หญิงสาวในชุดเดรสตัวเดิมของเมื่อคืนผุดลุกขึ้นนั่งในตอนตะวันโด่งเมื่อของเหลวที่เธอกรอกมันลงคอตั้งแต่เมื่อคืนกำลังดันขึ้นมาเตรียมปะทุออกมาจากปากในชั่วพริบตานี้ เธอรีบวิ่งลงจากเตียงทั้งที่ไม่ได้ลืมตามองทางจนเท้าเตะโต๊ะและเก้าอี้วุ่นวายไปหมด
“เห้อ ..อ้วกก..”
ปลดปล่อยอาเจียนออกมาเสียงดังก้องทั่วห้องน้ำที่เธอไม่ได้ปิดประตู
“เห้อ ทรมานชิบ!” ร่างเพรียวผอมเดินโงนเงนหัวฟูฟ่องสภาพราวกับศพเดินได้พร้อมพ่นสบถหยาบตามปรกติ
แต่ทว่าตอนนี้ ในห้องไม่ได้มีเพียงแค่เธอและสายธารสองคนด้วยสิ!
หญิงสาวขยี้เปลือกตาเพื่อเพ่งมองภาพตรงหน้า
“เอ่อ มาทานข้าวด้วยกันมั้ยลูก” คุณแม่ของสายธารเอ่ยเรียกเธอด้วยสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก ส่วนพ่อผู้หน้าดุของเพื่อนนั้นเงียบขรึมขมวดคิ้วขึ้นสูงมองสภาพเธออย่างตำหนิในใจ
“...!”
น่าอายจริงๆที่เธอดันลืมไปว่าวันนี้พ่อแม่สายธารจะมาเยี่ยมลูกสาว และครอบครัวสุขสันต์พ่อแม่ลูกนั้นกำลังนั่งพื้นปูเสื่อทานมื้อเที่ยงกันที่กลางห้อง แต่เธอดันทำให้บรรยากาศเปลี่ยน
“เอ่อ สวัสดีค่ะคุณพ่อคุณแม่” เธอย่อตัวเล็กน้อยพนมมือแนบอก มือรีบดึงชายกระโปรงทรงสอบที่สั้นจนแทบจะโชว์ขอบกางเกงชั้นในอยู่แล้ว
“แกไปนอนต่อเหอะ” สายธารรีบเอ่ยเพื่อไม่ให้เพื่อนสาวเคอะเขินไปมากกว่านี้
และทุกคนก็รีบสลัดศีรษะลืมๆเหตุการณ์เมื่อครู่แล้วพูดคุยถามไถ่กันปรกติ แต่ตัวขายขี้หน้าอย่างเธอนั้นกลับมาทิ้งตัวลงนอนต่อ แค่จะนั่งยังทำไม่ได้เลยเพราะเมื่อคืนเล่นดื่มกับลูกค้าหนักเพื่อเงินตัวเดียวเลยจริงๆ
แต่ไม่ว่าเธอจะเจอกับลูกค้าในรูปแบบไหน คนอย่างภควรรณวิลาไม่เคยเสียท่าให้ผู้ชายเลยแม้สักครั้งเดียว
แต่จะมีเพียงคนเดียวเท่านั้นแหละที่เธอยอมมากมายเสียเหลือเกิน จะเป็นใครเสียที่ไหนล่ะ ถ้าไม่ใช่พ่อโอฬารเด็กหนุ่มหน้าหวานของเธอ
หลังจากที่ให้ยืมสมาร์ทโฟนราคาแพงพ่อตัวดีก็ไม่ยอมโผล่หัวมาเลยด้วยสิ ผ่านมาเป็นอาทิตย์แล้วที่เธอต้องใช้มือถือหลักพันของเขาด้วยท่าทีหลบๆซ่อนๆเพราะอายเพื่อนฝูง
ครืดดดด
นั่นไงเล่า มันดันมีคนโทรมาตอนนี้แล้วไง!
“เสียงมือถือใครเหรอ?”
เธอนั่งยิ้มแห้งอยู่อย่างนั้น เมื่อมีสายเข้ามาแต่ไม่กล้าหยิบมันออกมาจากกระเป๋าก๊อปแบรนด์เกรดพรีเมี่ยม ก็ตอนนี้เธอกำลังอยู่กับกลุ่มเพื่อนสาวไฮโซที่เลี้ยงมื้อค่ำในภัตตาคารหรูและบทสนทนานั้นก็มีแต่เรื่องกระเป๋าใบใหม่ที่วางอวดกันบนโต๊ะ เธออ้าปากมองตาแทบหลุดจากเบ้าแต่ในใจกำลังบ่นอย่างหนัก
‘นี่ก็ขยันซื้อคอลเลคชันใหม่มาอวดกันจัง กูเหนื่อยดิ้นรนตามโว้ย!’
แล้วดูเหมือนว่ากลุ่มโต๊ะพวกเธอนั้นเป็นจุดสนใจให้แก่สายตาผู้คนมากมายทั้งชายหญิงที่มองมาอ้าปากค้างตะลึงกับความสวยและชุดอวดเนื้อหนังสะดุดสายตาพาลเอาน้ำลายหยด ส่วนผู้หญิงด้วยกันก็มองมาอย่างอิจฉา เธอไม่ได้คิดไปเองหรอกนะ ว่ากลุ่มผู้หญิงโต๊ะข้างๆนั้นมองมาที่เธอเหมือนกับหมั่นใส้ในความสวยเปล่งปลั่ง และไม่อยากจะคุยหรอก ว่ารสนิยมสาวๆกลุ่มนั้นน่ะเดินตามหลังเธออยู่หนึ่งสเต็ป ก็ชุดที่พวกหล่อนสวมอยู่เธอเองก็เคยใส่ก่อนตั้งเกือบเดือนแน่ะ เมื่อรู้สึกว่าตนเองเหนือกว่าจึงนั่งเชิดหน้าสะบัดผมใส่ตั้งหลายระรอก
‘แต่จะมาขายหน้าเพราะมือถือง่อยๆนี้ไม่ได้นะนังลา!’
“เอ๊า รับสิอีนี่!”
นังดิวเพื่อนตัวดีดันเขย่าแขนเธอให้รีบรับสาย ชิ หูดีจริงๆเลย!
“เออๆ”
แล้วเหมือนทุกคนที่ห้องล้อมรอบกายดูจะสนใจและคาดหวังว่าเธอจะใช้สมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อวานสินะ
‘แหม จับจ้องกูจังอิเวร!’ เธอก่นด่าทุกคนในใจเมื่อบรรยากาศดูเหมือนว่าร้อนอบอ้าวขึ้นทันควัน เหงื่อแตกตามไรผม ค่อยๆหยิบมือถือขึ้นมารับสาย เป็นเบอร์สายธารที่ดันโทรมาได้ถูกเวลา
“อืม ว่าไง”
‘แก เรื่องรายงานที่แกยืมฉันไปลอกตอนนี้แกเอาไปไว้ไหน?’
“เออยุ่งอยู่เดี๋ยวโทรกลับนะ” เธอรีบตัดสายสนทนาและยืดหลังตรงเชิดคอขึ้นด้วยสีหน้าลอกแลก
“ว้ายชะนีลา มือถืออะไรของแกเนี่ย กูนึกว่าเศษเหล็ก”
นั่นไง นังดิวลดาตัวดีร้องทักเธอเสียงดังให้อับอายจนได้ นอกจากอีพวกกลุ่มข้างๆที่ซุบซิบและป้องปากขำกันเบาๆแล้วนั้นเพื่อนในกลุ่มเองก็ยังทำหน้าเหม็นบูดใส่เธออีก
“อีนี่อย่าเสียงได้มั้ยวะกูอุตส่าห์นั่งเก๊กเป็นไฮโซตั้งนาน” เธอกัดฟันเอ่ยกับดิวลดา
“กูเดาเลยว่าต้องเป็นไอ้เด็กนั่นแน่ๆที่เอาของมึงไปใช้แล้วทิ้งเศษเหล็กโง่ๆนี่ให้มึงดูต่างหน้า”
“เออ” เธอตอบเสียงสะบัดอยากให้มันเปลี่ยนเรื่องคุยสักทีเหอะ
“ชะนีโง่ สมชื่อลาจริงๆมึงนี่” ดิวลดาจิ้มนิ้วชี้ลงกลางหน้าผากพลางผลักเบาๆ
“เลิกเซ้าซี้กูเหอะน่า ว่าแต่เอกสารบนตักที่มึงจัดเรียงอยู่คืออะไร?” เธอถามพลางเหล่ตามองเห็นใบตารางงานวีไอพี
“จะทำไมล่ะ” เธอหรี่ตามองคนที่ตอบปัดๆ “มึงล่ะสนมั้ย?” ดิวลดากระซิบกระซาบใส่หู
“ไม่เอาหรอก” เธอย่นจมูก
“งั้นก็เชิญทำงานของหล่อนต่อ แล้วหาทางคิดด้วยนะว่าจะเอาไงกับค่าเทอมหล่อนน่ะ ไหนจะมือถือที่ดูท่าว่าจะโดนยึดถาวรแล้วแน่ๆ แกเตรียมหาเงินซื้อใหม่เถอะย่ะนังชะนีสมองน้อยรู้ไม่เท่าทันเด็กมัธยม”
“เออน่า เดี๋ยวอาทิตย์หน้ากูรับล้างรถในงานมอเตอร์โชว์แป๊บเดียวก็ได้เครื่องใหม่แล้ว”
“แหม ทำเป็นสายเปย์ สภาพ” ดิวลดามองเธอแล้วกลั้นขำ “แล้วมึงดูนี่พวกนี้ค่าเทอมเป็นแสนๆย่ะ ไม่เดือดไม่ร้อน มีเงินใช้ไม่ขาดมือ แล้วทีนี้มึงก็คิดเอานะว่าจะทนคบเด็กต่อมั้ย?”
“เอ้า วิลาหาเงินค่าเทอมเหรอ?”
“ยืมพวกเราก่อนมั้ยเพื่อน”
..แหม ทำเป็นเอ่ยเสียงดัง เป็นความหวังดีที่แอบเกทับผสมถ่มถุยอยากให้ผู้คนได้รู้ว่าตนเองทั้งรวยและใจดีสินะ ฮึ่ม อย่าให้นังวิลามันมีบ้างก็แล้วกัน!
“ออ ไม่เอาจ๊ะ เราไม่ชอบยืมตังค์ใคร” เธอรีบปฏิเสธเสียงดังอย่างไม่ยอมแพ้เช่นกัน
หลังจากมื้อค่ำที่แสนหรูหรา การถ่ายรูปของกินอวดโซเชียลและตบท้ายด้วยการถ่ายภาพกลุ่มแก๊งค์สาวสวยนั่งหลังตรงแอ่นอกอวดความสวยตนเองเป็นอันเสร็จสิ้น ดิวลดาจึงอาสาขับรถมาส่งเธอและระหว่างที่นั่งในรถเก๋งสัญชาติญี่ปุ่นด้วยอาการกรึ่มเมาเล็กๆนั้นเธอยังโดนดิวบ่นว่าโง่ตลอดทาง
“อีโง่ แล้วทำไมมึงไม่ประจบพวกนั้นวะ มันยิ่งบ้ายอนะถ้ามึงหวานใส่ เผลอๆพวกนั้นยื่นเงินให้มึงยืมคนละหมื่นละแสนเชียวมึง เป็นกูหน่อยละไม่ได้กูจะเลียประจบประแจงจนมันทนไม่ไหวควักตังค์มายัดใส่มือกูเชียว”
“ก็กูอายคน อีพวกนั้นเล่นพูดซะเสียงดังขนาดนั้นถ้ามันเจตนาดีมันก็ต้องถามกูเบาๆไม่ก็แชทถามกูดิ ไม่ใช่ตั้งใจหักหน้ากูอย่างนี้”
“เห้อ มึงนี่สวยที่สุดในกลุ่มเลยนะมึงรู้ไหม ภาษาก็เก่งแต่น่าเสียดายที่มึงใจไม่กล้าพอ ไม่งั้นมึงมีเงินใช้แถมได้เรียนมหาลัยเอกชนค่าเทอมแพงๆแบบไม่น้อยหน้าพวกนั้นเชียว”
“นั่นไง มึงพยายามกล่อมกูเข้าเรื่องนี้จนได้ แต่ขอบอกเลยนะถ้าตราบใดที่ลูกค้าไม่หล่อเหมือนโอห์มกูไม่มีทางขายตัวให้หรอก”
“แหมอีนี้พูดโง่ๆเนาะ ผู้ชายหล่อๆที่ไหนเค้าจะมาหาซื้อกินล่ะ แค่หล่อผู้หญิงก็วิ่งตบเท้าเข้ามาอ้าขาให้ฟรีแล้วป่ะ? ออ แต่จะว่าไม่มีเลยก็ไม่เชิงนะมึง นานน้านทีมันจะมีมา แบบสายฝอหล่อๆที่อยากลองคนเอเชียน่ะ”
“เหอะ ไม่เอาหรอกใหญ่ไปเดี๋ยวกีกูฉีก” เธอพูดติดตลกราวกับตัวเองเป็นสาวกร้านโลกีย์
“ชะนีลาทำเป็นพูดดีเข้า มึงกล้าเอากับแฟนเด็กให้ได้ก่อนเหอะ”
“นั่นไงตายยากจริง” เธอชูมือถือที่กำลังมีสายเข้า “มึง ไปส่งกูที่หอไอ้โอห์มที กูจะเปิดซิงคืนนี้แหละ”
เธอสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดก่อนรับสาย
“ว่าไงโอห์ม พี่ว่าจะไปหา..”
‘ฮึก..ฮือ’
“ตัวเองร้องไห้ทำไม? ..หา อะไรนะ!?”
ดิวลดาชะงักหน้า หันมองเพื่อนสาว เขาคาดเดาในใจว่าไอ้หมอนี่ต้องคุยเรื่องเงินแน่ๆ
“มึง กูเปลี่ยนใจกลับหอดีกว่า หมดอารมณ์ละ”
ดิวลดายกมือซ้ายขึ้นชี้หน้าหล่อน “มันโทรมาขอเงินมึงใช่มั้ย?”
“เออสิ รอบนี้ขอหนักด้วยมันสารภาพว่ามันหายไปเล่นเกมส์จนเพลินเงินที่แม่ให้ไปจ่ายค่าเทอมหมดเกลี้ยง”
“ช่วยพัก” ดิวลดายกมือปราม “มึงเอาตัวเองให้รอดก่อน”
“ก็กูรักไปแล้วนี่จะทำไง จะปล่อยให้มันเผชิญปัญหาคนเดียวก็ดูใจร้ายเกินไปมั้ยวะ”
“เห้อ มึงนี่น้า ..แล้วมึงจะหาเงินที่ไหนได้ไวขนาดนั้น”
“กูมีทางของกูก็แล้วกัน”
เธอเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่มั่นใจแต่นัยน์ตากลมโตคู่สวยนั้นเปี่ยมไว้ด้วยความหวัง
พ่อ คือความหวังเดียวและหวังสุดท้ายของเธอ
แดดเปรี้ยงในตอนบ่ายกระทบผิวขาวผ่องและผมยาวสีบลอนด์ของหญิงสาวหุ่นเพรียวที่กำลังยืนเงอะงะอยู่หน้าร้านค้าปลีก-ส่งตึกใหญ่สองชั้นจำนวนหกคูหาที่ตั้งอยู่ริมถนนสายหลักมีเสียงรถสวนกันไม่ขาดสาย เธอแหงนหน้าขึ้นอ่านป้ายหน้าร้านขนาดใหญ่
“โชติช่วงแพรวพรรณราย”
คิ้วสีน้ำตาลอ่อนขมวดขึ้นอย่างสงสัย เพราะแต่ก่อนชื่อร้านว่า โชคชัยการค้า ซึ่งเป็นชื่อพ่อเธอ หรือว่ามาผิดที่ แต่สามล้อที่มาส่งก็ดูจะมั่นใจดิบดีนี่นาว่านี่คือร้านของเฮียโชคชัย สุวรรณมายา
“เอ้า ไปไงมาไงล่ะลูกทำไมมาถึงไม่บอกกันก่อน”
เธอรีบหันไปไหว้พ่อที่กำลังถือลังขนาดใหญ่ออกมานอกร้านพอดี
“นี่ร้านพ่อ?”
“ใช่ เปลี่ยนชื่อใหม่น่ะ มาเข้ามาข้างในก่อนสิเดี๋ยวพ่อขนของขึ้นรถลูกค้าก่อนนะ” เธอมองดูพ่อที่แต่งตัวมอซอเสื้อยืดของแถมจากสินค้าราศีความเป็นเถ้าแก่แทบจะไม่มี ส่วนเธอนั้นสวมชุดเซ็ตกางเกงกับเสื้อครอปตัวสั้นสีส้มสดใสบวกกับสีผมสว่างจ้าแต่สถานภาพการเงินกลับแตกต่างจากผู้พ่ออย่างสิ้นเชิง
เมื่อลองทบทวนอ่านชื่อป้ายนี้แล้วจึงนึกออกได้ว่าเป็นการรวมกันของชื่อภรรยาใหม่ พรรณราย ผสมกับชื่อลูกแฝดคู่ชายหญิงของพ่อที่ชื่อว่า โชติช่วง และ แพรวพรรณ
หญิงสาวกัดริมฝีปากล่างพลางยกสองมือขึ้นกอดอกอ ครอบครัวใหม่ช่างสมบูรณ์แบบจนน่าอิจฉาจริงๆ ดูเธอสิโดดเดี่ยวและเป็นส่วนเกิน รู้สึกอายจนไม่กล้าเข้าไป
“เอ้า เข้าไปสิวันนี้วันอาทิตย์คุณน้าและน้องๆเราอยู่ร้านพอดี”
ผู้พ่อพยายามสะกิดแขนซึ่งทำเอาเธอสะดุ้งเพราะไม่คุ้นเคย
“เอ่อ แป๊บนะคะ” เธอรีบย่อตัวลงหยิบยางรัดสีแดงบนพื้นขึ้นมารวบผมให้เรียบร้อยก่อนเดินเข้าไป
“วิลาไหว้คุณน้าเค้าสิ”
“สวัสดีค่ะ” เธอเหลือบมองเจ๊พรรณรายผู้อวบอิ่มแต่ใบหน้านั้นสวยงามเปล่งปลั่งกว่าแต่ก่อนด้วยฝีมือหมอศัลยกรรม และใบหน้านั้นบึ้งตึงหลือเกินคาดว่าคงอัดโบท็อกซ์มาเต็มหน้าสินะ
“แม่ นี่วิลา”
“ออ ก็นึกว่าใครไม่เจอกันนานสบายดีมั้ยล่ะฮื้ม?”
“สบายดีค่ะ”
“โชติช่วงแพรวพรรณลูก ไหว้พี่เค้าสิ”
“หวัดดีฮะ/ดีค่ะ” ลูกแฝดชายหญิงอายุราวๆ15ปี วางแท็ปเล็ตราคาแพงเงยหน้าขึ้นพร้อมยกมือไหว้เธอแทบไม่ถึงสองวินาทีด้วยซ้ำ เธอยิ้มค้างและอึ้งเล็กน้อย แต่ช่างเถอะ เธอไม่สนสายใยเลือดเนื้อห่าเหวอะไรแล้ว สาระสำคัญที่เธอมาในวันนี้คือต้องการเงิน เธอเดือดร้อนจริงๆ และคิดว่าเงินแค่ไม่กี่หมื่นขนหน้าแข้งพ่อคงไม่ร่วงกระมัง แต่ดูท่าเจ๊หน้าบึ้งคงจะเขี้ยวลากดินเธอจึงสะกิดพ่อเพื่อขอคุยกันเพียงลำพัง
โชคชัยพาลูกสาวไปยังห้องครัวด้านหลังร้าน เขาเหลือบมองทางแว้บหนึ่งก่อนเริ่มถามลูกสาว
“ว่าแต่มีเรื่องอะไรจะคุยกับพ่อหรือเปล่าถึงได้ดูร้อนใจมาหาถึงที่ขนาดนี้”
“เรื่องเงินค่ะพ่อ หนูร้อนเงินจริงๆ ต้องจ่ายค่าเทอมค่าห้องพัก ค่า...”
“เดี๋ยวๆ นั่งรอพ่อก่อนนะ เดี๋ยวพ่อเช็คของให้ลูกค้าก่อนแล้วจะมา รอที่นี่นะ”
เธอนั่งจับเจ่าอยู่ในห้องครัวนานครู่ใหญ่ เริ่มไม่มีอะไรทำแล้วจึงเดินเล่นบริเวณห้องครัวและออกมายังโซนดูทีวี เป็นห้องขนาดโอ่อ่าสวยงามเกินจะบรรยายเหลือเกิน อดคิดไม่ได้เลยจริงๆว่าหากแม่เธอยังอยู่สภาพบ้านเรือนก็คงหรูหราไม่แพ้กัน
“อะไรกัน โผล่มาทีก็มาขอเงินเลยเหรอ!”
แล้วเธอก็ได้ยินเสียงเอะอะของเจ๊พรรณราย ส่วนเสียงอธิบายของพ่อช่างเบาเหลือเกิน ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าพ่อเกรงกลัวภรรยาแค่ไหน
“อ่ะนี่ เอาให้ลูกสาวพี่”
ริมฝีปากสีพีชเม้มเข้าหากันขณะแอบดูพ่อกำลังแบมือของเงินจากภรรยามาให้เธอ สภาพเหมือนเถ้าแก่กำลังดุด่าลูกน้องไม่มีผิด
..ถึงจะหมั่นใส้ในความร่ำรวย แต่ก็แอบเห็นใจพ่ออยู่เหมือนกัน
รอยยิ้มบนใบหน้าเหี่ยวย่นของผู้พ่อส่งมาให้แต่ไกล พ่อที่ท่าทางเงอะงะรนรานราวกับคนงานในร้านกำลังยื่นแบงค์สีเทาจำนวนหนึ่งใบให้เธอ
“กลับไปก่อนนะ เดี๋ยวอีกสองวันพ่อจะไปหา”
เธอขยำเงินในมือเป็นก้อน โกรธจนมือสั่นปากสั่นเทา ไม่คิดว่าพ่อจะแคร์ครอบครัวใหม่จนเธอรู้สึกว่าเป็นส่วนเกินและกำลังยืนอยู่ผิดที่ รู้ดีว่าอีกสองวันข้างหน้าพ่อคงจะมาหาและแอบเอาเงินที่มากกว่านี้ให้อีก แต่โทษที เธอไม่อยากได้แล้ว
ฟึ่บ
“เอาเงินมันคืนไป ฉันไม่เอา”
“อย่ามาทำนิสัยเสียที่นี่นะ นี่ไม่ใช่บ้านเธอ” เจ๊พรรณรายแหวขึ้นพลางเดินเข้ามาต่อว่าเธอเสียงดัง มืออวบอ้วนที่เต็มไปด้วยแหวนเพชรแหวนทองเอื้อมหยิบธนบัตรก้อนกลมนั้นขึ้นมาคลี่ออก
“มีปัญญาหาเงินได้พันนึงหรือเปล่าล่ะ ถึงได้กล้าขยำเงินเล่นแบบนี้ สันดานเสียเหมือนคนไม่เคยได้รับการอบรม ขอบอกเลยนะว่าบ้านนี้เค้าขยันถึงได้มีกิน พวกรักสบายงอมืองอเท้าก็อย่ามาดูถูกเงินของฉัน ถ้าไม่เอาก็บอกดีๆ”
“เออ ไม่เอาโว้ย”
เธอตะคอกกลับทำเอาพ่อและเจ๊พรรณรายยืนอึ้งอ้าปากค้างไม่คิดว่าเธอจะกล้าต่อปากต่อคำได้ถึงเพียงนี้
เธอรีบวิ่งออกมาพร้อมดึงยางรัดผมทิ้งไว้ที่เดิม ตรงหน้าร้าน ไม่คิดจะหยิบเอาสิ่งใดออกไปแม้เพียงเส้นยางหนึ่งเส้นก็ไม่อยากได้
แล้วต่อจากนี้เธอจะเอายังไงกับชีวิตดีล่ะนังลา?
ขายตัวไหม?
“ฮึก..”
เสียงสะอื้นบริเวณด้านขวามือของเขาส่งผลให้ใบหน้าหล่อเหลาชะงักงันก่อนหันไปทางต้นเสียงนั้น
“หืม?”
คิ้วเข้มเหนือดวงตาคมขมวดขึ้นเมื่อพบหญิงสาวคนหนึ่งกำลังนั่งร้องห่มร้องไห้ที่บริเวณด้านหลังผับ ชารีฟ บินซุฬรฺ อัลฟาริซีย์ ก้าวเท้าตรงไปหาร่างเล็กที่นั่งกอดเข่าในความมืดนั้นก่อนเอื้อมมือไปแตะ
“นี่ เธอโอเคมั้ย?”
ภควรรณวิลารีบปาดน้ำตาลวกๆก่อนเงยหน้าขึ้นมอง