หลังจากที่เว่ยเฉียนได้หนังสือรับรองการตัดขาดมาจากหัวหน้าหมู่บ้านแล้ว สองคนพ่อลูกก็รีบกลับไปที่บ้านของตัวเองทันที เมื่อมาถึงก็เห็นทุกคนในบ้านมานั่งรวมตัวกันเพื่อรอข่าวอยู่
“เป็นอย่างไรบ้างครับ หัวหน้าหมู่บ้านยอมทำหนังสือรับรองการตัดขาดให้พวกเราไหมครับ” เว่ยตงรีบถามขึ้นทันทีที่เห็นทั้งคู่กลับมาถึงบ้านอย่างร้อนใจ
“หัวหน้าหมู่บ้านทำหนังสือรับรองการตัดขาดมาแล้ว อยู่นี่ยังไงล่ะ” เว่ยอู๋ซินที่ตามเว่ยเฉียนไปด้วยเป็นคนตอบกลับ พร้อมกับส่งหนังสือสำคัญให้กับพี่ใหญ่ของตนดู
“อ้าว ในเมื่อได้หนังสือรับรองการตัดขาดมาแล้ว ทำไมพ่อถึงทำหน้ากังวลใจอย่างนั้นด้วยคะ มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นอีกเหรอเปล่าคะ” เว่ยอ้ายเหม่ยถามขึ้นอย่างสงสัย เมื่อมองเห็นว่าผู้เป็นพ่อนั้นยังมีสีหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวลอยู่ไม่น้อย
“พ่อไม่รู้ว่าจะพูดกับคนบ้านใหญ่ยังไงดีถึงจะไม่เกิดเรื่องบาดหมางกันขึ้น จนส่งผลกระทบกระเทือนไปถึงปู่กับย่าของลูกน่ะ”
เว่ยเฉียนบอกถึงสิ่งที่เขายังมีความกังวลอยู่เล็กน้อย เนื่องจากเขาไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นพูดกับบ้านใหญ่ว่ายังไงดีถึงจะไม่เกิดเรื่องราวทะเลาะกัน
“ถ้าเป็นเรื่องนั้นพ่ออย่ากังวลไปเลย พ่อเข้านอนก่อนเถอะพรุ่งนี้เช้าเดี๋ยวฉันจัดการเรื่องนี้เองพ่อไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอกนะ แค่พ่อถือหนังสือรับรองฉบับนี้ไปที่บ้านใหญ่พร้อมกับพวกเราก็พอ นอกนั้นก็ให้เป็นหน้าที่ของฉันและทุกคนเอง ” เมื่อรับรู้ถึงความกังวลของผู้เป็นพ่อเด็กสาวก็ยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนจะบอกอย่างจริงจัง
เมื่อพูดกับพ่อจบแล้ว เธอก็หันไปหาแม่ของตนกับพี่ชายทั้งสองคนรวมถึงพี่สะใภ้ด้วยเหมือนกันก่อนจะส่งสายตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความเชื่อมั่นให้ “ทุกคนไว้ใจฉันได้เลยนะคะ พรุ่งนี้เช้ารับรองว่าพวกบ้านใหญ่เมื่อรู้เหตุผลของพวกเราแล้ว ยังไงพวกเขาก็ต้องยอมให้บ้านเราตัดขาดอย่างแน่นอน”
“เหตุผลอะไรอย่างนั้นเหรออ้ายเหม่ย” เว่ยตงถามขึ้นอย่างสงสัย ซึ่งทุกคนก็พยักหน้าเหมือนอยากรู้คำตอบด้วยเหมือนกัน
แม้ว่าพวกเขาจะรู้สึกเชื่อมั่นในตัวเว่ยอ้ายเหม่ยมากหลังจากที่เธอเสนอเรื่องการตัดขาดกับบ้านใหญ่ขึ้นมา จนเว่ยเฉียนยินยอมที่จะไปขอหนังสือรับรอง แต่การที่จะหาเหตุผลไปสามารถบังคับให้คนบ้านใหญ่ยินยอมให้ตัดขาดง่าย ๆ นั้น มันเป็นเรื่องที่ใหญ่มากเลยทีเดียว จนพวกเขาเกิดความสงสัยจึงเอ่ยถามออกไป
“ตอนนี้ขอยังไม่บอกเหตุผลที่จัดการทางนั้นนะคะ แต่ฉันอยากให้ทุกคนเชื่อมั่นใจตัวอ้ายเหม่ยคนนี้หรือถ้าหากบ้านใหญ่ไม่ยินยอมง่าย ๆ ฉันก็ยังมีไม้ตายที่จะขู่พวกเขาให้ยินยอมอย่างไม่มีทางเลือก ขอเพียงแค่ทุกคนยืนอยู่เคียงข้างฉันและสนับสนุนคำพูดของฉันก็พอ” เธอพูดออกมาด้วยท่าทางมั่นอกมั่นใจว่าเรื่องในวันพรุ่งนี้อย่างไรบ้านใหญ่ก็ต้องยินยอม
“เอาอย่างนั้นก็ได้ พ่อจะยอมเชื่ออ้ายเหม่ย ลูกว่ายังไงพวกเราก็พร้อมจะสนับสนุนอย่างเต็มที่และจะยืนอยู่เคียงข้างลูกตลอดเวลา พ่อสัญญา”เว่ยเฉียนพูดขึ้นเมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของลูกสาวตนเอง
“พวกเราก็จะเชื่อมั่นในตัวอ้ายเหม่ยและจะอยู่ข้างๆ น้องเอง ใช่ไหมทุกคน” เว่ยอู๋ซินพูดขึ้นมาอีกคนพร้อมกับหันไปถามคนอื่นๆ ด้วย
ซึ่งทุกคนก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วยพร้อมกันอีกครั้ง แม้จะมีความสงสัยในท่าทางที่แปลกและเปลี่ยนไปของน้องเล็กของบ้าน แต่พวกเขาก็คิดว่าที่เธอเปลี่ยนแปลงไปนั้นอาจจะเกิดจากการที่สมองได้รับความกระทบกระเทือนจากการถูกทำร้ายจนเกือบตายในครั้งนั้น จนทำให้เว่ยอ้ายเหมยกลายเป็นคนที่ฉลาดขึ้น อีกทั้งเวลาพูดกับคนในครอบครัวก็ดูมีความอ่อนโยนมากขึ้นเหมือนกัน ซึ่งทุกคนดีใจมากที่เธอเป็นแบบนี้
นี่สินะที่เคยมีคนกล่าวเอาไว้ว่าเมื่อเจอเรื่องร้าย ๆ มักจะมีเรื่องดี ๆ ปะปนอยู่บ้างไม่มากก็น้อย
“ขอบคุณทุกคนที่เชื่อมั่นในตัวฉันอ้อ...พรุ่งนี้เช้าฉันต้องขอรบกวนพี่สะใภ้ทั้งสองให้ช่วยกระจายข่าวเรื่องการขอตัดขาดของเราให้ชาวบ้านรู้อย่างทั่วถึงด้วยนะคะ เพื่อที่จะได้มีชาวบ้านไปมุงดูเยอะ ๆ เวลาพวกเราไปแจ้งเรื่องการตัดขาดนั้นยิ่งชาวบ้านไปเยอะมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเป็นผลดีกับพวกเรามากเท่านั้น” เว่ยอ้ายเหม่ยยิ้มขอบคุณให้ทุกคน ก่อนจะเอ่ยขึ้นกับพี่สะใภ้ของตน
“ได้ ๆ พรุ่งนี้เช้าพี่กับพี่สะใภ้ใหญ่จะทำทีเป็นว่าไปคุยกับพวกชาวบ้านให้ทั่วหมู่บ้านเลย” ฟางเสี่ยวหรงรีบรับปากอย่างยินดีที่เธอจะสามารถมีส่วนช่วยในเรื่องนี้
“พี่กับพี่ใหญ่ก็จะไปกระจายข่าวที่คอมมูนด้วยเหมือนกัน รับรองว่าพรุ่งนี้คนทั้งหมู่บ้านจะต้องไปมุงดูการตัดขาดของพวกเราแน่นอน” เว่ยอู๋ซินพูดขึ้นบ้าง เพราะที่คอมมูนมีคนไปทำงานจำนวนมากนี่จึงเป็นแหล่งกระจายข่าวชั้นดี
“ดีค่ะ” เว่ยอ้ายเหม่ยยิ้มมุมปากเล็กน้อยเมื่อได้ยินอย่างนั้น เพราะไม่ว่าอย่างไรพรุ่งนี้บ้านรองจะต้องเป็นอิสระจากบ้านใหญ่เท่านั้น!!
“ถ้าอย่างนั้นพวกเราแยกย้ายกันไปพักผ่อนเถอะนะ อ้ายเหม่ยเองก็พักผ่อนเยอะ ๆ นะลูก ร่างกายจะได้กลับมาแข็งแรง หรือจะให้แม่ไปนอนด้วยไหม” หลี่ฟางเจียวที่นั่งฟังอยู่นานพูดขึ้นเมื่อเห็นว่าถึงเวลาที่ควรจะไปพักผ่อนกันได้แล้ว
“ไม่เป็นไรค่ะแม่ แม่ก็พักผ่อนบ้างเถอะค่ะ เฝ้าฉันมาหลายวันแล้ว ขอบคุณนะคะที่ทุกคนเป็นห่วงและดูแลฉันอย่างดี ต่อไปนี้ฉันจะไม่ทำตัวให้ทุกคนเป็นห่วงอีกแล้ว ขอบคุณจริง” พูดจบเว่ยอ้ายเหม่ยก็ลุกขึ้นยืนแล้วโค้งศีรษะให้ทุกคนอย่างนอบน้อม
“ขอบคุณอะไรมากมาย เราก็คนครอบครัวเดียวกันทั้งนั้น แต่ตอนนี้แยกย้ายกันไปนอนเถอะ ดูสิอาชุนกับเสี่ยวเหมยหลับไปแล้ว ฮ่า ๆ” เว่ยเฉียนพูดขึ้นอย่างสบายใจ และหัวเราะออกมาเมื่อเห็นหลานทั้งสองคนนอนหลับอยู่ที่มุมห้อง
จากนั้นคนบ้านเว่ยก็แยกย้ายกันไปเข้านอนที่ห้องของตนเองเพื่อที่จะได้ตื่นมาทำหน้าที่ของตนเองในวันพรุ่งนี้
เว่ยอ้ายเหม่ยเองเมื่อเข้ามาในห้องนอนส่วนตัวแล้ว ก็ยังไม่ยอมนอนง่าย ๆ เพราะเธอจะต้องวางแผนสำหรับเรื่องการตัดขาดในวันพรุ่งนี้ รวมถึงเรื่องอื่น ๆ ด้วยเหมือนกัน เช่นเรื่องความเป็นอยู่ของทุกคนต่อจากนี้
อาหารที่บ้านเว่ยนั้นถึงแม้ว่ารสชาติจะพอกินได้ แต่เหมือนกับว่าปริมาณจะไม่เพียงพอสำหรับคนหลายคน ตอนกินข้าวเย็นเธอกลัวว่าหลานทั้งสองจะกินไม่อิ่ม ก็เลยกินน้อยลงและแบ่งปันอาหารในส่วนของเธอไปให้ แต่ต่อไปนี้เธอก็ไม่ต้องห่วงอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เพราะเธอยังมีซูเปอร์มาร์เก็ตขนาดใหญ่ในมิติอยู่
คิดได้ดังนั้นเมื่อหลับตาลง เธอก็นึกถึงมิติขึ้นมา พอลืมตาขึ้นก็เข้ามาอยู่ในมิติแล้ว จากนั้นก็เดินไปเลือกหยิบเอาบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแบบถ้วยมาถ้วยหนึ่ง เพราะนี่เป็นสิ่งที่ทำง่ายและสะดวกที่สุด อีกทั้งในซูเปอร์มาร์เก็ตยังมีจุดต้มน้ำร้อนไว้ให้เติมน้ำใส่บะหมี่ได้ด้วย หากว่าจะหยิบเอาของสดออกมาปรุงอาหารก็ไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีเท่าไรนักเพราะว่าต้องมาใช้ครัวที่บ้านอีกอาจจะทำให้คนที่นอนหลับไปแล้วตื่นมาดูและเกิดความสงสัย ดังนั้นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปนี่แหละดีที่สุดแล้ว
หลังจากนั่งกินบะหมี่จนอิ่มเด็กสาวก็เดินไปดูที่แผนกผลไม้สักหน่อยก่อนที่จะเลือกเป็นองุ่นมาหนึ่งพวงเพื่อกินแทนของหวาน
เมื่อกินอิ่มทั้งของคาวของหวานแล้วก็ลุกขึ้นเพื่อเดินดูแผนกที่ขายพวกหมอน ผ้าห่มและเครื่องใช้ในบ้าน เนื่องจากเธอมีแผนว่าจะเอาของพวกนี้ออกไปให้ครอบครัวใช้ด้วย แต่ก็ต้องรอเวลาและทำทุกอย่างให้แนบเนียนเพื่อไม่ให้คนในบ้านผิดสังเกตได้ ในเมื่อเวลานี้ยังเอาออกไปไม่ได้เลยได้แต่เตรียมการไว้ก่อนเท่านั้น
จากนั้นก็ออกมาจากมิติและพยายามนอนให้หลับเพื่อจะได้ให้ร่างกายนี้แข็งแรงที่สุด ในการพร้อมรับกับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้
ทางด้านเว่ยเฉียนเองก็นอนไม่หลับเช่นกัน เพราะเขาครุ่นคิดถึงเรื่องที่ต้องเผชิญในวันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้เขาอาจถูกชาวบ้านประมาณว่าเป็นลูกอกตัญญูต่อพ่อแม่ที่แก่ชรา แต่ว่าเขาเองก็รู้สึกผิดต่อครอบครัวของตัวเองเช่นกันที่ไม่สามารถทำให้ครอบครัวมีชีวิตที่ดีกว่านี้ได้ ถึงยังไงแล้วก็คงต้องเลือกที่จะทำเพื่อครอบครัวตัวเอง เนื่องจากที่ผ่านมาเขาเองก็แสดงความกตัญญูต่อบ้านใหญ่มามากพอแล้วจนทำให้ลูกเมียลำบากหลาน ๆ ไม่ได้เรียนหนังสือ
เว่ยเฉียนพลิกตัวไปมาอยู่หลายครั้งจนหลี่ฟางเจียวรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาอีกคน หล่อนรับรู้ว่าสามีเกิดความกังวลจนนอนไม่หลับจึงเอ่ยขึ้นด้วยความห่วงใย
“พี่เฉียนก็พักผ่อนบ้างเถอะนะ ปล่อยวางให้ลูกจัดการแล้วพี่ก็ต้องยอมรับเรื่องราวที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ให้ได้ ฉันมั่นใจและเชื่อว่าอ้ายเหม่ยจะต้องทำได้แน่นอน” หลี่ฟางเจียวพูดขึ้นกับสามีด้วยน้ำเสียงที่มั่นใจว่าลูกจะทำได้อย่างที่พูด
“นั่นสินะ พวกเราจะต้องเชื่อมั่นในตัวอ้ายเหม่ย ขอบใจนะฟางเจียวที่ให้สติพี่ นอนเถอะนะ” เว่ยเฉียนตอบกลับพร้อมกับตบลงที่หลังมือมองภรรยาเบา ๆ จากนั้นทั้งสองคนก็เข้าสู่นิทราไปพร้อมกัน