"เอาไว้ก่อนแล้วกันนะเธอยังไม่เป็นอะไรหรอกเจ้าเอย" จันทร์เจ้าเอยปลอบใจตัวเองเมื่อมาถึงประตูหน้าบ้าน เธอหยิบเอานามบัตรที่ได้มาจากปลาดาวขึ้นมาดูอีกครั้งก่อนเก็บเข้ากระเป๋าไป
"ฮ่าๆๆๆๆๆๆ" เสียงหัวเราะดังก้องกังวาลไปทั่วท้องฟ้า
"เสียงอะไรอีกแล้ว ไม่หรอกเธอหูฝาดเจ้าเอย" จันทร์เจ้าเอยเอามือปิดหูทั้งสองข้างแล้วรีบเปิดประตูบ้านเข้าไป
"แม่บุหลัน ข้าจะคุ้มครองเจ้าเอง" ชายรูปงามยืนมองเธออยู่ที่ใต้ต้นจันทร์กระพ้อเหมือนเช่นเคยมา
"กรุ๊งกริ๊ง กรุ๊งกริ๊ง" เสียงกระพรวนดังลอยมา
"มีอะไรหรือลูกเจ้าเอยกลับมาก็หันซ้ายหันขวา หาอะไรลูก" จิตตรามองลูกด้วยความฉงน
"มีแมวเข้ามาในบ้านเราหรือคะ" เธอถามเมื่อได้ยินเสียงคล้ายกระพรวนคล้องคอแมว
"มีที่ไหนกัน พ่อเขาแพ้ขนแมว แม่ไม่เคยจะยอมให้เข้ามาหรอก" จิตตราพูดและบุ้ยปากไปทางเกรียงไกร
"นั่นน่ะสิทำไมลูกถึงคิดว่ามีแมว พ่อไม่ได้ยินเสียงร้องสักแอะ"
"ก็...เจ้าเอยได้ยินเสียงกระดิ่งดังกรุ๊งกริ๊งอยู่แถวๆนี้ค่ะ"
"ไม่นะ ได้ยินไหมพ่อ" จิตตราถามสามี
"ไม่มี พ่อไม่ได้ยินเหมือนกัน" เกรียงไกรปฏิเสธ
"ช่างมันเถอะลูกไปอาบน้ำแล้วเดี๋ยวลงมาทานข้าวกันวันนี้แม่มีของโปรดลูกด้วยนะ" จิตตราเปลี่ยนเรื่องคุย
"ค่ะ เดี๋ยวเจ้าเอยรีบลงมานะคะ"
"โอ้โหน่าทานมากเลยค่ะ อร่อยไม่เคยเปลี่ยน" จันทร์เจ้าเอยตาโตเมื่อจิตตรายกเมนูโปรดมาวางไว้ตรงหน้าเธอ
"แกงรัญจวน รัญจวนจิตรัญจวนใจสมชื่อจริง" เธอพูดต่อพร้อมเอื้อมมือหยิบช้อนกลางตักแกงแบ่งใส่ถ้วยใบเล็กของเธอพร้อมจิบน้ำแกงลิ้มรสกล่มกล่อม ตามด้วยการตักเนื้อหมูใส่จานข้าวเธอเขี่ยข้าวเข้าเต็มช้อนป้อนใส่ปาก
"อืมมมม อร่อยมากเลยค่ะคุณแม่" เธอเอามือป้องปากพูดเสียงอู้อี้พร้อมยกนิ้วโป้งให้มารดา
"แม่เคี่ยวหมูจนเปื่อยนุ่มเลยนะรับรองไม่มีติดฟัน" จิตตราอมยิ้มภูมิใจในรสมือของตัวเอง
"เสน่ห์ปลายจวักแบบนี้ไงพ่อเลยขอแม่แต่งงาน ฮ่าๆๆ" เกรียงไกรเยินยอภรรยาตัวเอง
"แหม เกรงใจคนโสดหน่อยค่า" จันทร์เจ้าเอยแซวพ่อกับแม่ที่หวานไม่เคยจืดจาง
"โดนลูกแซวจนได้นะพ่อเนี่ย" จิตตรายิ้มเขิน
ด้วยความสุขบนโต๊ะอาหารทำให้จันทร์เจ้าเอยลืมความกังวลในใจบางอย่างไปจนถึงเวลาเข้านอน เธอลืมสิ้นไปจนหัวของเธอแตะลงบนหมอนนุ่มและหลับไปในที่สุด
"รัญจวนใจใหลหลง วันใดไม่เจอโฉมยงค์ พี่คงกระวนกระวาย รัญจวนจิตพิศวาส ใจผูกรักแม้นมาศโฉมศรี คิดถึงเจ้าทุกค่ำเช้าและราตรี รัญจวนจิตใจของพี่ไม่รู้คลาย" หมื่นโกศลว่าบทกลอนขึ้นขณะที่สำรับอาหารกำลังถูกทยอยวางเรียงลงบนโต๊ะ
"เจ้าบทเจ้ากลอนแม้กระทั่งเพลาอาหาร เจ้านี่สมกับเป็นนักปราชญ์" ขุนไกรสินเอ่ยปากชมน้องชาย
"กินกันเยอะๆนะวันนี้แม่บุหลันลงครัวไปทำแกงรัญจวนด้วยตนเอง" โฉมเฉลาบอกกับสองหนุ่มตรงหน้า
แกงรัญจวน เนื้อหมูเคี่ยวกับสมุนไพรอย่างตะไคร้ หอมแดง ใบมะกรูด ปรุงรสด้วยน้ำปลาที่หมักเอง น้ำตาลมะพร้าว และน้ำมะนาว มีใบโหระพาตามด้วยพริกชี้ฟ้าแดงแต่งอยู่ในถ้วยลายครามน่าทานยิ่งนัก
ขุนไกรสินและหมื่นโกศลสองพี่น้องเป็นแขกผู้มาเยี่ยมเยือนของบ้านคุณพระสิงห์ดำรงค์เดช
"จริงรึแม่บุหลัน เยี่ยงนี้พี่คงอิ่มจนเดินทางกลับบ้านลำบากเป็นแน่" ขุนไกรสินยิ้มนัยน์ตาหวานเยิ้มให้สาวผู้เป็นที่รัก
"การเมืองการรบที่หน้าทัพตอนนี้เป็นอย่างไรบ้างพ่อไกรสิน" คุณพระสิงห์ดำรงค์เดชถามเรื่องการรบและความสงบของบ้านเมือง
"ตอนนี้ยังไม่นักหนาขอรับแต่ก็ยังมีสิ่งที่น่าเป็นห่วงในเรื่องของคนไทที่ถูกขับไปเป็นเชลย" ไกรสินมีแววตาเศร้าลงเล็กน้อย
"คงต้องทำใจ เป็นแค่ไพร่ฟ้าหน้าใสใครเล่าจะเสี่ยงไปช่วยออกมา" คุณพระเสียงนิ่ง
"แต่หากข้ามีโอกาสข้าจักหาทางช่วยเหลือ จะไพร่จะทาสอย่างไรเสียก็คนไทเหมือนกันอย่างน้อยให้เขาได้กลับมาตายที่เรือนนอนตนเองดีกว่าตายอย่างไร้แผ่นดิน" ไกรสินผู้มีอุดมการณ์หนักแน่นและไม่เคยคิดแบ่งชนชั้นผิดแผกไปจากข้าราชการคนอื่นๆ
"เอาเถอะพ่อการรบเอาไว้ทีหลัง เพลานี้กินกันเสียให้อิ่มก่อนเถิด" โฉมเฉลาตัดบทคนทั้งสอง
"คุณพระขอรับหากจบศึกครานี้กระผมเห็นทีต้องให้ผู้ใหญ่ทางกระผมมาเจรจากับคุณพระเสียทีนะขอรับ" หลังจากจบมื้ออาหารค่ำขุนไกรสินเปรยขึ้นพร้อมปรายตามองไปทางบุหลันเพื่อให้รู้ว่าเขาสื่อถึงใครโดยไม่ต้องเอ่ยชื่อ
"อืม ข้าก็เห็นดีด้วยนะ คุณพระฤทธิธำรงค์พ่อของเจ้ากับข้าก็หาใช่คนอื่นไกล" คุณพระรู้ดีถึงความรักของสองหนุ่มสาวจึงไม่ขัดข้องในสิ่งที่ชายหนุ่มเอ่ยมา ด้วยฐานะ หน้าตาและชาติตระกูล ถือว่าสมน้ำสมเนื้อที่จะมาร่วมเป็นทองแผ่นเดียวกัน โดยมีบุหลันผู้ที่ถูกกล่าวถึงนั่งเอียงอายแก้มแดงอยู่เงียบๆและนอกจากนี้ก็มีสายตาคู่หนึ่งของหมื่นโกศลที่มองดูเธอแบบเปี่ยมไปด้วยความหมายหลายล้านคำในใจ
"เคร้งงงงง" เมื่อสิ้นคำตอบรับเรื่องการเกี่ยวดอง เสียงชามขนมบัวลอยหล่นและหมุนกลิ้งอยู่บนพื้นแต่ไม่แตก
"กระไรกันอีบุญเพลง ซุ่มซ่ามนักนะมึง" คุณพระสิงห์ดำรงค์เดชต่อว่าบุญเพลงทาสสาวที่เสียมารยาท
"รีบๆเก็บกวาดเลยนังบุญเพลง" ซ่อนกลิ่นผสมโรงว่าด้วยอีกทอดหนึ่ง
"ขอโทษเจ้าค่ะ" บุญเพลงเก็บกวาดด้วยอาการลนลาน
"ไม่เป็นไรนะบุญเพลง เอ็งไปตักมาใหม่" บุหลันหันไปบอกทาสสาวคนสนิทด้วยความเมตตา
"เจ้าค่ะ" บุญเพลงก้มหน้ารีบลงจากเรือนเพื่อไปจัดแจงขนมหวานมาให้แขกใหม่
"จะเป็นทองแผ่นเดียวกันรึ" บุญเพลงตาแดงน้ำตาคลอเบ้ามองขึ้นไปที่ขุนไกรสินบนเรือน
"เป็นกระไรอีบุญเพลง" เยื้อนเสียงแข็งใส่ลูกสาวเมื่อเห็นนางเดินทำหน้าหงิกหน้างอลงมาที่ครัว
บุญเพลงไม่ตอบแต่เดินไปหยิบชามใบใหม่มาตักขนมบัวลอยที่อยู่ในหม้อดินเผาแล้วเดินฉับๆออกไปอีกรอบ
"เอ๊ะ นังนี่นับวันยิ่งเอาใหญ่ คุณหนูให้ท้ายหน่อยกับแม่กับเชื้อก็กำเริบนะมึง" เยื้อนบ่นลูกสาวไล่หลังไป
"ไพร่อย่างกูคงมิสมหวังกับเขาดอก" บุญเพลงเดินไปเอามือปาดน้ำตาไป น้อยเนื้อต่ำใจในวาสนาของตน
...............
"อืมมมม" จันทร์เจ้าเอยรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา
"ตีห้า โอยทำไมเจ็บขึ้นมาอีกแล้วนะ" เธอดันตัวขึ้นลุกไปมองนาฬิกาที่หัวเตียง เพราะเกิดอาการเจ็บแปลบที่ข้อเท้าซ้ายอีกแล้ว
"กรุ๊งกริ๊ง กรุ๊งกริ๊ง" เสียงกระพรวนดังอยู่ในสายลมแล้วค่อยๆจางไป
เธอล้มตัวลงฝืนนอนอีกสักพักแต่นอนไม่หลับจึงตั้งใจว่าจะออกไปใส่บาตร
"ไปเตรียมอาหารใส่บาตรเลยดีกว่าไหนๆก็ตื่นเช้าขนาดนี้แล้ว"
"จันทร์กระพ้อนี่หอมจนใกล้รุ่งเลยนะ" เธอลุกขึ้นพร้อมสูดกลิ่นของจันทร์กระพ้อที่โชยมา ห้องนอนเธอหันไปทางหน้าบ้านจึงอยู่ไม่ไกลนักจากต้นจันทร์กระพ้อต้นใหญ่นั่น
"เจ้าเอยวันนี้วันนี้ทำไมตื่นแต่เช้าเชียว"จิตตราทักทายลูกสาว ซึ่งตนเองกำลังเตรียมอาหารเช้าภายในครัวอยู่ก่อนแล้ว
"มันตื่นเองค่ะแม่ เจ้าเอยเลยอยากใส่บาตรด้วยเลย"
"ดีเลยลูกแม่พอมีของสดอยู่เดี๋ยวแม่จัดให้นะ"
"เจ้าเอยช่วยค่ะ"
"เสร็จแล้วเราไปนั่งรอหน้าบ้านกันนะหลวงพ่อท่านมาไวจะได้ไม่คลาดกัน"
หกโมงเช้าหลวงพ่อรูปเดิมได้เดินบิณฑบาตรผ่านมาที่หน้าบ้านของจันทร์เจ้าเอย
"ไม่ค่อยได้เจอกันเลยนะโยมวันนี้คิดยังไงมาใส่บาตรได้ล่ะ" หลวงพ่อถามไถ่ด้วยความมีอัธยาศัย
"นอนไม่หลับค่ะหลวงพ่อ เลยถือโอกาสมาใส่บาตรเลยค่ะ" จันทร์เจ้าเอยสารภาพตามตรงว่าไม่ได้ตั้งใจตื่นเอง
"ดีแล้ว ทำบุญกรวดน้ำอุทิศให้เจ้ากรรมนายเวรเขาด้วยนะโยม อย่าได้จองเวรจองกรรมต่อกันอีกเลย อาตมาขอบิณฑบาตรนะ" ประโยคแรกหลวงพ่อพูดกับจันทร์เจ้าเอยแต่ตรงประโยคตอนท้ายเหมือนบอกกับใครที่มองไม่เห็น
"หลวงพ่อว่าอะไรนะคะ"จิตตราถามงง
"กรวดน้ำลงดินให้เขาทันทีตอนนี้เลยนะโยม ตั้งจิตที่เป็นเมตตาปรารถนาให้เขาพ้นจากบ่วงทุกข์" หลวงพ่อไม่ได้ตอบจิตตราแต่กลับพูดเป็นนัยให้จันทร์เจ้าเอยปฏิบัติตาม
"อาตมามาบิณฑบาตผ่านแถวนี้ทุกวันนะโยมหรือหากมีโอกาสไปทำสังฆทานหรือถือศีลที่วัดได้ก็จะดี" หลวงพ่อกล่าวทิ้งท้ายเหมือนต้องการบอกให้จันทร์เจ้าเอยรู้ว่าเธอควรเร่งทำบุญให้บ่อยขึ้น
"ค่ะ" เธอได้แต่รับคำโดยยังไม่หายสงสัยเสียเท่าไรแต่ก็ตั้งใจจะทำตามที่ท่านแนะนำมา
"ข้าพเจ้าขออุทิศบุญกุศลที่ได้ทำมาในวันนี้ให้แก่เจ้ากรรมนายเวร...."ไม่ทันที่จะเสร็จสิ้นการหยาดน้ำและกล่าวอุทิศบุญ
"เคร้งงงงง" เสียงที่กรวดน้ำหลุดออกจากมือจันทร์เจ้าเอยเหมือนมีใครมาปัดออก
"กูไม่เอา!"
"โอ้ย!" จันทร์เจ้าเอยได้ยินเสียงนั้นจนแสบแก้วหู เธอยกมือขึ้นมาปิดหูตัวเอง
"เจ้าเอยเป็นอะไรลูก" จิตตรามาแตะที่ไหล่เธอทำให้เธอตกใจสะดุ้งและได้สติไปในตัว
"ไม่...ไม่มีอะไรค่ะคุณแม่ เดี๋ยวเจ้าเอยไปอาบน้ำแต่งตัวเตรียมไปทำงานก่อนนะคะ" เธอรู้สึกตัวก็รีบสลัดความคิดและเสียงที่ได้ยินนั้นออกจากภวังค์ทันที
......................