นอกจากเว่ยอ้ายเหม่ยจะเป็นคนขี้เกียจแล้ว เด็กสาวก็ยังไม่พอใจในสิ่งที่ตัวเองมีอีกด้วย เพราะเธอมักจะตัดพ้อว่าครอบครัวของตนเองนั้นไม่เหมือนบ้านใหญ่ อีกทั้งยังมีเงินน้อยนิดแทบจะไม่พอใช้จ่าย แล้วปู่กับย่าก็มาลำเอียงอีก เพราะมีอะไรก็เอาให้บ้านใหญ่ไปหมด
ในขณะที่เด็กสาวกำลังเอนกายอย่างสบายใจ ทว่าสายตากลับเหลือบไปเห็นใครบางคนเข้า จึงรีบวิ่งกลับบ้านทันที
ระหว่างทางกลับบ้าน เว่ยอ้ายเหมยเห็นว่าพ่อและคนอื่นในครอบครัวกำลังเดินกลับบ้านเช่นกัน จึงรีบเดินเข้าไปหา ก่อนจะรีบฟ้องในสิ่งที่ตนเองเห็น “พ่อ...พวกบ้านใหญ่มันมาขนเอาข้าวของพวกเราอีกแล้ว”
“ให้เขาเอาไปเถอะ เห็นว่าข้าวที่บ้านใหญ่ไม่พอ พวกเขาอยู่กันหลายคน” เว่ยเฉียนตอบกลับลูกสาว คล้ายกับว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องปกติสำหรับเขาเสียแล้ว
“พ่อพูดแบบนี้ไม่ได้หรอกนะ พ่อคิดว่าบ้านของพวกเราคนน้อยหรือไง ลุงใหญ่ขนไปตั้งหลายกระสอบขนาดนี้ แล้วพวกเราจะมีข้าวกินจนถึงวันที่ทางการจะแจกข้าวรอบต่อไปไหม” ทันทีที่ได้คำตอบของผู้เป็นพ่อเด็กสาวจึงโวยวายออกมาอย่างไม่ยินยอม
เวลานี้เด็กสาวไม่พอใจเป็นอย่างมากที่พ่อของเธอยอมบ้านใหญ่ไปเสียทุกอย่าง จึงพูดต่อว่าออกไปอีก “วันนี้มาเอาข้าว ก่อนหน้านี้ก็มาเอาเนื้อมาเอาผักที่หาได้ แล้วอย่างนี้จะให้บ้านรองกินอะไร เงินที่ทำงานหามาได้ก็ต้องไปซื้อข้าวซื้อของจากตลาดมืดมา แถมราคาก็แพงแสนแพง อย่างนี้จะไปลืมตาอ้าปากได้อย่างไรกัน บ้านรองของเรานั้นยากจนแสนเข็ญจนแทบจะไม่มีอะไรเหลือแล้ว เพราะแม้จะแยกบ้านออกมาแล้วแต่ก็ยังโดนบ้านใหญ่เอาเปรียบอยู่แบบนี้ ทั้งชอบมาแย่งอาหารและเงินไปจนหมด ทุกอย่างที่มันเป็นอย่างนี้ ก็เพียงเพราะคำว่ากตัญญูคำเดียว แบบนี้มันยุติธรรมแล้วเหรอ” เธอพูดออกมาอย่างอัดอั้นตันใจ
เว่ยเฉียนไม่ตอบ เขาได้แต่ถอนหายใจเบา ๆ ออกมาอย่างหมดหนทาง เพราะมันก็จริงอย่างที่ลูกสาวพูดออกมา ทั้งหมดมันก็เพราะถูกคำว่ากตัญญูค้ำคอไว้จริงๆ
“ไม่รู้ล่ะ คราวหน้าฉันจะไม่ให้พวกบ้านใหญ่มาเอาอะไรจากบ้านเราไปอีก จะนั่งเฝ้านอนเฝ้าอยู่หน้าบ้านทุกวัน ถ้าของกินพวกเขาไม่พอก็ให้ไปหาซื้อเอาเองบ้างสิ ไม่ใช่มาหยิบเอาของคนอื่นแบบนี้” เว่ยอ้ายเหม่ยประกาศกร้าวเสียงดังอย่างไม่กลัวว่าใครจะมาได้ยิน ได้ยินสิดีจะได้รู้ว่าเธอไม่พอใจที่บ้านใหญ่ทำแบบนี้
“อ้ายเหม่ย” ทั้งพ่อ แม่ และพี่สะใภ้ทั้งสองเมื่อเห็นว่าเว่ยอ้ายเหม่ยเสนอตัวที่จะนั่งเฝ้าของก็ถึงกับตกตะลึงพรึงพรืดจนต้องร้องเรียกชื่อเธอออกมาพร้อมกัน เพราะไม่คิดว่าเด็กสาวผู้ขี้เกียจสันหลังยาวของบ้านจะมีความคิดแบบนี้ขึ้นมา ทั้งสี่ต่างก็มองหน้ากันไปมาอย่างุนงง
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา เว่ยอ้ายเหม่ยก็ไม่ไปที่แม่น้ำอีกเลย แต่กลับมานั่ง ๆ นอน ๆ กินขนมอยู่ที่บ้านรองเว่ยแทน และถึงแม้ว่าจะอยู่บ้านก็จริง แต่เธอก็ยังไม่ช่วยทำงานบ้านตามเคย เด็กสาวบอกกับทุกคนว่าจะขอทำหน้าที่เฝ้าของอย่างเดียวเท่านั้น เพราะฉะนั้นงานอย่างอื่นห้ามใช้เธอโดยเด็ดขาด เว่ยอ้ายเหม่ยคนนี้จะไม่ทำเพราะมันเหนื่อยเกินไป
อีกอย่าง ตัวของเว่ยอ้ายเหม่ยไม่ค่อยถูกกับญาติผู้พี่สายหลักสักเท่าไร นั่นเป็นเพราะว่าญาติผู้พี่มักจะมาแย่งของของเธอไปเสมอ อย่างเมื่อตอนยังเด็ก เธอชอบไปเก็บผลไม้ป่าในป่าด้านหลังหมู่บ้าน พอกลับมาถึงบ้าน ญาติผู้พี่ของเธอก็จะมาแย่งเอาผลไม้ป่าที่เธอเก็บมาไปจนหมด ตอนนั้นเธอยังตัวเล็กจึงสู้ไม่ได้ แต่ว่าเวลานี้เธอโตขึ้นแล้ว จึงไม่ยอมให้ญาติผู้พี่มาทำร้ายได้ง่าย ๆ อีก
ความจริงแล้วเด็กสาวไม่อยากจะเป็นคนร้ายกาจนักหรอก แต่เพราะเธอกับครอบครัวถูกบ้านใหญ่เอาเปรียบมาตลอดตั้งแต่ตอนที่เริ่มจำความได้ จะบอกว่าถูกเอาเปรียบจนถึงขั้นต้องแยกบ้านเลยก็ว่าได้ แต่นี่ขนาดแยกบ้านออกมาแล้ว บ้านใหญ่ก็ยังตามมารังควานอีก เธอจึงจำเป็นต้องร้ายตอบเพื่อต่อสู้กับคนนิสัยแย่ ๆ อย่างบ้านใหญ่อย่างไรล่ะ
หลายวันต่อมา...
วันนี้พ่อกับแม่ไม่อยู่บ้านเนื่องจากทั้งสองไปทำงานในคอมมูน พี่ชายสองคนก็เข้าไปธุระในเมืองให้หัวหน้าคอมมูน มีแต่เธอกับพี่สะใภ้ทั้งสองรวมถึงหลาน ๆ ที่ได้อยู่เฝ้าบ้าน ซึ่งตัวของเว่ยอ้ายเหม่ยเองก็ยังคงทำหน้าที่เฝ้าของเนื่องจากกลัวว่าบ้านลุงใหญ่จะมาเอาของไปอีก
แต่แล้วเวลาเกือบเที่ยง ใครจะคิดกันละว่าญาติผู้พี่ดันมาที่บ้านแล้วบอกกับพี่สะใภ้ใหญ่ว่า ลุงใหญ่นั้นให้มาเอาตั๋วสำหรับซื้อของใช้ในบ้าน เนื่องจากว่าตอนนี้บ้านใหญ่จะไปร้านค้าสวัสดิการเลยต้องมาเอาจากบ้านรอง
ส่วนสะใภ้ใหญ่นั้นก็เข้าใจว่าครอบครัวของลุงใหญ่จะเอาตั๋วไปและจะไปซื้อของใช้มาให้จึงกำลังจะไปหยิบตั๋ว แต่พอเว่ยอ้ายเหม่ยรู้เรื่องเข้าก็รีบห้ามพี่สะใภ้ใหญ่ของตนไว้ทันที แล้วบอกว่าคนพวกนี้โกหกเพราะจะเอาตั๋วไปใช้เองต่างหากล่ะ
หลังจากที่บอกพี่สะใภ้เสร็จแล้ว เว่ยอ้ายเหม่ยจึงรีบวิ่งออกมาหน้าบ้านเพื่อไล่ให้ญาติผู้พี่กลับไป
“อวิ๋ยรุ่ย!! กล้าดีนักนะที่จะมาหลอกเอาตั๋วจากพี่สะใภ้ฉัน เธอรีบกลับไปซะก่อนที่อ้ายเหม่ยคนนี้จะมีน้ำโห ตั๋วนี้เป็นของบ้านฉัน เธอไม่มีสิทธิ์มาเอาไป ถ้าอยากได้ของก็ไปหาซื้อในตลาดมืดเอาเองสิ” เว่ยอ้ายเหม่ยตวาดเสียงดัง เด็กสาวไม่คิดจะเกรงกลัวอีกฝ่าย และไม่สนใจด้วยว่าใครจะมาได้ยินหรือเปล่า
“นี่หล่อนกล้าขวางฉันเหรอ ได้...ฉันจะสั่งสอนให้ดูว่าหล่อนมันก็แค่เด็กขี้เกียจเท่านั้น” อวิ๋นรุ่ยตอบกลับอย่างไม่พอใจโถม ก่อนจะพุ่งตัวเข้ามาเพื่อหวังจะทำร้ายเว่ยอ้ายเหม่ยทันที
แต่ทว่าเว่ยอ้ายเหม่ยนั้นกลับเร็วกว่า พอเว่ยอวิ๋นรุ่ยวิ่งเข้ามาที่ตั้งรับอยู่แล้วก็ถีบเข้าไปที่ท้องของอีกฝ่ายเต็มแรง ทำเอาถึงญาติผู้พี่คนนี้ถึงกับจุกจนตัวงอแล้วลงไปนอนกองกับพื้น แถมยังร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวด
“หน็อย!! อย่าคิดจะรังแกฉันได้เหมือนเมื่อก่อนสิ ฉันไม่ยอมหรอกนะ ในเมื่อมีมือมีเท้าเหมือนกัน อ้อ...แล้วไปบอกคนบ้านใหญ่ด้วยว่าอย่ามาเอาเปรียบกันอีก ถ้ามาอีกละก็ฉันจะสู้สุดใจ ตายเป็นตายไม่เชื่อก็ลองดู” เธอพูดพร้อมชี้นิ้วไล่ให้อีกฝ่ายออกจากรีบบ้านรองเว่ยไปเสีย
เมื่อเห็นว่าเว่ยอ้ายเหม่ยเอาจริง เว่ยอวิ๋นรุ่ยจึงรีบลุกขึ้นแล้ววิ่งออกไปทั้งน้ำตา
เว่ยอ้ายเหม่ยไม่เพียงแต่ร้ายกาจกับคนบ้านใหญ่เท่านั้น แม้แต่กับคนในบ้านรองเองก็กลายเป็นว่า เธอก็ไม่มีความอ่อนโยนให้กับคนในครอบครัวเลย แถมพูดจากับทุกคนด้วยน้ำเสียงที่แข็งกระด้างไม่อ่อนโยนเหมือนลูกสาวบ้านอื่น
ส่วนกับหลานชายและหลานสาวนั้นยิ่งแล้วใหญ่ เด็กสาวไม่แม้แต่จะคุยกับดีพวกเขา หากพวกเขาซนหรือว่าทำอะไรที่ดูขัดตาเธอก็จะด่าเสียงดังจนพวกเขากลัว กลายเป็นว่าหลานทั้งสองไม่กล้าแม้แต่จะเข้าใกล้เธอเสียด้วยซ้ำ
พฤติกรรมขี้เกียจและร้ายกาจของเว่ยอ้ายเหม่ยนั้นโด่งดังไปทั่ว ยิ่งบ้านใหญ่ไม่ชอบเธออยู่แล้ว ก็ยิ่งสุมไฟให้ข่าวนี้กระพือออกไปอีก จนชาวบ้านต่างก็เอือมระอา เพราะบางครั้งเธอก็ร้ายกาจใส่ชาวบ้านด้วยเช่นกัน หากชาวบ้านคนนั้นเกิดคิดจะทำอะไรไม่ดีกับบ้านรองเว่ยของเธอ
ซึ่งเรื่องนี้ชาวบ้านแทบทุกครัวเรือนต่างพูดกันเป็นเสียงเดียวว่า จะไม่ให้ลูกชายแต่งเว่ยอ้ายเหม่ยคนนี้เข้ามาเป็นภรรยาเด็ดขาด