บทที่ 5 อาการน่าเป็นห่วง

1448 Words
เว่ยอ้ายเหม่ยยังคงนอนไม่รู้สึกตัวและไม่ได้สติมาสองชั่วโมงแล้ว ทุกคนในบ้านต่างก็เฝ้าอยู่ไม่ห่างด้วยความกังวลใจ อีกทั้งยาที่หมอเหลียงให้ก็เอาให้กินไปหลายถ้วยแล้วแต่อาการก็ยังไม่ดีขึ้นเลย เวลานี้ทุกคนก็ไม่รู้จะทำยังไงดี ขณะเดียวกันมีเสียงเดินและกระทืบเท้าอย่างไม่พอใจดังมาจากหน้าบ้าน ทำให้พี่ชายคนโตเดินออกไปดู เมื่อเดินออกมาก็พบเข้ากับเว่ยอวิ๋นรุ่ยลูกสาวของลุงใหญ่พร้อมเงินสองหยวน ก่อนที่เธอยื่นให้กับเว่ยตงแล้วพูดด้วยเสียงประชดประชันว่า “นี่ค่ายา ล้มแค่นี้ทำเป็นสำออยนัก” เว่ยตงเองก็ไม่อยากมีเรื่องให้มันวุ่นวายใจไปกว่านี้ จึงได้รับเงินนั้นมาแล้วบอกให้เว่ยอวิ๋นรุ่ยกลับไป ก่อนที่จะเดินกลับเข้าบ้านแล้วมานั่งเฝ้าน้องสาวต่อ และความคิดของเว่ยตงและทุกคนในบ้านรองก็เป็นเหมือนกันคือไม่ค่อยอยากจะมีเรื่องกับบ้านใหญ่ ครั้งนี้พวกบ้านใหญ่ให้เงินค่ายามาสองหยวนก็นับว่ามากแล้วสำหรับการกระทำในครั้งนี้ เนื่องจากครั้งก่อนแม่กับป้าสะใภ้ทะเลาะกันจนหัวแตก บ้านใหญ่ยังไม่คิดให้เงินค่ายา อีกทั้งเวลานี้บ้านรองก็ไม่ได้เรียกร้องอะไรเพิ่มทั้งที่รู้อยู่ว่าเงินสองหยวนนั้นมันไม่พอหรอก เพราะว่าอาการของเว่ยอ้ายเหม่ยในตอนนี้นั้นสมควรต้องพาไปหาหมอที่โรงพยาบาล “พ่อ ผมว่าพาน้องเล็กไปโรงพยาบาลดีไหม ปล่อยไว้อย่างนี้คงไม่ดีแน่” เว่ยอู๋ซินพูดขึ้นมาเพราะไม่อยากรออีกแล้ว สีหน้าเขาเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด “จริงค่ะ พาอ้ายเหม่ยไปโรงพยาบาลเถอะ” พี่สะใภ้ทั้งสองก็เห็นด้วย เว่ยเฉียนพูดออกมาอย่างหมดหวัง “พวกเราจะพาอ้ายเหม่ยไปโรงพยาบาลได้ยังไง พวกเรามีเงินไม่พอหรอก เมื่อกี้บ้านใหญ่ก็ให้มาแค่สองหยวน แค่เราเหมาเกวียนเข้าเมืองไปเงินก็แทบจะหมดแล้ว แล้วจะเอาเงินที่ไหนไปจ่ายค่าหมอกัน” พอได้ยินพ่อสามีพูดแบบนั้นสะใภ้ใหญ่และสะใภ้รองก็รีบวิ่งเข้าไปในห้องของตนกับสามี แล้วหยิบเอากระปุกออมสินออกมา แต่เมื่อแคะดูแล้วก็มีเพียงไม่กี่หยวนเท่านั้น ต่อให้คนทั้งบ้านรวบรวมเงินที่มีอยู่ทั้งหมดยังไงก็ไม่พอค่ารักษาพยาบาลอยู่ดี “แม่ อาอ้ายเหม่ยจะตายไหม” เว่ยอี้ชุน หลานชายวัยห้าขวบถามขึ้นมา ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ชอบอาสาวคนนี้สักเท่าไหร่ แต่ก็คงไม่สบายใจหากว่าเธอเป็นอะไรไปจริง ๆ “อาอ้ายเหม่ยไม่เป็นอะไรหรอกลูก เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าก็ตื่นขึ้นมาแล้ว” จางอิงตอบกลับลูกชายของตนเอง คล้ายกับกำลังปลอบตัวเองอยู่เหมือนกัน “พวกบ้านใหญ่นี่ก็จริง ๆ เลย ทำคนบาดเจ็บถึงขนาดนี้จิตใจยังไม่มีเมตตาอีก นี่อะไรกันให้ค่ายามาแค่สองหยวนทั้ง ๆ ที่ดูแล้วอาการของอ้ายเหม่ยต้องไปโรงพยาบาลเสียด้วยซ้ำ” หลี่ฟางเจียวกล่าวตัดพ้อ ทั้ง ๆ ที่เธอและครอบครัวทำงานส่งเงินเข้าบ้านใหญ่ทุกปี แม้จะแยกบ้านมาแล้วก็ตาม แต่หากไปขอทางนั้นคงต้องไม่ให้และคงอ้างเหมือนเดิมว่านั่นคือเงินส่งเสียเลี้ยงดูพ่อแม่สามี จริงของหลี่ฟางเจียว บ้านใหญ่นั้นไม่มีจิตใจเมตตาเลยจริง ๆ ไม่ใช่เพียงแค่ครั้งนี้ที่ทำเว่ยอ้ายเหม่ยบาดเจ็บ หลายครั้งที่คนบ้านใหญ่ไม่พอใจและทำข้าวของของบ้านรองเสียหาย พวกเขาแทบจะไม่ชดเชยค่าเสียหายให้เลย ถึงให้ก็ให้น้อยมาก วันดีคืนดีก็มาเอาของกินของใช้ในบ้านตามอำเภอใจ และใครก็พูดอะไรไม่ได้เนื่องจากพ่อแม่สามีคอยปกป้องบ้านใหญ่มาตลอด “เขาก็เป็นแบบนี้ทุกครั้งไม่ใช่เหรอ แม่ก็เห็นอยู่ บ่นไปก็ไม่ได้อะไรหรอกครับ ทำใจเสียเถอะนะครับ” เว่ยตงพูดออกมาให้แม่ของตนเองทำใจ เพราะบ้านใหญ่เห็นแก่ตัวแบบนี้มานานแล้ว เวลานี้ทุกคนยังไม่มีใครแยกย้ายไปไหน ต่างก็เป็นห่วงเว่ยอ้ายเหม่ยกันทั้งนั้น แต่พอตกดึกมาแล้วก็เริ่มจะทนไม่ไหว เนื่องจากทุกคนต่างก็ทำงานมามีความเหน็ดเหนื่อยไม่น้อย จึงได้จัดเวรสลับกันดูแลแทน “สะใภ้ใหญ่ สะใภ้รองพาลูกไปนอนก่อนเถอะ เดี๋ยวที่นี่แม่กับพ่อจะเฝ้าเอง ส่วนเจ้าใหญ่กับเจ้ารองก็ไปนอนกันได้แล้ว เดี๋ยวพรุ่งนี้ต้องไปทำงานอีก” หลี่ฟางเจียวบอกกับทุกคนให้ไปนอนและพักผ่อนกันก่อน ส่วนทางนี้เธอและสามีจะดูแลเอง “แม่จะไม่นอนไม่ได้นะคะ เอาอย่างนี้ดีกว่าค่ะ เดี๋ยวพอพาลูกเข้านอนแล้วฉันกับพี่สะใภ้จะมาสลับกับแม่และพ่อเอง” ฟางเสี่ยวหรงตอบกลับ วันนี้เธอเองก็ไม่เหนื่อยอะไรมา แค่พาลูกไปหาหมอมาเท่านั้น พูดจบสะใภ้ทั้งสองก็พาลูก ๆ เข้าห้องไปทันที ส่วนเว่ยตงกับเว่ยอู๋ซินนั้นยังไม่ยอมไปนอน เพราะเป็นห่วงทั้งน้องสาวเป็นห่วงทั้งพ่อแม่ หากพ่อกับแม่เฝ้าเว่ยอ้ายเหม่ยทั้งคืนจนเป็นอะไรไปอีกคน พวกเขาจะทำยังไง จากนั้นจึงได้คะยั้นคะยอให้พ่อกับแม่ไปนอนเสีย “พ่อกับแม่นั่นแหละไปนอนเถอะครับ เดี๋ยวผมกับน้องรองจะเฝ้าน้องเอง พอตอนดึกค่อยให้เสี่ยวอิงกับเสี่ยวหรงมาเฝ้าต่อ ผมไม่อยากเห็นพ่อกับแม่ต้องทรุดลงไปอีกคน” เว่ยตงพูดพร้อมกับเอามือทั้งสองประคองผู้เป็นแม่ให้ลุกขึ้นแล้วพากลับไปที่ห้องนอน เวลาผ่านไปจนถึงห้าทุ่ม อาการของเว่ยอ่ายเหม่ยก็ยังทรงตัว ดูเหมือนจะไม่ดีขึ้นแต่ก็ไม่แย่ลง พี่ชายทั้งสองก็เฝ้าอยู่ก็รอดูอย่างใจจดใจจ่อ เผื่อว่าจะได้ยินเสียงหรือเห็นว่าน้องสาวจะขยับตัวบ้าง แต่แล้วสิ่งที่ไม่อยากจะให้เกิดกลับเกิดขึ้นมา เนื่องจากพอประมาณเที่ยงคืนเว่ยอ้ายเหม่ยก็มีไข้ขึ้นสูงมาก อีกทั้งตัวยังร้อนราวกับข้างในมีไฟเผาอยู่ แถมยังมีอาการตัวสั่นจากพิษไข้ หน้าแดงตัวแดงไปหมด ทุกคนต่างก็ร้อนรนและวิตกกังวลมากแต่ก็ไม่รู้จะทำยังไง ก่อนที่จางอิงจะรีบวิ่งไปปลุกพ่อกับแม่ให้มาดูอาการของเว่ยอ้ายเหม่ย ขณะนี้ทั้งพ่อและแม่ต่างก็ร้องไห้ด้วยความเสียใจ เพราะกลัวว่าลูกสาวตัวเองจะตายนั่นเอง จนลูกชายอย่างเว่ยตงกับเว่ยอู่ซินต้องไปประคองพ่อกับแม่ของตัวเองให้มานั่งที่เก้าอี้ “มียาลดไข้ไหม เอามาให้อ้ายเหม่ยกินเดี๋ยวนี้เลย” จางอิงหันไปถามสามีที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เว่ยตงวิ่งเข้าไปค้นยาในลิ้นชักก็ปรากฏว่ามีแต่ยาลดไข้ที่เก็บไว้นานแล้ว เมื่อสักครู่ก็เอาให้อ้ายเหม่ยกินไปแล้วด้วย “มียาลูกกลอนอันนี้ แต่ว่าให้อ้ายเหม่ยกินไปสองเม็ดแล้วไม่เห็นจะดีขึ้น ทีนี้พวกเราจะต้องทำยังไงดี” เว่ยตงพูดพร้อมกับยื่นขวดยาให้ภรรยาดู “ยานั่นมันเก่าแล้วหรือเปล่าพี่ พวกเราไปหาหมอเหลียงกันอีกรอบดีไหม อย่างน้อยก็ไปเอายาลดไข้อันใหม่มา” จางอิงตอบกลับพร้อมกับเสนอความคิดที่ว่าจะให้สามีไปหาหมอเหลียงอีกครั้ง “ก็ดีเหมือนกัน ถ้าถ้าอย่างนั้นน้องรองพี่รบกวนนายให้ไปบ้านหมอเหลียงอีกรอบ และคราวนี้ซื้อยาลดไข้มาเยอะหน่อย” เว่ยตงบอกกับน้องชายและยังกำชับเรื่องที่ให้ซื้อยามามากกว่าเดิม “ครับ” เว่ยอู๋ซินรับคำและรีบออกจากบ้านไปทันที
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD