“งานอะไร ขายตัวเหรอ ยี้ไม่เอาหรอก” เธอทำหน้าเหยเกพร้อมย่นจมูกขึ้นขณะงมหาเศษเหรียญในกระเป๋าคาดเอวมาทอนให้ลูกค้าที่เอาแต่มองรูปร่างหน้าตาเธออยู่นั่น
“นี่ หาว่าฉันเป็นแม่เล้าเหรอยะ แต่ อืม ไม่ใช่ก็ใกล้เคียงอ่ะนะ แต่ฉันจะบอกหล่อนไว้เลยว่าถ้าหล่อนทำแล้วจะติดใจเพราะคนที่ฉันแนะนำงานนี้ให้ได้ดีกันทุกคนนะยะ มีเงินเก็บเป็นแสนเป็นล้านเชียว” เมื่อคนฟังเงยหน้าชะงักอ้าปากค้างดวงตาเป็นประกายเขาจึงเริ่มขยับเข้าใกล้เพื่อรุกแม่ค้าปากมอมแต่หน้าสวยคนนี้ต่อ
“ไง สนใจล่ะสิ”
“ใช่ สนใจ สนใจมาก” วิลายัดเงินเป็นแบงก์ยี่สิบแทนเหรียญ “ฉันลดให้ แต่ต้องแลกกับอะไรอย่างนึงนะ เพราะเกิดมาฉันไม่เคยเจอผู้ชายคนไหนที่ทำให้ฉันตาค้างได้ขนาดนี้เลย”
“หืม อะไรนะชะนี สรุปคือหล่อนไม่ได้ฟังที่ฉันเล่า?”
“เถอะน่า เร็วๆช่วยหน่อยฉันแถมเสื้อกล้ามให้ตัวนึงเลยเอาถ้าเธอขอเบอร์หรือไลน์คนนั้นได้”
“แหม ชะนีปากตลาดแต่มาตายน้ำตื้นเพราะผู้หล่อ” เธอยืนเท้าสะเอวพลางบ่นแต่ในใจรู้สึกอยากได้เสื้อกล้ามตัวนั้น “ไหนคนไหน?”
“นั่นไง เสื้อขาวผมสกินเฮดเร็วเข้า!”
พอเดินไปได้สองก้าวจึงหยุดถาม “เดี๋ยวนะ เราสนิทกันตอนไหน?”
“โธ่ เร็วๆเข้าให้ชุดเดรสเลยเอา”
ภควรรณวิลาชักกลัวว่าหนุ่มหล่อที่เดินมากับกลุ่มเพื่อนคนนั้นจะผ่านหน้าร้านไปเสียก่อนเธอจึงผลักหลังลูกค้าหน้าหยกไปหา ร่างเพรียวผอมทอดกายลงนั่งบนเก้าอี้พลาสติกหน้าร้านพลางส่งยิ้มหวานไปให้เขาที่หันมามองมาตามการชี้นิ้ว ดวงตาสบมองเธอเข้าพอดี เธอเขินจนรีบวิ่งไปหลบหลังร้านรอจนกว่าหนุ่มคนนั้นเดินไปไกล
และแล้วก็ถึงเวลาที่ต้องยื่นหมูยื่นแมวกัน
“เค้าชื่อ?”
“ชื่อโอห์ม”
“อะนี่เสื้อกล้าม” เธอยื่นเสื้อกล้ามไปให้หลังทราบชื่อหนุ่มรูปหล่อคนนั้น “เอาเบอร์มาดิ”
“ไหนว่าให้เดรส?”
“เออ” เธอจึงจำใจหยิบเดรสให้หนึ่งตัวด้วยความเสียดาย “แต่ไหนล่ะเบอร์?”
“อ่ะนี่” อีกฝ่ายจึงยื่นช็อตโน้ตให้
“เดี๋ยวนะ นี่เดรสทรงอะไรของเธอเนี่ย หลุดQCเหรอยะ?!” ลูกค้าหน้าหยกหยิบชุดที่เหมือนมองไม่เห็นเป็นรูปเป็นทรงไม่รู้ช่วงแหว่งๆจะยัดหัวหรือยัดแขนใส่กันแน่
“โอ๊ยหล่อนอย่าโง่ นี่ชุดแขนเดียวอีกข้างเปิดโชว์ไหล่แล้วก็โชว์หลังด้วย แบบที่ซินดี้ใส่นี่ไงเค้าฮิตกันจะตาย” เธอดึงภาพขนาดห้านิ้วที่เป็นรูปนางแบบชุดซึ่งเป็นดาราดังสวมใส่
“ใส่แล้วสวยเหมือนซินดี้มั้ยนะ”
“สวย” เธอลากเสียงยาว
“โอเคตอแหลดี ถือว่าเข้ากันได้ เอาล่ะ มา ฉันช่วยเธอเก็บร้านนะนังแม่ค้าปากตลาด ฉันชื่อดิว หรือใครๆชอบเรียกว่าดิวลดา เธอล่ะ?”
“อืม ฉันชื่อวิลา”
แล้วมิตรภาพความเป็นเพื่อนก็เริ่มต้นขึ้น ทั้งที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนแต่เหมือนมีเคมีบางอย่างที่ทำให้ทั้งสองดูสนิทสนมกัน อาจจะเพราะนิสัยที่ดูห้าวและไม่กลัวใครของภควรรณวิลากับนิสัยเฮฮาช่างเจรจาเข้ากับคนได้ง่ายของอีกคนด้วยกระมังถึงได้เข้ากันได้ดีเป็นปี่เป็นขลุ่ย
“นี่ เอางี้ไหม ฉันพูดตรงๆเลยนะ เธออยากเป็นพริตตี้หรือสายเอ็นฯมั้ย?”
ดิวลดาสบโอกาสถามระหว่างที่ทั้งสองแบกถุงกระสอบลายทางเจ็ดสีที่ใส่เสื้อผ้า
“ไม่หรอก เพราะฉันจะไปทำงานเสิร์ฟ แต่ถ้างานที่เธอเสนอเป็นงานที่สบายได้เงินดีกว่าก็ค่อยว่ากัน”
“งานดีกว่า สบายกว่า และได้เยอะกว่าสองเท่าย่ะชะนี ฉันไม่อยากจะคุยหรอกนะ เธอต้องไปเห็นด้วยตาก่อน ฉันไม่มีส่วนได้ส่วนเสียอะไรแต่แค่เสียดายคนหุ่นดีๆมีต้นทุนใบหน้าที่ดีแบบไม่ต้องลงทุนศัลยกรรมเลยแบบเธอน่ะ สวยเลิศขนาดนี้ก็ใช้มันให้เกิดประโยชน์สิยะ”
“เออๆ”
เธอตอบพลางลอบชำเลืองมองตั้งแต่หัวจรดเท้าของเพื่อนใหม่อย่างระแวงในใจ เผื่อว่าจะมีอาวุธร้ายจะได้รีบควักมีดพกขนาดเล็กในกระเป๋ามาสู้ แต่ดูๆแล้วหล่อนคนนี้คงไม่โง่มาคิดปล้นคนอย่างเธอหรอก เพราะสังเกตจากการที่ผู้คนทักเธอตลอดทางซอยเล็กๆที่เต็มไปด้วยหอพักตึกน้อยใหญ่นั้นทำให้รู้ว่าแม่ดิวลดาคนนี้เป็นที่รู้จักมากมาย แอบมองยี่ห้อรองเท้าแตะ นาฬิกาหรือแม้แต่กลิ่นน้ำหอมก็ดูท่าว่าจะมีรสนิยมสูงใช้ของแพงเงินในกระเป๋าคงหนากว่าเธอหลายเท่า เปล่าประโยชน์ที่จะมาเสียเวลากับเธอ ถ้าคิดอีกทางในเรื่องอนาจาร ดูแล้วยิ่งเป็นไปได้ยาก ก็หล่อนคนนี้ท่าเดินหวานกว่าเธออีก และแน่นอน หล่อนชอบผู้ชาย
“โอ๊ยแล้วเมื่อไหร่จะถึงเนี่ย หอพักหล่อนอีกไกลไหม”
“ใกล้ถึงแล้วน่า”
“ว้าย ห้องพัดลมเนี่ยนะ อย่าหาว่าฉันบูลี่เลยนะ เธอทำงานเดือนนึงได้ติดแอร์ใหม่หรือเผลอๆได้เช่าคอนโดฯเลยนะยะ”
ดิวลดาวิจารณ์สภาพห้องพักของเธอตามความจริง อาจจะฟังดูแรงไปบ้างแต่เธอคิดว่าการพูดความจริงย่อมดีกว่าปิดปากเงียบ ทำแบบนั้นมันคงอึดอัดจะตายชัก
สายธารสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงผู้ชายดังมาก่อนที่ตัวจะเข้ามาในห้องด้วยซ้ำ เธอจึงรีบลุกจากเก้าอี้และเดินไปสะกิดเพื่อนสาว
“นี่ใครเหรอ?
“อ๋อ โทษทีนะฉันลืมโทรมาบอกล่วงหน้าว่าจะมีเพื่อนมาด้วย นี่ดิว เธอพอจำได้ไหมคนที่เก็กแมนประกวดเดือนคณะปีที่แล้วไงแต่ตกรอบแรก ไม่ต้องตกใจนะนี่ไม่ใช่ผู้ชายจริงๆ เอ๊ย ฉันพูดผิด นี่ไม่ใช่ชายแท้”
“แต่เป็นคนแท้ๆเหมือนกันนี่แหละจ๊ะ” ดิวลดาโผล่หน้ามาในวงสนทนา
“ส่วนนี่ สายธารรูมเมทฉัน”
“อืมฮื้ม ยินดีที่ได้รู้จักจ๊ะ เอางี้นะชะนี ฉันว่าเธอต้องรีบแต่งตัวซะ”
“ไปไหนอ่ะแก” สายธารสะกิดเพื่อนพลางถามด้วยความเป็นห่วงอีกครั้ง
“พาเพื่อนเธอไปขายตัวมั้งยะ ดูทำหน้าสิ เพื่อนหล่อนน่ะแก่แดดน่ากลัวกว่าฉันอีกไม่ต้องห่วงมันหรอก ห่วงตัวเองก่อนเถอะ”
“ห่วงฉันทำไม?” คำถามของสายธารนั้นไม่ได้มีความโทสะ เธอถามด้วยสีหน้างุนงงตาใสซื่อแต่มันคงทำให้อีกฝั่งคิดว่าเธอยียวน
“โอ๊ย พอๆทั้งสองคนหยุด เอาล่ะสายธาร ฉันว่าจะไปดูลาดเลางานใหม่ในผับนะ ไม่เป็นไรฉันเก่งดูแลตัวเองได้สบายมากเดี๋ยวยังไงฉันจะโทรหา ส่วนเธอนังดิวลดา นั่งรอฉันเงียบๆห้ามปากมากเพราะเพื่อนฉันจะอ่านหนังสือ”
แต่กว่าที่ภควรรณวิลาจะแต่งตัวสวยถูกใจเธอก็สวมไปกว่าห้าชุด จนกระทั่งชุดสุดท้ายแม่ดิวลดาเป็นฝ่ายเลือกหาในตู้เสื้อผ้าให้เธอสวมใส่เอง เธอไปที่ผับหรูหราแห่งหนึ่งซึ่งมีการบริการหลายระดับชั้น
“บอกไว้ก่อนเลยนะว่าฉันพกตังค์มาแค่สองร้อย” เธอเอ่ยกระซิบย้ำเตือนอีกครั้งโดยไม่ยอมเสียเปรียบง่ายๆ
“เออ รู้แล้ว ไม่ต้องห่วงเลยนะนี่ถิ่นฉันย่ะ มากับฉันซะอย่างดีไม่ดีฉันและแกจะไม่ได้จ่ายแม้แต่บาทเดียว”
แล้วดิวลดาก็ไม่ทำให้เธอผิดหวังเมื่อเธอได้ดื่มฟรีตลอดคืนเพราะถูกลากพาไปรู้จักกับเพื่อนแทบทั่วทั้งผับโดยการแนะนำของนังดิวลดา
ช่วงเวลาผ่านไปกว่าสามเดือน ดิวลดาช่วยเปิดโลกทัศน์ใหม่ให้เธอรู้จักกับงานกลางคืนรายได้ดีและได้รู้จักกับเพื่อนใหม่นั่นคือ มิ้นท์ เฟย์ ทับทิม ลิลลี่ พวกหล่อนทั้งสี่คนนั้นสวยและหุ่นดีราวกับนางแบบแถมยังเรียนที่มหาลัยเอกชนชื่อดังอีกต่างหาก ฉายาของกลุ่มนี้คือแก๊งค์สวยสับไม่หลับใน แต่ดิวลดาแอบกระซิบบอกชื่อเก่าและเรื่องราวพอสังเขปของแต่ละคนให้เธอฟังว่า
“ชื่อเก่าอีมิ้นท์คือนิล เป็นดี้ที่เลิกกับผัวทอมวันละแปดรอบแต่ไม่เลิกจริงสักที ส่วนอีเฟย์มันชื่อส้ม อีนี่โสดและใช้เงินเก่งและสัจจะไม่มีอย่าเผลอให้มันยืมตังค์ง่ายๆ สาวทับทิมคนนั้นมันชื่อเขียว ดูเรียบร้อยพูดน้อยกว่าใครในกลุ่มมันเป็นเมียน้อยเค้ามาตั้งแต่อยู่ม.ปลายแล้ว ส่วนอีลิลลี่ชื่อเก่ามันคืออีรัตน์ มึงอย่าไปเผลอเล่าเรื่องอะไรให้มันฟังมากอีนี่มันขี้นินทาและปากพล่อยสุดและเคยแต่งงานแล้วตอนม.ต้น ตอนนี้มันโสดกับลูกติดอีกหนึ่ง”
ดิวลดาตะโกนใส่หูเธอแข่งกับเสียงเพลงดังในผับเธอแอบชำเลืองมองพวกหล่อนที่เต้นอยู่ไกลๆแล้วหันไปหัวเราะกับดิวลดาพร้อมวิ่งเข้าไปแจมกับแก๊งค์สวยสับออกลวดลายเต้นอย่างสนุกสุดเหวี่ยง
เธอไม่ค่อยจะมีเวลาได้พูดคุยกับสายธารเท่าไหร่ แต่ในขณะเดียวกันเองเธอก็เริ่มสนิทกับเพื่อนสายเอ็นฯกลุ่มนี้มากขึ้น ยิ่งมีรายได้มาก ก็ยิ่งตกเป็นทาสของกระแสสังคมและสินค้าใหม่ๆให้คอยวิ่งตามและอัพเดตตลอดเวลา เช่น สมาร์ทโฟนโลโก้รูปผลไม้โดนแทะเครื่องละหลายหมื่น กระเป๋า เสื้อผ้า รองเท้า และแอคเซสเซอรี่จากหลักร้อยก็ค่อยๆไต่ไปหลักพันจนกระทั่งแตะไปถึงหลักหมื่น โดยแรกๆเธอจะเหนื่อยสักหน่อยในการพยายามถีบตัวเองให้เป็นที่ยอมรับ แต่เพราะไม่ยอมน้อยหน้าไปกว่าพวกนั้นจึงรับงานเยอะยิ่งขึ้น
ผ่านไปหนึ่มเทอมการทำงานกลางคืนของเธอไปได้สวยพอๆกับเรื่องของหัวใจ ความรักระหว่างเธอ สาวนักศึกษาปีสองกับโอฬาร หรือ โอห์มเด็กหนุ่มชั้นมัธยมปีที่หกกำลังเบ่งบานและกระชุ่มกระชวยเป็นที่สุด ใครจะมองว่าเธอรักเด็กก็ช่างเถอะ เธอไม่สนและยึดคติที่ว่า ‘เด็กในวันนี้คือผู้ใหญ่ที่หล่อในวันหน้า’ แต่หารู้ไม่ว่าหายนะในรูปแบบของภาระกำลังบังเกิด
เงินที่หามาได้ก็ต้องเปย์เด็กหนุ่มตลอด ทั้งการดูหนัง เลี้ยงข้าว หนักไปอีกก็จเป็นพวกเสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า แทนที่เธอจะได้ใช้เงินที่ตนเองหามาโดยการรับงานเอ็นเตอร์เทนแขกจนขอบตาแทบจะกลายเป็นหมีแพนด้าเพราะนอนน้อยแต่ต้องฝืนร่างกายไปเรียนหนังสือให้ทันอีก ถ้าถามว่าเหนื่อยไหม เธอตอบเลยว่าเหนื่อย แต่มันคือความเหนื่อยที่เธอแสนจะสุขใจและเต็มใจ เธอชอบที่จะเห็นรอยยิ้มบาดใจของเขามากกว่า เรียกว่าแพ้ทางความหล่อ น่ารักและแสนจะขี้อ้อนของเขาเป็นที่สุด
ภาพที่สายธารเห็นแล้วรู้สึกอิจฉาอยู่บ่อยๆก็คือการที่เห็นคู่รักสาวนักศึกษากับเด็กม.ปลายนั่งคุยกระหนุงกระหนิงกันในห้อง เธออาจจะอึดอัดเล็กน้อยที่มีคนนอกเข้ามาแวะเวียนห้องพักบ่อยๆแต่พอนานๆเข้าก็เป็นความเคยชินไป เห็นแล้วก็พลอยดีใจที่เพื่อนมีความรักให้ยึดเหนี่ยว ดูน่ารักไปอีกแบบที่เพื่อนของเธอไม่เคยมีอะไรกับเด็กคนนี้เลย เธอไม่อยากจะเชื่อหรอกนะเพราะบุคลิกของภควรรณวิลาแบบมองผิวเผินนั้นช่างดูก๋ากั่นแต่ดันบริสุทธิ์จนน่าทึ่ง การสัมผัสกันของคู่รักคู่นี้อย่างมากก็แค่หอมแก้มและคลอเคลียกันดูหนังและเล่นเกมส์ในช่วงเย็น พอตกค่ำก็แยกย้ายเพราะภควรรณวิลาต้องรีบเตรียมตัวไปทำงานแล้ว
แต่วันนี้วันเสาร์คนโสดอย่างเธออาจจะรู้สึกระอาสักหน่อยเพราะโอฬารแฟนเด็กของเพื่อนเล่นเคาะประตูเข้ามาหาตั้งแต่เช้าแน่ะ
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“อือ มาแล้วๆเคาะรัวๆอยู่ได้”
“หวัดดีฮะ วันนี้ผมว่างว่าจะมาขอเบียดเบียนwifiเล่นเกมส์สักวัน”
“จ้า” เธอลากเสียงยาวออกจะประชดสักหน่อย
“แล้วพี่สาวของผมยังไม่ตื่นสินะ โทรหาไม่รับเลย” เขามักเรียกวิลาว่าพี่สาวจนติดปาก ร่างสูงโปร่งเดินตรงดิ่งไปที่เตียงนอนที่มีสาวสวยนอนคว่ำหน้าหลับเป็นตายเพราะเลิกงานเอาเกือบสว่าง
เขาหยิบหมอนหนึ่งใบขึ้นมาตีลงที่ก้น
ฟุ่บ
“ตื่นได้แล้วค้าบ”
“อื้อ”
“นี่ เหนื่อยไหมค้าบพี่สาว” ขาแทรกตัวขึ้นไปนั่งบนเตียงนอนใช้หมอนพิงหลังนั่งข้างๆคนที่หลับปุ๋ยอยู่
“ยืมมือถือเล่นเกมส์หน่อย”
“งืม” เธอพยักหน้าอนุญาต
ส่วนเขาก็ใช้มือถือเธอนั่งเล่นเกมส์อย่างเมามันส์
ภควรรณวิลาเอื้อมแขนควานหาเด็กหนุ่มเธอขยับศีรษะนอนหนุนตักเขาที่เอาแต่จ้องหน้าจอมือถือ
“บอกว่าอย่าดื่มเยอะเห็นไหมหมดสภาพเลยเนี่ย” เขาหยิกแก้มนุ่มและหันมาสนใจเกมส์ต่อ
ภควรรณวิลานอนยิ้มแก้มปริ เธอช่างมีความสุขเหลือเกิน
“พี่สาวผมขอยืมมือถือพี่ไปโรงเรียนสักวันดิ”
“หือ? ไม่เอา ถ้าตัวเองยืมไปแล้วพี่จะใช้อะไรล่ะ”
“ก็ของผมไง เปลี่ยนกันสักวันสองวันเถอะนะ นะ นะ”
“ชิ เครื่องละห้าพันจะเปลี่ยนกับเครื่องละสามหมื่น”
“ทำไม กลัวเห็นความลับในเครื่องล่ะสิ”
“เปล่าเสียหน่อย ถ้าพี่มีความลับคงไม่ตั้งค่าเพิ่มใบหน้าตัวเองเข้าใช้งานเครื่องด้วยหรอก” เธออธิบายเสียงงัวเงีย
“เชื่อได้เรอะ ดูสิ มีเบอร์แปลกโทรมาด้วย”
“หือ?” เธอผงกศีรษะขึ้นมองหน้าจอพลางมองสีหน้าบึ้งตึงของแฟนหนุ่ม
“รับสิ แล้วให้ผมได้ยินด้วย”
“โอเค” เธอรีบรับและเปิดเสียงลำโพงไว้
‘ตึกสีครีมห้าชั้นกลางซอยมีม้าหินอ่อนเก่าๆสองชุดตรงหน้าใช่มั้ยลูก? ตอนนี้พ่ออยู่หน้าหอพักเราแล้วนะลงมาหาพ่อหน่อย’
หัวใจเธอเต้นแรงประกอบกับสายธารที่หันขวับมองเธอด้วยความประหลาดใจเช่นกัน เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่พ่อเธอโทรมา
“พ่อรู้ได้ไงคะว่าหนูอยู่ที่นี่” เธอเอ่ยถามผู้พ่อด้วยท่าทีเก้กังเมื่อเงยขึ้นมองไปที่ระเบียงชั้นสามพบสายธารโผล่หน้าแอบมองด้วย ใช่ สายธารเธอดูตื่นเต้นและดีใจไปกับเธอเสมอ
“พ่อไปหาเราที่บ้านป้าน่ะ ทราบข่าวว่าป้าเสียแล้วพ่อก็ตกใจเหมือนกันและไม่มีใครส่งข่าวนี้เลย”
“มันฉุกละหุกค่ะหนูเลยไม่ได้บอก ถึงบอกพ่อก็คงไม่ว่างมาอยู่แล้ว”
“แล้วเพิ่งตื่นหรือเราฮื้ม ทำไมตื่นสายจัง”
“ก็วันนี้ไม่มีเรียนนี่คะ” เธออธิบายพลางขยี้เปลือกตาป้อยๆ ไม่พร้อมบอกหรอกน่าว่าทำงานกลางคืน
“แล้วได้เงินจากไหนใช้ฮื้ม”
“ก็ ป้าให้ไว้แต่ตอนนี้ใกล้หมดแล้วค่ะ”
เธอเริ่มยืนบิดตัวไปมาพร้อมเกาท้ายทอยขณะที่เหลือบมองพ่อกำลังควักกระเป๋าสตางค์ออกมา แต่พอเห็นภาพลูกแฝดของเขาสองคนในกระเป๋าสตางค์แล้วก็ต้องเบือนหน้าหนี กัดริมฝีปากแน่น มองไปที่รถปิกอัพสี่ประตูสีบลอนด์ที่พ่อขับมาที่ตรงท้ายกระบะมีลังสินค้าเต็มไปหมด แสดงว่าพ่อคงแอบมาหาเธอและใช้ข้ออ้างว่ามาซื้อของเข้าร้านกระมัง
พ่อโชคชัย สุวรรณมายา เป็นเถ้าแก่เปิดร้านขายของขนาดใหญ่ใจกลางอำเภอและบ้านท่านไม่ได้อยู่ห่างกันมากจนจะลำบากในการเดินทางหรอก พ่อแค่ไม่ได้สนใจเธอแล้วต่างหาก
“ป้าไม่อยู่แล้วลูกคงลำบาก ยังไงก็โทรมาขอพ่อได้นะ แล้วก็นี่ใช้อย่างประหยัดด้วย”
พ่อดึงมือเธอไปและยัดแบงก์สีเทาจำนวนแปดใบให้ เธอรับเอาไว้แล้วไหว้ย่อด้วยท่าทางแข็งกระด้าง
“ไม่เจอนานเกือบปีโตเป็นสาวแล้วนะลูกพ่อ อะไรดลใจให้ทำผมสีนี้ล่ะฮื้ม?” ผู้พ่อเพ่งมองผมสีบลอนด์ของลูกสาวอย่างแปลกใจ
“ก็แฟชั่นไง” เธอเอ่ยอย่างเคอะเขิน
“พ่อว่าสีดำก็น่ารักอยู่แล้วนะ” มือเอื้อมออกไปลูบศีรษะลูกเบาๆ “แต่แบบนี้ก็สวยไปอีกแบบ เอาล่ะพ่อต้องไปแล้ว ไว้จะแวะมาหาใหม่นะ ตั้งใจเรียนนะลูก”
“ค่ะพ่อ”
เป็นวินาทีที่เธอรู้สึกสุขจนล้นปรี่ แม้ว่าท่านจะไม่ได้อยู่คุยนานแต่เธอก็ยังรู้สึกมีความสุขและดีใจเหลือเกิน
ใบหน้าเรียวสวยเอนซบไหล่โอฬารพลางอมยิ้ม
“แหม พ่อให้เงินแล้วยิ้มทั้งวันเลยนะครับ”
“แน่นอน” เธอยักคิ้วขึ้นพลางคลอเคลียแฟนเด็กราวกับแมวน้อย
“อย่าเบียดนักสิ ผมแข็งขึ้นมาจะยุ่งนะ” เขากระซิบบอกพลางดึงผ้าห่มขึ้นปกคลุมถึงอกทั้งเธอและเขา มือซุกซนเอื้อมมาขยำอกอวบเธอแต่สายตาแอบเฝ้ามองสายธารที่กำลังก้มหน้าก้มตาทำรายงาน เมือ่สายธารหันมาเขาก็รีบดึงมือกลับ
“ฉันว่าจะออกไปซื้อของหน้าปากซอยพวกเธอเอาอะไรไหม?”
“ไม่คร้าบ ไปนานๆเลยนะ” เขาทำหน้าทะเล้นพร้อมพูดจามีเลศนัยจนสายธารทำหน้าเหม็นเบื่อ
“เชอะ”
เมื่ออยู่กันสองต่อสองแล้ว เด็กหนุ่มผู้นานๆทีจะเกิดอารมณ์กับหล่อนเริ่มควานมือลูบไล้สะเปะสะปะ อยากจะบอกว่าเขาก็ตื่นกลัวเหมือนกันเพราะมันจะเป็นครั้งแรกของเขา ส่วนเธอนั้นต่อให้อมพระมาพูดเขาก็ไม่เชื่อหรอกว่าเธอบริสุทธิ์ แต่เธอก็ยังเอาแต่โกหกหน้าตายอยู่ได้
“เอาจริงเหรอ” เธอทำหน้าหนักใจ
“ทำไมครับ นะๆๆ” เขาเอ่ยเสียงกระเง้ากระหงอดพร้อมค่อยๆสอดมือเข้าไปในกางเกงขาสั้นของเธอ
“งื้อ พี่จั๊กกะจี้” เธอดีดดิ้นพร้อมส่งเสียงหัวเราะ ยิ่งเขากำลังลูบวนชุดนั้นในบริเวณหนั่นเนินเนื้อแล้วค่อยๆแทรกนิ้วเข้าไปใต้ร่มผ้าที่เป็นด่านสุดท้าย
“หืม?” โอฬารขมวดคิ้ว พร้อมรีบดึงมือขึ้นมองมือที่แฉะของตัวเอง
“เลือด”
ทั้งสองอุทานโดยพร้อมกัน ประจำเดือนเธอมาขัดจังหวะอีกแล้ว
เขาทำหน้าเซ็งจัดพร้อมเดินหน้ามุ่ยจะออกไปจากห้อง
“โกรธพี่เหรอ” เธอรีบเข้าไปกอดเขาจากด้านหลัง
“เปล่า”
“เปล่าก็เปล่า แต่ห้ามไปมีอะไรกับใครน้า? สัญญาก่อน”
“อืม ปล่อยได้แล้วผมจะรีบกลับไปชักว่าว” เขาทำหน้ามุ่ย
“งั้น วันนี้พี่ให้มือถือไปใช้ หายโกรธยัง” เธอชูสมาร์ทโฟนขึ้นกวัดแกว่งไปมาจ่อใบหน้าหล่อเหลา
“เย้ รักพี่สาวที่สุด” เขารีบดึงมือถือยัดใส่กระเป๋ากางเกง พร้อมหอมแก้มเธอซ้ายขวาก่อนจากไปด้วยใบหน้าที่เปื้อนยิ้ม