8

1170 Words
บัณฑิตานั่งมองเจ้าของห้องที่จับโยนเสื้อผ้าลงมาบนเตียง เธอมองชุดสวยจากแบรนด์เนมดังที่มีทั้งใส่แล้วและยังไม่ใส่ สลับกับมองหน้าเพื่อนรักที่ไม่คิดจะหยุดการกระทำของตัวเอง “นี่เนย แกจะโละทิ้งเสื้อผ้าทั้งตู้เลยหรือไง” บัณฑิตาอดที่จะถามไม่ได้ “ก็เสื้อผ้ามันเก่าแล้ว บางตัวฉันก็ใส่ไม่ได้ เอาไว้ในตู้ก็รกเปล่าๆ เอาไปบริจาคให้คนอื่นดีกว่า” ชเนตตีพูดพร้อมกับโยนเสื้อผ้าชุดสวยที่ไม่ต้องการลงไปกองกับอีกหลายสิบชุด “แต่ที่ฉันเห็น บางตัวแกยังไม่ใส่เลยนะ ดูตัวนี้สิ ป้ายราคายังไม่แกะออกเลย โอ้โห! ตัวล่ะตั้งหมื่นเจ็ด แกจะโละทิ้งเหรอ” ผู้พูดคว้าชุดเดรสราคาแพงออกจากกอง ก่อนจะยื่นให้เพื่อนดู แต่ทว่าเจ้าของเสื้อผ้าไม่สนใจคิดจะหันมามอง “ฉันไม่ชอบตัวนั้น ใส่แล้วมันไม่เข้ากับฉัน” ชเนตตีบอกทั้งที่ไม่หันไปมองว่าเพื่อนรักหมายถึงชุดไหน “แล้วแกซื้อมาทำไม” “ก็อยากซื้อ” ชเนตตีตอบอย่างไม่ใส่ใจ “ฉันรวย มีเงิน จบป่ะ” “เออจบ แกพูดอย่างนี้ฉันไม่จบก็คงไม่ได้” บัณฑิตารู้ว่าเพื่อนรักรวย และรวยมากด้วย แต่เธอก็คิดว่า หากใช้จ่ายฟุ่มเฟือยและไม่เห็นคุณค่าของเงินแบบนี้ รวยแค่ไหนก็หมด “แกว่าฉันจะเอาไปบริจาคที่ไหนดีล่ะ ช่วยคิดหน่อยสิ ฉันคิดไม่ออก” นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ชเนตตีนำเสื้อผ้าราคาแพงของตนไปบริจาคตามสถานที่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสถานสงเคราะห์ สถานกักขังเยาวชนหญิง สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าทั้งในกรุงเทพและปริมณฑล บ้านพักฉุกเฉิน ประชาสงเคราะห์และอีกหลายแห่ง จนเธอไม่รู้ว่าจะไปบริจาคที่ไหนแล้ว “ฉันว่านะ แกเอาไปบริจาคให้สถานที่ต่างๆ เป็นเสื้อผ้ามันก็ได้ประโยชน์อะไรไม่มาก แกลองคิดดูนะว่า เสื้อผ้าแกแต่ละชุดดีๆ และอลังการทั้งนั้น แกคิดเหรอว่าคนที่แกบริจาคให้เขาจะใช้ประโยชน์จากมันได้เต็มที่ อย่างชุดราตรีชุดนี้ แกคิดว่าใครจะบ้าใส่อยู่กับบ้าน มันเป็นชุดออกงานหรูนะแก แล้วสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า บ้านปรานี หรือสังคมสงเคราะห์จะเอาชุดของแกไปบริจาคให้ใคร ฉันไม่ได้ดูถูกนะ แต่ชาวบ้านร้านตลาดมีโอกาสใส่เหรอ” “แล้วฉันจะทำยังไงดีล่ะ” ชเนตตีถามอย่างจนปัญญา “ฉันว่านะแกเอาไปขายแล้วเอาเงินไปบริจาคดีกว่า เงินที่แกบริจาคยังช่วยเหลือได้เต็มที่มากกว่าเสื้อผ้าที่จะเอาไปให้พวกเขา” บัญฑิตาเสนอความคิดเห็น “เอาไปขายเหรอ” เจ้าของเสื้อผ้าพูดเชิงถาม “ไปขายที่ไหนล่ะ” “อีกสามวันจะมีตลาดนัดไฮโซ คุณหญิงประภาพรเป็นคนจัดงาน พวกเซเลบทั้งหลายจะเอาข้าวของเครื่องใช้ที่ไม่ใช้แล้วมาขาย แล้วเอาเงินที่ขายได้ไปบริจาคให้มูลนิธิคุณหญิงประภาพร เพื่อไปเป็นทุนการศึกษาของเด็กขาดแคลนทุนทรัพย์ในการเรียน ฉันว่าแกทำอย่างนี้ยังได้ประโยชน์มากกว่านะ” บัณฑิตาเสนอ ชเนตตีคิดตาม “ไปขายของก็ต้องยืนขาย แถมต้องบอกราคาตัวนั้นตัวนี้อีก ยืนขายก็เมื่อย พูดมากก็เมื่อยปากแล้วยังจะต้องเหนื่อยอีก สู้ฉันเอาเงินไปบริจาคเลยไม่ดีกว่าเหรอ ไม่เหนื่อย ไม่เมื่อยแถมยังได้บุญ” คนที่ไม่อยากเหนื่อยพูดขึ้น แค่คิดชเนตตีก็เหนื่อยแล้ว หากทำจริงๆ คงไม่ไหว วิธีการบริจาคด้วยเงินน่าจะสบายที่สุด บัณฑิตากลอกตาไปมากับความไม่เอาถ่านของเพื่อนรักที่นับวันจะมากขึ้นและมากขึ้น จนเธอเองไม่รู้ว่าจะเตือนอย่างไรดี เพราะพูดไปก็เข้าหูซ้ายทะลุออกหูขวา “แกก็ขยับตัวทำโน่นทำนี่บ้างสิ ไม่ใช่นั่งกินนอนกิน ดีแต่เที่ยวกับซื้อของ ดูสิแกเริ่มจะอ้วนขึ้นนะ พุงก็ออกนิดๆ แล้ว ขืนขี้เกียจทำอะไรนั่งกินนอนกิน ฉันว่าแกจะกลายเป็นธิดาช้างเข้าสักวัน” ประโยคนี้เองที่ทำให้ชเนตตีรีบลุกขึ้นยืนแล้วไปหมุนดูตัวเองหน้ากระจก “ฉันอ้วนขึ้นเหรอ ทำไมฉันไม่รู้สึกเลยล่ะ” “แกจะรู้สึกได้ยังไงเพราะแกไม่ได้มองเห็นตัวเองนี่ ฉันมองเห็นแก ฉันเลยพูดได้” “มิน่าล่ะ ฉันถึงใส่ชุดที่เพิ่งซื้อมาอาทิตย์ก่อนไม่ได้ ที่แท้อ้วนขึ้นนี่เอง” ชเนตตีบ่นอยู่หน้ากระจก “ทีนี้แกจะทำอะไรเพื่อที่จะลดความอ้วนได้หรือยัง ไปทำงานกับคุณป้าก็ได้นะ ไปฝึกๆ ไว้ถ้าเผื่อคุณป้าวางมือเมื่อไหร่แกจะได้ทำงานแทนได้” บัณฑิตาแนะนำเพื่อนด้วยความหวังดี เรียนจบมาหนึ่งปีแล้วแต่ชเนตตีไม่คิดจะเรียนต่อ หรือแม้แต่จะทำงาน ไปเที่ยวที่นั่นที่นี่ ทำตัวลอยชายไม่คิดจะทำอะไรทั้งสิ้น ปล่อยให้สุภัทราบริหารงานเพียงคนเดียว ไม่คิดจะไปช่วยแบ่งเบาภาระ ส่วนตัวเธอนั้นก็ไม่ได้นิ่งเฉย ระหว่างรอการตอบรับจากมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในอังกฤษ ประเทศที่เธอจะไปศึกษาต่อ บัณฑิตาก็เข้าไปฝึกงานในบริษัทของครอบครัวไปพลางๆ ไม่ได้ทิ้งเวลาไปวันๆ เหมือนชเนตตี “งั้นไปกันเลย” เจ้าของห้องพูดขึ้นขณะที่เดินไปหยิบกระเป๋าสะพายมาคล้องบ่า “ไปไหน อย่าบอกนะว่าแกจะไปทำงานที่บริษัทหรือว่าจะไปออกกำลังกาย” คนพูดคาดเดา “เปล่า” ชเนตตีตอบสั้นๆ “ไปช็อปปิ้ง ไปซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่เพราะชุดเก่าฉันใส่ไม่ได้แล้ว” “ยัยเนย แกฟังที่ฉันพูดหรือเปล่าเนี่ย” บัณฑิตาแหวใส่ “ก็แกบอกให้ฉันขยับตัวทำอะไรบ้างไม่ใช่เหรอ ฉันก็จะทำอยู่นี่ไง การไปช็อปปิ้งคือการขยับตัวหรือออกกำลังกายอย่างหนึ่งไง ขยับขาเดินก็ออกกำลังกายขา มือก็ขยับเลือกซื้อเสื้อผ้ากับจ่ายตังค์ ฉันก็ถือว่าบริหารมือ ยิ่งซื้อมากยิ่งได้ประโยชน์ต่อร่างกายมาก เห็นไหมว่าฉันขยับอย่างที่แกบอก ไปเหอะ ฉันอยากใช้เงินเต็มแก่แล้ว” เป็นคำแก้ตัวที่บัณฑิตาได้ยินแล้วอยากจะเอาหัวโหม่งพื้น นิสัยของชเนตตีแก้ไม่หายกับเรื่องนี้ ซึ่งเธอคิดว่าคงไม่มีวันหายง่ายๆ คนถูกฉุดและหวังดีกับเพื่อนจึงลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกไปจากห้องพร้อมกับเพื่อนสนิทอย่างเสียมิได้ ทั้งยังไม่อาจห้ามชเนตตีได้ด้วย
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD