นับตั้งแต่เว่ยอ้ายเหม่ยอยู่บ้านเฝ้าของทุกวัน นี่ก็กินเวลาเกือบครึ่งเดือนแล้ว ทว่าแทนที่พี่สะใภ้ทั้งสองจะเหนื่อยน้อยลง กลายเป็นว่าเด็กสาวกลับเพิ่มงานให้พี่สะใภ้ทั้งสองมากกว่าเดิม
ไม่ว่าจะกินแล้วไม่เก็บอย่างเช่นเวลานี้เศษเมล็ดฟักทองกระจายอยู่เต็มพื้น แล้วก็ชอบรื้อของออกมา หรือไม่ก็วางของทิ้งไว้แล้วไม่เก็บเข้าที่ และอีกหลายอย่างที่ไม่อยากจะพูดถึง ทำให้พี่สะใภ้ทั้งสองถึงขั้นมานั่งทบทวนดูว่า พวกเธอควรจะโน้มน้าวให้น้องสามีกลับไปเที่ยวเล่นตามเดิมดีหรือไม่ เพราะตั้งแต่เว่ยอ้ายเหม่ยอยู่ติดบ้านพวกเธอทั้งสองเหนื่อยเพิ่มอีกเท่าตัว
เพราะหน้าที่หลักของสะใภ้ทั้งสองคือจะต้องช่วยกันทำงานบ้านและต้องเลี้ยงลูกและทำอาหาร แต่ยังจะต้องมาคอยตามเก็บกวาดที่เว่ยอ้ายเหม่ยทำสกปรกไว้อีก พวกเธอทั้งสองจึงเริ่มจะทนไม่ไหวแล้วจึงได้ปรึกษากันเพื่อหาทางแก้ไข
“เสี่ยวหรง พี่ว่าพวกเราบอกพ่อกับแม่เรื่องนี้ดีไหม ให้พวกท่านกล่อมอ้ายเหม่ยให้ไปทำอย่างอื่นหรือว่าไปเที่ยวเล่นเหมือนเดิมก็ยังดีกว่าอยู่บ้าน” จางอิงพี่สะใภ้ใหญ่พูดขึ้นมา คล้ายกับกำลังปรึกษา
“จะดีเหรอพี่ ฉันว่าถ้าอ้ายเหม่ยรู้ว่าพวกเราไปบอกแม่คงต้องโกรธเป็นฟืนเป็นไฟแน่ ดีไม่ดีจะมาหาเรื่องพวกเราแทนน่ะสิพี่สะใภ้” ฟางเสี่ยวหรงตอบกลับ ใครบ้างไม่รู้ฤทธิ์เดชของน้องสามีอย่างเว่ยอ้ายเหมย หากไม่พอใจขึ้นมา มีหวังเธอและพี่สะใภ้ใหญ่ไม่มีทางได้อยู่อย่างสงบสุขแน่
“แล้วเราจะทำยังไงดีล่ะสะใภ้รอง พี่เองก็เหนื่อยจนไม่ไหวแล้วนะ” จางอิงพูดขึ้นมาอย่างหมดหนทาง แม้ว่าเธอทั้งสองคนไม่ต้องไปทำงานที่คอมมูนเต็มวัน แต่ก็มีบ้างที่สลับกันไปทำกับแม่และพ่อสามี เพื่อให้ท่านทั้งสองได้พัก แต่การที่เธอและน้องสะใภ้อยู่บ้านนั้นไม่ใช่ไม่เหนื่อย เพราะต้องทำงานบ้านกันเอง อีกทั้งยังต้องดูแลลูก นี่ยังไม่รวมกับต้องเก็บกวาดในสิ่งที่น้องสามีทำรกอีกนะ
“ฉันคิดว่าเราปล่อยไปเถอะ อย่างน้อยตอนที่คนจากบ้านใหญ่มาแย่งของบ้านรอง ฉันเชื่อว่าอ้ายเหม่ยยังคอยปกป้องไว้ได้ ส่วนเรื่องที่เธอทำสกปรก เอาอย่างนี้สิ ฉันมีความคิดที่ดี พวกเราก็ช่วยกับทำถังขยะดีไหม แล้วเอาไปให้อ้ายเหม่ยวางไว้ข้างตัว เวลากินอะไรจะได้ทิ้งลงถังขยะ” ฟางเสี่ยวหรงไม่อยากให้แม่สามีต้องคิดมาก กลัวว่าท่านจะคิดว่าสะใภ้เช่นพวกเธอนั้นรังเกียจน้องสามี แต่เหมือนนึกอะไรได้ เธอจึงเสนอเรื่องถังขยะขึ้นมา
“เอาแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน หวังว่าเธอจะยอมทิ้งของลงถังขยะนะ” จางอิงพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
เมื่อสะใภ้ทั้งสองของบ้านรองได้ปรึกษากันเรียบร้อยแล้วเธอทั้งสองก็รวมเงินกันสามเหมาแล้วไปหาซื้อถังขยะจากคนสานตะกร้ามา แล้วนำมายื่นให้กับเว่ยอ้ายเหม่ย ซึ่งตัวของเด็กสาวรับมาแต่โดยดีแถมยังยอมทำตามที่พี่สะใภ้ทั้งสองบอกให้ทิ้งขยะลงถังอย่างว่าง่าย
“เห็นไหมพี่สะใภ้ อ้ายเหม่ยก็ไม่ได้เลวร้ายถึงขนาดนั้น” ฟางเสี่ยวหรงเอ่ยขึ้นมาอย่างดีใจเมื่อน้องสามียินยอมที่จะทิ้งขยะลงถัง
ความจริงแล้วหากพูดหรือบอกกันดี ๆ เว่ยอ้ายเหม่ยก็พร้อมและยินยอมที่จะทำตาม ถึงแม้ว่าเด็กสาวจะขี้เกียจ แต่ก็รู้อยู่ว่าอะไรควร อะไรทำไม่ควรทำ ส่วนเรื่องของความร้ายกาจนั้น เธอทำเพื่อความอยู่รอดของตัวเองและครอบครัว ไม่ใช่ว่าจะร้ายกาจอย่างไม่มีเหตุผลเสียหน่อย ส่วนหลานทั้งสองนั้นถ้าหากไม่ได้ทำเรื่องไม่ดีหรือว่าซุกซน เธอก็ไม่ได้ดุด่า เพียงแต่ว่าหากเธอดุด่าขึ้นมาแล้วมันน่ากลัวก็เท่านั้นเอง
วันต่อมา...
จู่ ๆ ก็มีเสียงของผู้หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งมายืนโวยวายเสียงดังอยู่หน้าบ้าน
“อ้ายเหม่ย อยู่บ้านไหม ออกมาเดี๋ยวนี้นะ”
วันนี้เว่ยอ้ายเหม่ยอยู่บ้านคนเดียว พ่อกับแม่เข้าไปหาของในป่า พี่ชายทั้งสองก็ไปทำงานที่คอมมูน ส่วนพี่สะใภ้ทั้งสองนั้นพาลูกไปโรงพยาบาลในเมือง เด็กสาวที่กำลังนอนตีพุงแทะเมล็ดฟักทองอยู่ในบ้านอย่างสบายอารมณ์ก็ลุกขึ้นมาอย่างเหนื่อยหน่าย เมื่อได้ยินเสียงคนมาเรียกพร้อมกับบ่นขึ้นมาอย่างไม่พอใจ
“หืม...ไอ้พวกบ้านใหญ่มาอีกแล้วเหรอ คราวนี้คงคิดจะมาแย่งของอีกแล้วละสิ เชอะ ไม่มีทางเสียหรอก”
แค่ได้ยินเสียงประโยคแรกเด็กสาวก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นเสียงของนางหวังหลินภรรยาของลุงใหญ่ เหตุผลที่พวกบ้านใหญ่มาที่บ้านรองมีอยู่ไม่กี่อย่างหรอก หนึ่งคือมาเอาของ สองมาเอาเงิน สามมาเพราะต้องการหาเรื่องรังแกบ้านรอง เพราะฉะนั้นแล้วครั้งนี้เธอจะไม่ยอมให้ป้าสะใภ้ได้อะไรไปเด็ดขาด ถ้าอยากจะลองดีก็เข้ามา
“นังอ้ายเหม่ย ฉันบอกให้แกออกมา ไม่ได้ยินหรือไง ฉันตะโกนจนปากจะฉีกอยู่แล้วนะ” นางหวังหลินพูดอย่างโมโห หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงด้วยความโกรธ
เว่ยอ้ายเหม่ยเดินออกมาที่ประตูหน้าบ้านก็เห็นนางหวังหลินกับเว่ยอวิ๋นรุ่ยยืนอยู่หน้าบ้าน จึงสวนกลับไปอย่างเจ็บแสบว่า “แล้วจะตะโกนให้ปากฉีกทำไมล่ะ กลัวคนเขาไม่รู้ว่ามีปากหรือไง หนวกหูจะแย่”
ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าการพูดจาแบบนี้จะทำให้อีกฝ่ายโกรธจนเลือดขึ้นหน้า แต่เพราะเด็กสาวตั้งใจที่จะยั่วโมโหไปแบบนั้น เผื่อว่าไม่แน่ป้าสะใภ้จะโกรธจนเส้นเลือดแตกตายหรือไม่ก็พิการไปเลยยิ่งดี
“นังเด็กสามหาว ใครสั่งใครสอนให้หล่อนพูดจาแบบนี้กับผู้ใหญ่ นังเด็กนิสัยไม่ดี” นางหวังหลินพูดเสียงสั่นด้วยความโมโหที่แทบจะจุกอกแล้วตอนนี้
เว่ยอ้ายเหม่ยเลือกที่จะไม่ตอบอะไร เพียงแต่ยืนลอยหน้าลอยตาอยู่ที่หน้าประตูทำเป็นไม่สนใจสองแม่ลูกนั่น พร้อมกับคิดที่จะยืนขวางประตูอยู่อย่างนี้จนกว่าอีกฝ่ายจะกลับไป เพราะหากว่าคนบ้านใหญ่บุกเข้ามาเธอจะได้ต้านไว้ได้อีกทั้งยังโต้ตอบกลับอย่างไม่รู้สึกผิด แต่ทว่ายืนรออยู่ตั้งนานแล้วก็ไม่เห็นว่าสองแม่ลูกนั้นมีทีท่าที่จะเข้ามาในบ้านเลย
“มากันทำไม” เว่ยอ้ายเหม่ยถามอย่างไม่มีหางเสียง อีกทั้งน้ำเสียงที่พูดนั้นดูจะห้วนไม่สมกับคนที่มีความสัมพันธ์ในครอบครัวเดียวกัน แม้ว่าจะไม่อยากคุยด้วยสักเท่าไหร่ แต่อย่างไรก็ต้องถามเพื่อที่จะรู้จุดประสงค์การมาของสองคนนี้
“เมื่อวานหล่อนทำอะไรไว้ล่ะ ฉกชิงของอวิ๋นรุ่ยไปก็รีบเอามาคืนเดี๋ยวนี้นะ” นางหวังหลินพูดพร้อมชี้หน้าหลานสาวของสามีอย่างโมโห
เว่ยอ้ายเหม่ยที่ไม่รู้เรื่องเลยว่าใครเอาของใครไปก็ได้แต่ทำหน้าตาสงสัยเล็กน้อย แต่ตอบกลับอย่างยียวนตามนิสัยของตนเอง “ใครเอาของของลูกป้าไป ป้าก็ไปตามเอากับคนนั้นสิ มาเอาที่ฉันทำไมกัน ฉันไม่ใช่คนที่มีนิสัยชอบฉกชิงเอาของของคนอื่นอย่างใครบางคนหรอกนะ”
เมื่อวานนี้เธออยู่ที่บ้านทั้งวันและไม่ได้ออกไปไหนเลยแม้แต่ก้าวเดียว แล้วทำไมจู่ ๆ ผู้เป็นป้าสะใภ้กลับพูดว่า เมื่อวานเธอเอาของของเว่ยอวิ๋นรุ่ยไปล่ะ แบบนี้มันเป็นการใส่ร้ายกันชัด ๆ อีกอย่างเธอไม่ได้เจอญาติผู้พี่คนนี้มาตั้งเกือบครึ่งเดือนแล้ว จะไปเอาของอย่างที่ถูกกล่าวหามาได้ยังไง
“นี่หล่อนกำลังด่าฉันอยู่เหรอ” นางหวังหลินแทบเต้นเมื่อได้ยินสิ่งที่เด็กสาวตอบกลับมา
“ฉันไม่ได้เอ่ยชื่อใคร ใครอยากรับก็รับไป แล้วป้าสะใภ้ ป้าอย่ามาใส่ร้ายฉันแบบไม่มีหลักฐานหรือพยานนะ นี่คงฟังความข้างเดียวจากลูกสาวตัวเองแล้วมาโวยวายใส่ฉันล่ะสิ ถามหน่อยคิดได้ยังไงว่าฉันจะไปทำอย่างนั้น หรือถ้าไม่เชื่อก็ลองไปถามชาวบ้านดูสิว่าอ้ายเหม่ยคนนี้ได้ก้าวขาออกจากบ้านหรือไม่ อีกอย่างนะป้า เมื่อวานฉันอยู่บ้านทั้งวันไม่ได้ออกไหนเลย แล้วก็ไม่ได้เจอกับอวิ๋นรุ่ยด้วย แล้วจะไปเอาของของลูกสาวป้ามาได้ยังไง แล้วของที่พูดถึงนี่คืออะไร ฉันยังไม่รู้เลย”
เว่ยอ้ายเหม่ยปฏิเสธทันทีเพราะรู้ดีว่าตนเองนั้นไม่ได้ทำอย่างที่ถูกกล่าวหา แถมเธอยังแจกแจงรายละเอียดยาวเหยียดให้นางหวังหลินฟัง