“โอ๊ะโอ..”
การิมอุทานแล้วกรอกตามองบนทันทีเมื่อเพื่อนไม่ได้มาคนเดียวแต่ยังอุ้มลัยลาฮ์มายังชั้นล็อบบี้ สิ่งที่ตนเองคาดเดานั้นช่างแม่นเสียนี่กระไร สุดท้ายชารีฟก็กลับมาติดพันผู้หญิงคนนี้อีกจนได้
เขารีบเดินตามเพื่อนสนิทเข้าไปในลิฟต์ด้วยกันเพื่อขึ้นไปยังห้องพักที่เจ้าบ่าวจองไว้รองรับแขกที่มาร่วมงาน
“เกิดอะไรขึ้นทำไมถึงได้เป็นแบบนี้” เขาเอ่ยถามชารีฟ
“เดี๋ยวค่อยคุยกันในห้องฉัน”
ถึงจะใจร้อนอยากทราบเหตุผลมันตรงนี้ว่าทำไมเพื่อนจึงไม่รู้จักหลาบจำ ก็ต้อง “โอเค”
ระหว่างที่ชารีฟบรรจงวางเธอไว้บนโซฟา เขาหันหลังและเดินเอื่อยไปชงกาแฟดื่มสักหน่อยเพราะคิดว่าคืนนี้คงได้นั่งจับเข่าคุยกันยาว
การิมจิบกาแฟยังไม่ถึงครึ่งชารีฟก็เดินตรงมาทางเขาด้วยสีหน้าและท่าทางฉุนเฉียว
“เกิดอะไรขึ้น ทำไมนายถึงได้อุ้มพาเธอเข้ามาในสภาพนี้ แล้วเธอเต็มใจหรือเปล่า?”
“ก็ไม่ เธอเมาไม่รู้เรื่องฉันเลยลากคอมานี่ไง”
“เฮ้ย นายจะทำตามอำเภอใจไม่ได้นะชารีฟ” เขาเค้นเสียงขึ้นถามเพราะไม่เห็นด้วยสักเท่าไหร่
“แล้วถ้าเผื่อว่ามีคนเฝ้ารอเธอกลับบ้านอยู่ล่ะ?”
“ถ้าไม่ลากมาคิดว่าจะเกิดอะไรให้ทาย?” เขาโต้แย้งเสียงดังขึ้นตามอารมณ์ที่เดือดปุดเมื่อนึกถึงภาพที่เธอกำลังคลานเข่าไปหาเพื่อนของเขา
“แม่นี่น่ะเกือบจะขายตัวให้พวกนั้นแล้ว ฉันเลยต้องลากคอมันออกมานี่ไง!”
มือใหญ่ชี้ไปด้านหลังที่ซึ่งมีเธอหลับปุ๋ยในท่านอนตะแคงหันมาทางพวกเขาทว่าผมสีบลอนด์อันยุ่งเหยิงนั้นบดบังใบหน้า เรียกได้ว่าหมดสภาพขั้นสุด
“เห้อ นั่นก็เรื่องของเธอน่ะชารีฟ” เขาพยายามอธิบายอย่างใจเย็น
“มันเห็นแล้วรู้สึกโกรธปนสมเพชว่ะ นายไม่เข้าใจหรอกนายไม่ใช่ฉัน นั่นก็กลุ่มเพื่อน และนี่ก็..” เขาชะงักริมฝีปาก ผ่อนลมหายใจออกเชื่องช้า “หล่อนก็เคยเป็นของฉันมาก่อน”
“ฉันนึกไว้แล้วเชียวว่านายต้องไม่มีทางที่จะเดินออกมาเฉยๆโดยไม่ได้สนใจเธอ”
“ก็แน่นอน” เขายกยิ้มมุมปาก “รำลึกความหลังกันพอหอมปากหอมคอแล้ว”
“อุ๊บ..”
ร่างเพรียวลุกขึ้นนั่งฉับพลันราวกับเส้นกระตุก
“อ้วก”
เธอโก่งคออาเจียนออกมามากมายทำเอาเขาต้องกรอกตามองบนเพดานยกฝ่ามือขึ้นโปะหน้าผาก
ส่วนการิมนั้นหรี่มองด้วยสีหน้าแหยๆ “แล้ว นี่นายจะทำอย่างไรกับเธอต่อ?”
“ก็ต้องพาไปล้างเนื้อตัวสิ”
“ไม่ นายรู้ว่าฉันกำลังหมายถึงอะไร” การิมถามย้ำเพื่อรอคำตอบจากใจจริงว่าตกลงเขาจะเอาอย่างไรกับชีวิตตนเองต่อ
ใบหน้าคมคายเหลือบหันไปมองเธอที่อาเจียนออกมาจนแทบจะหมดตัวแล้วหล่อนก็เอนกายลงนอนตามเดิมอย่างไม่รู้เรื่องราว
“ไม่รู้” เขาตอบออกมาตามตรง
“โอเค” การิมผงกรับเชื่องช้า ถึงจะไม่เห็นด้วยแต่ก็ไม่ก้าวก่าย เขาเคารพทุกการตัดสินใจของเพื่อนเสมอ “งั้น พรุ่งนี้เจอกันเพื่อน” การิมตบบ่าให้กำลังใจก่อนเดินออกจากห้องไป
ซู่วส์!
สายน้ำจากฝักบัวด้านบนไหลลงมาชำระล้างคนที่กำลังนั่งคออ่อนคอพับไม่ได้สติจนตื่นตัวขึ้นพร้อมเอื้อมมือสะเปะสะปะร้องเรียกหาคนช่วย
“ช่วยด้วย อื้อ”
“ไง ได้สติแล้วใช่มั้ย” ร่างใหญ่ยืนเท้าสะเอวก้มมองหญิงสาวที่กำลังคลานออกมาจากสายน้ำเงยหน้าขึ้นมองเขา
“ชารีฟ”
“ใช่ ฉันเอง”
ร่างบางเปียกโชกพยายามดันตัวเองให้ลุกขึ้นยืนแต่เหมือนว่าเรี่ยวแรงมันหายไปไหนหมดก็ไม่รู้
“พาฉันออกไปจากที่นี่ที”
“พรุ่งนี้ฉันจะไปส่ง”
“ม่าย ช้านจาไปตอนนี้”
“เอาสิ ถ้าเก่งนักก็เดินออกไปเองเลย” เขาหยุดยืนมองดูเฉยๆ อยากจะรู้นักว่าจะเก่งได้สักกี่น้ำ
แล้วริมฝีปากที่ยิ้มเยาะนั้นกลับเปลี่ยนเป็นอ้าปากค้างหวอในทันทีที่แม่สาวจอมก๋ากั่นดันเดินเซซัดออกไปจากห้องน้ำได้สำเร็จ
เขาเดินตามหล่อนที่เก้าเท้าเตาะแตะประหนึ่งเด็กหัดเดินพร้อมทั้งมีรอยน้ำบนพื้นเป็นทางจากฝีมือของเธอ
“จะออกไปด้วยสภาพเหมือนหมาตกน้ำอย่างนี้เหรอ?”
“ไปแบบนี้ก็ดีกว่าอยู่กับไอ้ผู้ชายที่กระชากหัวผู้หญิงก็แล้วกันแหละ”
“โอเค คอแข็งดีนี่ ถือว่าเก่งที่ยังจำได้” เขาปรบมือสามที “แล้วจำได้มั้ยล่ะ ว่าเพราะอะไรถึงได้ถูกกระชากหัวออกมา”
“จำได้สิคะคุณชารีฟขา ฉันจะไปดูดค..ให้เพื่อนคุณ”
“ลัยลาฮ์” เขากระชากแขนเธอเข้ามาปะทะร่างใหญ่
“ปล่อยนะ ถ้าไม่ปล่อยฉันจะเหมารวมว่าคุณเองก็อยากจะซื้อบริการกับฉันจนตัวสั่น ฮ่าๆๆ เถียงไม่ออกล่ะสิ”
เขานิ่งอึ้ง คาดไม่ถึงว่าเธอจะเป็นไปได้ขนาดนี้ แต่พอเห็นน้ำตาที่ไหลพรากลงมาแล้วหัวใจก็อ่อนยวบไหวไปตามเจ้าหล่อน ให้ตายเถอะ มันสับสนไปหมดว่าเธอกำลังพยายามแสดงตัวตนแบบนี้ออกมาเพื่ออะไร เพื่อประชดชีวิตและไล่เขาทางอ้อมหรือ หรือว่าเธอเป็นแบบนั้นแล้วจริงๆ
“เงียบทำไม อยากฉันเหรอ” เธอดึงทึ้งเสื้อผ้าตนเองออกจนไม่เหลือสักชิ้น “เอาเซ่ จัดให้หนักๆเลย จะบีบคอ กระชากหัวหรือจะบอกให้เพื่อนเรียงคิวกันเข้ามาก็เอาเล้ย กูอนุญาต!”
“อย่ากวนประสาทฉัน”
“ทำไม ฮ้า ก็ใครล่ะมันตามวอแวฉันเอง เอาสิ เอาเลย” เธอแอ่นหน้าอกพลางใช้สองมือขยำยั่วยวนเขา
ทันใดนั้นเอง สองมือใหญ่ดันหัวไหล่มนให้ไปยืนชิดผนังห้อง เขาแกะมือเธอออกจากสองเต้าอวบแสนเย้ายวนแล้วใช้มือตนเองตะปบเข้าบีบขยำแทน
“อื้อ”
เธอหลับตาพริ้ม ใบหน้าซบลงบนอกแกร่ง ร่างอ่อนระทวยเกือบทรุดฮวบหมดสติบนพื้นแต่เขาโอบอุ้มเอาไว้ได้ทันเสียก่อน
“ฟู่ว”
ชารีฟพ่นลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก ในที่สุดเธอก็หมดฤทธิ์สักที
จุ๊บ
ริมฝีปากโน้มลงจูบกลางศีรษะพลางหลับตาซึมซับสัมผัสที่โหยหานี้นานครู่หนึ่ง ก่อนอุ้มเธอไปนอนบนเตียง
“คุณยังรักฉันอยู่ใช่มั้ยคะชารีฟ”
คนสติสัมปชัญญะไม่เต็มร้อยละเมอออกมาเสียงแผ่วขณะถูกเขาใช้ไดร์เป่าผมให้อย่างอ่อนโยน
เธอกำลังฝันอยู่แน่ๆ!
เธอรู้สึกมึนงง และปวดศีรษะเหมือนกำลังอยู่บนเตียงที่หมุนได้
นี่เธอกำลังอยู่ไหน และทำอะไรอยู่?
อีกครั้งแล้วสินะที่ปล่อยให้อารมณ์อยู่เหนือสตินำพาชีวิตให้ฉิบหาย นังลาโง่เอ๊ย!
สองปีก่อน
ร่างผอมบางในชุดนักศึกษาทรุดฮวบลงกับพื้นหลังได้รับข่าวเศร้าจากการสูญเสียครั้งใหญ่ ป้าโสภี ผู้เป็นพี่สาวของแม่ท่านมีพระคุณเลี้ยงดูเธอตั้งแต่เด็ก และตอนนี้ท่านได้จากเธออย่างไม่มีวันหวนกลับด้วยโรคประจำตัว เธอมาไม่ทันได้ดูใจป้าเลยด้วยซ้ำ
“ฮือ”
ภควรรณวิลานั่งปาดน้ำตาป้อยๆภายในห้องนอนป้า รอบๆเตียงนอนนั้นมีทั้งสามีและลูกๆของป้ากำลังร้องห่มร้องไห้เสียใจอย่างหนัก
หลังจากงานศพของคุณป้าเป็นอันเสร็จสิ้น เธอนั่งเหม่อลอยอยู่ที่ศาลาริมน้ำหลังบ้าน ไม่นานนักคุณลุงก็เดินมาวางมือเหี่ยวย่นไว้บนศีรษะเธอ
“วิลาเอ้ย ตอนนี้ป้าไม่อยู่กับเราแล้ว ลุงอยากให้วิลาย้ายไปอยู่กับพ่อแท้ๆเถอะนะ”
“ไม่ หนูไม่ไปหาพ่อ” เธอส่ายหน้าปฏิเสธเสียงแข็ง
“เห้อ ถ้างั้นก็อย่าหาว่าลุงใจร้ายเลยนะ ถ้าลุงจะบอกให้วิลาไปพักการเรียนไว้ก่อนเพราะลุงจ่ายคนเดียวไม่ไหว ไหนจะต้องส่งลูกอีกสองคนอีก”
“ไม่ หนูไม่ดร็อปเรียน”
“อุบ๊ะ นังนี่หัวดื้อไม่เปลี่ยนเลยจริงๆ แล้วเอ็งจะเอายังไง ข้ามีภาระตั้งมากมายจะให้เลี้ยงเอ็งเพิ่มอีกคนคงไม่ไหว เอ็งควรไปอยู่กับพ่อเอ็งนะถ้าอยากเรียนต่อ”
“ไม่ ฉันไม่ไปอยู่กับพ่อและฉันจะหาเงินส่งตัวเองเรียนให้จบ!” เธอเดินกระแทกพื้นปึงปังออกไปเก็บเสื้อผ้าข้าวของออกจากทีนี่โดยไม่เอ่ยลาใครสักคน
ที่จริงแล้วบ้านสวนริมแม่น้ำเจ้าพระยาขนาดกระทัดรัดบนเนื้อที่เกือบหนึ่งไร่หลังนี้เป็นของคุณตาคุณยายที่เลี้ยงป้าโสภีและแม่โสรยาส่งต่อมายังรุ่นหลานอย่างเธออีก เธอพอจะเข้าใจดีแหละว่าลุงอยากจะเก็บบ้านหลังนี้ไว้ให้ลูกทั้งสองของเค้า
แม่เธอชื่อโสรยา ส่วนพ่อชื่อโชคชัย รายนั้นไม่อยากจะพูดถึงหรอก ขอมองข้ามไปก่อนแล้วกัน เพราะพ่อเขามีครอบครัวใหม่ที่แสนอบอุ่นไปแล้ว
แม่โสรยาหย่ากับพ่อไปมีสามีใหม่ซึ่งเป็นสามีฝรั่ง เธอจำได้พอลางๆเพราะแม่เคยพามาเยี่ยมบ้านหนึ่งครั้ง แต่น่าเสียดายที่แม่ใช้ชีวิตสุขสบายได้เพียงสองปีก็ประสบอุบัติเหตุจนเสียชีวิตที่โน่น เธอไม่มีโอกาสได้กราบศพท่านเลย แม่กลับมาเพียงโกศกระดูกให้ดูต่างหน้า ตามประสาเด็กหญิงอายุเจ็ดขวบที่ยังไม่ได้รู้สึกอาลัยในการสูญเสีย แต่พอโตขึ้น เธอยิ่งรู้สึกเศร้าและคิดถึงแม่อย่างจับหัวใจ
ถ้าแม่โสรยายังอยู่ชีวิตเธอคงดีกว่านี้ ไม่ปากกัดตีนถีบไปเป็นแม่ค้าขายผ้าในตลาดนัดตอนเย็นเพื่อส่งตัวเองเรียนระดับมหาวิทยาลัยรัฐฯในจังหวัดปริมนฑล ชีวิตการต่อสู้ไม่ได้เรียบง่ายขนาดนั้นหรอก บททดสอบมันยากเข้าไปอีกขั้นเมื่อการค้าขายไม่สามารถส่งตัวเองไปถึงฝันได้ ก็นะ มันไม่แน่นอนและใช่ว่าจะขายดีไปทุกวันดังใจหมายหรอก บางวันก็ขายได้ บางวันก็ขายไม่ออกเลยสักตัวก็มี แล้วอย่างนี้เธอจะทำอย่างไร?
“หา แกจะไปทำงานในผับเหรอ เห้ย อย่าเลยนะฉันว่า” สายธาร รูมเมทที่อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่ปีหนึ่ง เรียนคณะเดียวกัน เข้าอกเข้าใจกัน แต่ทว่า บุคลิกและนิสัยนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง สายธารเธอเป็นคนเรียบร้อยสนใจแต่การเรียนอย่างเดียว เธอยืนยันจะสวมกระโปรงยาวถึงตาตุ่มและแว่นตาหนาเตอะอยู่อย่างนั้นแม้ว่าใครจะล้อว่าเธอนั้นแสนเฉิ่มก็ตาม เธอไม่สน
และตอนนี้สายธารกำลังส่ายหน้าเพราะไม่เห็นด้วยหากเธอคิดจะทำงานกลางคืน
“แกจะตื่นไปเรียนไหวเหรอ?”
“ไม่ไหวก็ต้องไหวสิน่า เพื่อเงิน!”
แต่กับภควรรณวิลาแม่ค้าเสื้อผ้าแฟชั่นราคาหลักร้อยแล้วนั้นจะตรงข้ามกับสายธารโดยสิ้นเชิง เธอสวมกระโปรงนักศึกษาทรงสอบสั้นเลยเข่า มีความมั่นใจในตัวเอง กล้าแสดงออก และเอกลักษณ์ของเธอนั้น คือปากต้องแดงแจ๋และคอยหยิบลิปสติกที่ซื้อราคาส่งจากตลาดใหญ่รับมาหลายโหลเพื่อนำมาขายขึ้นมาเติมทุกครั้ง
“มาจ้าวันนี้หนูขายเท! ชุดเซ็ตถูกๆมือหนึ่งเอาไปเลย! เก้าเก้า! ย้ำ เก้าสิบเก้าบาทฟังไม่ผิดจ้า!!”
เป็นภาพจำของผู้คนในตลาดเย็นยันค่ำที่เห็นเธอแหกปากร้องเรียกลูกค้า
“ชุดเช็ต99มือหนึ่งจริงๆเหรอ?”เสียงทุ้มของหนุ่มนักศึกษาดังมาจากด้านหลัง
“ใช่จ้า ซื้อไปฝากแฟนหรือจ๊ะ”
เธอที่กำลังจะหันไปส่งยิ้มก็ต้องหยุดลงพลันเมื่อดันไปเจอกับหนุ่มหน้าหยกแต่ริมฝีปากแดงกว่าเธออีก
“อืม เอาตัวนี้ ตัวนี้ แล้วก็ตัวนี้จ๊ะ” หล่อนจีบปากจีบนิ้วชี้อย่างมีจริตจก้านแถมยังต่อราคากับเธออีก
“นี่ ลดอีกหน่อยไม่ได้เหรอ นะ สิบบาทก็ยังดีพอให้พี่ได้ซื้อน้ำหวานแก้คอแห้งสักแก้วหน่อย”
“โอ๊ยพี่ แค่นี้ฉันก็ขาดทุนจะแย่แล้ว! พี่รู้ดีน่าว่ามันถูกแค่ไหน นี่ฉันจะเลิกขายและไปทำงานเสิร์ฟหรอกน่าถึงได้รีบปล่อยราคาเท่าทุนขนาดนี้” เธอยกมือเท้าสะเอวพร้อมอธิบายร่ายยาวจนเขาคนนั้นเลิกต่อรอง แต่กลับหันมาจ้องมองหน้าเธอแล้วไล่ลงมาถึงปรายเท้าแล้วก็วกขึ้นมามองหน้าและยิ้มให้เธออย่างมีเลศนัย
“ฉันชื่อดิวนะ เธออยากไปทำงานกับฉันมั้ย?”