ์ของพ่อทุกครั้งที่ไม่ได้ดังใจขึ้นมา
“ฉันไม่มีเวลาว่าง มากพอจะไปทำเรื่องพวกนี้ได้ งานบริษัทล้นมือฉัน และกำลังรอให้ฉันเข้าไปแก้ไขปัญหาร้อยแปด เธอสองคนแม่ลูกจะช่วยฉันเรื่องแค่นี้ไม่ได้เลยหรือไง หรือจะต้องให้ฉันทำเองทุกอย่างพวกเธอถึงจะพอใจ จะต้องให้ฉันมานั่งกวาดบ้านถูกบ้านทำกับข้าวด้วยเลยมั้ยล่ะ โอ๊ย!!! ทำไมมันมีแต่เรื่องให้ปวดหัวตลอดเลยนะ นี่ฉันจะต้องทำอะไรด้วยมือของฉันเองทุกอย่างเลยใช่มั้ย!”
สองแม่ลูกได้แต่มองคนที่เดินออกจากบ้านไปหารถด้วยอาการฉุนเฉียว