ทันทีที่พรพิรุณกลับมาถึงห้องก็จัดการอาบน้ำแต่งตัวใหม่ด้วยชุดนักศึกษาเรียบร้อย วันนี้เธอมีเรียนแค่ช่วงเช้า อีกทั้งยังเป็นวันสุดท้ายของกำหนดจ่ายค่าเทอม แม้ร่างกายโรยแรงร้อนเป็นไฟ ศีรษะที่กำลังปวดตุบๆ
จนแทบจะระเบิดอยู่รอมร่อ แต่ยังต้องฝืนตัวเองไว้เพื่อไปเรียนในวันนี้ให้ได้
“ฝนไม่สบายเหรอ”
รุ่งรวินที่นั่งคุยอยู่กับจริญญาหันไปมองเพื่อนสาวอีกคนที่เดินเข้ามาในห้องด้วยสีหน้าซีดเผือดด้วยความเป็นห่วง
“อืม” พรพิรุณเดินมานั่งลงประจำที่พลางขานรับคำของเพื่อนเบาๆ ในลำคอ ซบหน้าลงหมอบไปกับเก้าอี้เลกเชอร์แล้วหลับตาลง
สองสาวรีบลุกจากที่นั่งเข้ามายืนดูเพื่อนที่นอนเอาหน้าแนบไปพื้นเก้าอี้ และก็เป็นรุ่งรวินอีกที่เอื้อมมือไปจับหน้าผากของเพื่อน ก่อนต้องรีบชักมือกลับ
“ไอ้ฝน! ตัวร้อนจี๋ขนาดนี้ทำไมไม่ไปหาหมอ มาเรียนทำไมวะ” รุ่งรวินร้องบอกเพื่อนเสียงหลง สีหน้าตอนนี้เป็นห่วงเพื่อนสาวที่ตัวร้อนเป็นไฟมาก
จริญญาได้ยินแบบนั้นจึงรีบจับที่แขนของพรพิรุณบ้าง และมีอาการไม่ต่างจากรุ่งรวิน “ไปนอนห้องพยาบาลก่อนมั้ยแก”
พรพิรุณปรือตาขึ้นเล็กน้อย เงยหน้าขึ้นมามองเพื่อนพลางส่ายหน้าช้าๆ “กินยาลดไข้มาแล้วแก เดี๋ยวก็ดีขึ้น” เสียงแหบแห้งตอบกลับเพื่อน แล้วซบหน้าลงกับเก้าอี้อีกครั้ง
“ไหวแน่นะเว้ย” รุ่งรวินถามย้ำกลับ
รุ่งรวินสบตากับจริญญาที่พยักพเยิดหน้าส่งให้อย่างปลงๆ
แล้วจึงหลุบสายตากลับมามองคนป่วยที่ผงกศีรษะตอบรับทั้งๆ ที่ตายังปิดสนิท
ทั้งสองสาวถอนหายใจเบาๆ กับความดื้อของเพื่อน ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่อาจารย์เดินเข้ามาในห้องพอดี จึงได้เห็นคนป่วยพยายามฝืนตัวขึ้นมานั่งเรียนจนจบคาบเรียนได้ตลอดสามชั่วโมงเต็ม
...สุดยอดเลยเพื่อนเธอ รุ่งรวินและจริญญาอยากจะยกนิ้วให้นักศึกษาดีเด่นในวันนี้
หลังเรียนเสร็จพรพิรุณจึงรีบเก็บของเพื่อไปจ่ายค่าเทอม แม้อาการป่วยยังไม่มีท่าทีว่าจะลดลงเลยสักนิด และจะได้กลับห้องไปนอนพักผ่อนอย่างที่ใจหวังเสียที
“แกจะกลับเลยมั้ย เดี๋ยวฉันสองคนพาไปส่งห้อง” จริญญาว่าขึ้นด้วยความเป็นห่วง ตั้งใจไว้แล้วว่าอย่างไรก็ต้องไปส่งเพื่อนให้ถึงคอนโดมิเนียม
“ฉันจะไปจ่ายค่าเทอมก่อน” ครั้งนี้ไม่ตอบเหมือนอย่างเคย
พรพิรุณบอกจุดประสงค์กับเพื่อนทั้งสอง แม้ตากำลังจะปิด เพราะถูกพิษไข้เล่นงานอย่างหนัก บวกกับร่างกายที่ปวดระบมไปทั้งตัว
“อ้าว นี่แกยังไม่จ่ายอีกเหรอวะ” จริญญาถามกลับ ปกติแล้วพรพิรุณไม่เคยจ่ายค่าเทอมช้ากว่ากำหนดขนาดนี้
“อย่าบอกนะว่าที่เครียดๆ ช่วงนี้เป็นเพราะเรื่องเงินค่าเทอมน่ะ”
รุ่งรวินเอ่ยขึ้น เธอพอจะจับใจความเรื่องราวของพรพิรุณมาปะติดปะต่อกันได้แล้ว
พรพิรุณมองเพื่อนทั้งสองที่จ้องด้วยสายตาคาดคั้นแล้วจึงพยักหน้ารับช้าๆ อย่างไม่ปิดบัง แต่พอเห็นริมฝีปากของรุ่งรวินกำลังจะอ้าขึ้นก็รีบสวนกลับไปก่อน
“พวกแกอย่าเพิ่งถามอะไรตอนนี้ได้มั้ย มาช่วยกันแบกฉันไปจ่ายค่าเทอมก่อน”
“เออๆ” รุ่งรวินขานรับอย่างขอไปที กระนั้นก็ยอมเดินมาช่วยพยุงเพื่อนให้ลุกจากโต๊ะ
จากนั้นทั้งสามจึงพากันเดินออกจากห้องเรียนเพื่อไปจ่ายค่าเทอม
หลังจากชำระเงินเรียบร้อยแล้ว พรพิรุณยืนนิ่งดูใบเสร็จก*********นด้วยน้ำตาตกใน เมื่อคิดขึ้นได้ว่าเงินก้อนนี้ได้มาเพราะอะไร ก่อนจะต้องกลืนก้อนน้ำตาเอาไว้ เพราะเพื่อนทั้งสองกำลังมองเธออยู่
“มองไร” เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเพื่อนทั้งสองที่มองมาด้วยสายตาสงสัย จึงขำออกมาเบาๆ แล้วเอ่ยถามกวนๆ
รุ่งรวินเบะปากพลางเอื้อมมือมาเกี่ยวแขนเพื่อนเอาไว้ กลัวว่าคนป่วยจะล้มไปนอนกับพื้นก่อนถึงเตียง แต่ไม่ลืมยกนิ้วขึ้นมาชี้หน้าเพื่อนอย่างคาดโทษเอาไว้
“ถึงห้องก่อนเถอะไอ้ฝน แกโดนฉันซักฟอกความจริงจนหมดเปลือกแน่” จริญญามองหน้ารุ่งรวินแล้วพากันส่ายศีรษะ
แล้วลากสายตากลับมาอยู่ที่คนป่วยด้วยความเป็นห่วงเป็นใย “เรียบร้อยแล้วใช่มั้ย”
“อือ” พรพิรุณพยักหน้า ขานรับเบาๆ ในลำคอ
“งั้นกลับกันเถอะ เดี๋ยววันนี้ฉันจะนอนเฝ้าไข้แกเอง” จริญญาเอ่ยขันอาสาเฝ้าไข้ด้วยกลัวจะมีเหตุฉุกเฉินกับเพื่อน
พรพิรุณยิ้มรับด้วยความซาบซึ้งใจ “ขอบใจนะจ๋า” ก่อนก้มลงมองเพื่อนสาวตัวเล็กข้างกาย “แกก็ด้วยนะรุ่ง”
“ไม่ต้องมาทำสายตาซึ้งๆ เลยนะ แกยังมีความผิดติดตัว รู้ไว้ด้วยไอ้ฝน” รุ่งรวินยิ้มบางๆ แต่ก็แสร้งทำเป็นโกรธเพื่อน
พรพิรุณ และจริญญามองคนสะบัดหน้าหนีแล้วพากันหัวเราะขำออกมาเบาๆ จากนั้นทั้งสามจึงพากันกลับคอนโดมิเนียมของพรพิรุณ
หลังจากกลับมาถึงห้อง พรพิรุณก็ล้มตัวลงบนเตียงนอนแล้วหลับไปในที่สุดพร้อมกับมีอาการไข้ขึ้นสูง โชคดีที่มีเพื่อนทั้งสองคอยเฝ้าดูแลอยู่ไม่ห่าง
หญิงสาวตื่นขึ้นมาในช่วงกลางดึกก็มีข้าวต้มร้อนๆ ฝีมือจริญญายื่นส่งมาให้กิน พอกินข้าวแล้วก็ต้องรับยามากินตามคำสั่งของเพื่อนอย่างว่าง่าย ดวงตากลมโตเห็นเพื่อนทั้งสองจ้องตาเขม็ง จนต้องแอบหลบสายตาด้วยความหวั่นใจ
“แกมีอะไรจะอธิบายให้พวกฉันฟังมั้ยฝน” รุ่งรวินเอ่ยเสียงนิ่ง ใบหน้าที่เคยมีแต่ความสดใสตอนนี้เครียดขรึม จ้องเพื่อนตาเขม็ง
จริญญาเองก็มีอาการไม่ต่างจากรุ่งรวิน เธอสบตากับเพื่อนนิ่ง ก่อนหลุบลงมากวาดสายตาไปตามร่างกายของเพื่อนที่อยู่ภายใต้ชุดนอน ซึ่งเธอเป็นคนจัดการเช็ดตัวให้ทุกสองชั่วโมง และยังเป็นคนเปลี่ยนชุดให้เองกับมือ
เพราะฉะนั้นจึงได้มีโอกาสเห็นร่องรอยที่ปรากฏตามร่างกายของเพื่อน
พรพิรุณลอบกลืนน้ำลาย จากตอนแรกตั้งใจจะโกหกเพื่อนออกไป แต่ดูเหมือนว่าในตอนที่เธอเผลอนอนหลับไปเพื่อนทั้งสองจะเห็นรอยตามร่างกาย จนเกิดความสงสัยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
เธอระบายลมหายใจยาวๆ ไล่อาการจุกอยู่กลางอก เอ่ยปากเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างไม่ปิดบัง
“ไอ้ฝน! ทำไมแกคิดทำแบบนี้วะ” จริญญาร้องเสียงหลง กอดอกยืนมองเพื่อนสาวด้วยสายตาตกใจอยู่ข้างเตียง
รุ่งรวินแทบพูดอะไรไม่ออก เธอเห็นเพื่อนที่ร้องไห้ออกมาปานจะขาดใจจึงดึงเข้ามากอดปลอบ “เรื่องใหญ่ขนาดนี้ทำไมไม่บอกพวกฉันก่อน”
พรพิรุณซบหน้าลงกับไหล่ของรุ่งรวิน หลับตาปล่อยน้ำตาให้ไหลลงมาเป็นครั้งสุดท้าย บอกกับตัวเองแล้วว่าจากนี้จะไม่อ่อนแออีก ก่อนผละตัวออกจากอ้อมแขนของเพื่อน ยกมือขึ้นเช็ดน้ำตา มองเพื่อนทั้งสองอย่างไม่หลบสายตา
“ไอ้พี่นุทำไมถึงเลวได้ขนาดนี้วะ” รุ่งรวินว่าพี่ชายเพื่อนอย่างโกรธแค้นแทน
จริญญาขมวดคิ้วใส่เพื่อนที่พูดประโยคไม่ดีออกมา ก่อนหันไปหาพรพิรุณว่าจะมีสีหน้าอย่างไร แต่พอเห็นแววตาว่างเปล่ายามรุ่งรวินต่อว่าพี่ชายเพื่อนก็ต้องลอบถอนหายใจออกมาอย่างเบาใจ
“แกไม่ต้องมาทำหน้าดุฉันเลยไอ้จ๋า ไอ้พี่นุมันสมควรโดนด่าแล้ว นี่มันทำให้เพื่อนเราลำบากนะเว้ย เป็นพี่ซะเปล่า แต่มาหลอกขโมยเงินน้องได้ลงคอ ไม่ให้ด่าว่าเลว ฉันก็ไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาด่าแล้ว”
รุ่งรวินว่าขึ้นแบบไม่ยอม หันมองหน้าพรพิรุณด้วยความสงสารจับใจ
พรพิรุณไม่เอ่ยตำหนิเพื่อนที่ต่อว่าพี่ชาย เพราะเธอเองก็เห็นด้วยกับเพื่อนทุกประการ
“ฉันไม่อยากให้แกต้องมาลำบากกับเรื่องของฉัน พวกแกเองก็ไม่ได้มีมากขนาดนั้น ฉันรู้ และฉันก็ยังอยากเรียนต่อ ฉันไม่มีทางเลือกจริงๆ” เสียงหวานเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเบา
แม้พวกเธอทั้งสามคนจะเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยเอกชน แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า ครอบครัวของพวกเธอจะร่ำรวยอะไรกันมากมายถึงขนาดเหลือกินเหลือใช้
รุ่งรวินเป็นเพียงลูกสาวเจ้าของสวนปาล์ม ครอบครัวเป็นเกษตรกร มีน้องสาว และน้องชายอีกสองคนที่กำลังเรียนในระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายและมหาวิทยาลัย
ส่วนครอบครัวของจริญญานั้น มีรีสอร์ตเล็กๆ ที่จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นแหล่งรายได้เดียวที่ใช้เลี้ยงครอบครัว เป็นไปไม่ได้เลยที่จะสามารถช่วยเหลือเธอโดยที่ไม่ลำบากไปด้วย
คำตอบของเพื่อนทำเอาทั้งสองสาวน้ำตาไหลออกมาตามๆ กัน ก่อนจะเข้าไปกอดปลอบพรพิรุณไว้ด้วยความสงสาร และขอโทษที่ช่วยเหลืออะไรไปได้มากกว่านี้
พรพิรุณกอดตอบเพื่อนทั้งสองแน่นราวกับหาที่พักพิงหัวใจอันแสนหนักอึ้ง แม้บอกตัวเองว่าจะไม่เสียใจ แต่พอนึกย้อนกลับไปถึงสิ่งที่เกิดกับตัวเองก็อดที่จะเสียน้ำตาไม่ได้