บทนำ_1
“นะฝน ช่วยพี่หน่อยเถอะ”
วิษณุมองน้องสาวเพียงคนเดียวด้วยสีหน้าและแววตาขอร้องระคนอับจนหนทาง
พรพิรุณนั่งอยู่บนโซฟาชุดเล็กกลางห้องรับแขกภายในคอนโดมิเนียม ทอดสายตาไปที่พี่ชายต่างบิดาด้วยอาการหนักใจ มือบางกุมประสานกันไว้แน่นบนตัก ริมฝีปากเม้มเข้าหากันเป็นเส้นตรง ก่อนระบายลมหายใจออกมายาวเหยียด
“ไม่ใช่ว่าฝนไม่อยากช่วยนะพี่นุ แต่ตอนนี้ฝนมะ...”
“ไม่เป็นไร ฝนไม่อยากช่วยพี่ก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวพี่ไปหากู้นอกระบบมาเป็นค่ารักษาลูกเองก็ได้” วิษณุแทรกขึ้นทันทีเมื่อเห็นว่าน้องสาวกำลังจะ
เอ่ยปฏิเสธ
“พี่นุ มันไม่ใช่แบบนั้นพี่...” เอ่ยเรียกชื่อพี่ชายออกมาเสียงแผ่วเบา นิ่วหน้าด้วยความลำบากใจ
พรพิรุณเห็นสีหน้าเคร่งเครียดอยู่ตลอดเวลา ใบหน้าของเขาดูหม่นหมองจนเธอไม่กล้าพูดอะไรออกมาอีก มิหนำซ้ำบริเวณขอบตาที่ดำคล้ำราวกับคนอดหลับอดนอนมาหลายคืนนั่นอีกที่ทำให้เธอรู้สึกเหมือนน้ำท่วมปาก
แต่ถึงกระนั้นก็จนใจจะให้การช่วยเหลือ เพราะจำนวนเงินที่พี่ชายมาขอหยิบยืมไม่ใช่น้อยๆ เลย มันเป็นมรดกก้อนสุดท้ายที่มารดาเหลือทิ้งไว้ให้ก่อนที่ท่านจะเสีย เธอจำเป็นต้องใช้เงินก้อนนี้เพื่อจ่ายค่าเล่าเรียนในปีสุดท้ายของการเรียนในระดับมหาวิทยาลัยด้วยเช่นกัน
“ถ้าอย่างนั้นพี่ว่าพี่กลับก่อนดีกว่า ญากับลูกรอพี่อยู่ในรถนานแล้ว”
พูดจบวิษณุก็ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ไม่ลืมที่จะสอดสายตาชำเลืองท่าทีของน้องสาวไปด้วย
พรพิรุณก้มหน้าลงมองมือตัวเองนิ่งงันพลางขบคิดกับตัวเองอย่างหนักจนเผลอขบฟันลงมาบนริมฝีปากจนรู้สึกเจ็บ แล้วจึงเงยหน้าขึ้นมองพี่ชายต่างบิดาอีกครั้ง อึดใจต่อมาถึงได้เอ่ยขึ้น
“พี่นุต้องสัญญากับฝนนะว่าจะรีบหาเงินมาคืนฝนให้ทันเดือนหน้า ไม่อย่างนั้นฝนไม่มีเงินมาจ่ายค่าเทอมแน่ๆ”
...ยอมจนได้ ใจอ่อนให้พี่นุจนได้สินะฝน
เธอต่อว่าตัวเองในใจที่ยอมให้พี่ชายยืมเงินก้อนสุดท้ายง่ายๆ
วิษณุฉีกยิ้มกว้างเมื่อได้ยินประโยคที่รอคอยจากน้องสาว เขาลุกขึ้นจากที่นั่งของตัวเอง เดินมานั่งข้างๆ น้องสาวพลางดึงร่างบางเข้ามากอดไว้ด้วยความดีใจ
“ขอบใจนะฝน ขอบใจมากจริงๆ พี่สัญญาเลยว่าจะรีบหาเงินมาคืนให้ฝนเร็วๆ นะ”
พรพิรุณยิ้มบางๆ ยกมือขึ้นกอดตอบพี่ชายไว้เช่นเดียวกัน ถึงแม้เธอและพี่ชายจะไม่ได้อยู่ด้วยกัน แต่เธอรักพี่ชายคนนี้มาก ตั้งแต่ที่มารดาเสียไปเมื่อสองปีก่อน เธอก็ไม่เหลือใครอีกแล้วนอกจากวิษณุเพียงคนเดียวที่เป็นญาติสนิทที่สุด
“เราเหลือกันแค่สองคนพี่น้องแล้วนะพี่นุ พี่นุเดือดร้อนฝนก็ต้องช่วยสิ...” เธอดันตัวพี่ชายออกห่าง “แล้วหลานฝนเป็นยังไงบ้าง ช่วงนี้ฝนติดเรียน เลยไม่ได้ไปเยี่ยมน้องครีมเลย”
“หมออยากให้ผ่าตัดน่ะ ตอนนี้พี่กับญาเองก็เครียดกันมาก กลัวว่าลูกจะไม่หาย” วิษณุแสร้งทำเสียงเศร้าเมื่อต้องพูดถึงลูกสาวที่ไม่ค่อยแข็งแรง เพราะมีโรคประจำตัวมาตั้งแต่เกิด สาเหตุเป็นเพราะคลอดก่อนกำหนด
พรพิรุณรู้สึกเห็นอกเห็นใจพี่ชาย อีกทั้งยังสงสารไปถึงหลานสาววัยเพียงห้าขวบด้วยที่เป็นโรคหัวใจพิการตั้งแต่กำเนิด เธอเอื้อมมือไปจับมือหนาของพี่ชายไว้พลางยิ้มบางๆ อย่างให้กำลังใจ
“ฝนเชื่อว่าสักวันหลานจะหาย พี่นุกับพี่ญาต้องเข้มแข็งนะ”
“ขอบใจนะฝน” วิษณุเอ่ยบอก “เอ่อ...”
พรพิรุณเลิกคิ้วเชิงถาม “คะ”
“ฝนโอนเงินให้พี่ตอนนี้เลยได้มั้ย เดี๋ยวพี่จะต้องรีบกลับแล้ว”
“อ๋อ ได้ค่ะ” เธอพยักหน้ารับ ตอบกลับไปเสียงเบา
ก่อนเอื้อมมือไปหยิบกระเป๋าเป้คู่ใจมาวางลงบนตัก และล้วงมือเข้าไปควานหาโทรศัพท์มือถือขึ้นมาจัดการกดโอนเงินผ่านแอปพลิเคชันธนาคารที่มีอยู่ในเครื่องให้พี่ชายทันที โดยไม่ทันได้ไตร่ตรองอะไรอีก
ตื้ดๆ
วิษณุก้มหน้าลงดูจำนวนตัวเลขที่เข้ามาในบัญชีของตัวเองทางโทรศัพท์มือถือ ก่อนจะรีบเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากางเกงตามเดิมแล้วถึงได้ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง
“พี่ว่าพี่กลับก่อนดีกว่า พี่ไปนะฝน” วิษณุพูดจบก็หมุนตัวเดินออกจากคอนโดมิเนียมของน้องสาวทันที
ทว่าก่อนที่จะเปิดประตูออกจากห้องนั้น เขาหันหน้ากลับมามองน้องสาวเพียงเสี้ยวนาทีแล้วหันกลับมาเอื้อมมือไปจับลูกบิดประตูให้เปิดออก ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่มุมปากหนากระตุกยิ้มอย่างร้ายกาจ โดยที่เจ้าของห้องไม่มีวันได้เห็นรอยยิ้มนี้แน่นอน จากนั้นจึงได้เดินออกจากห้องไป
พรพิรุณหรี่ตามองตามหลังพี่ชายด้วยความงุนงงกับความรวดเร็วที่เกิดขึ้น ดวงตาคู่สวยสีน้ำตาลเข้มทอประกายแสงหม่น ริมฝีปากบางที่กำลังจะเอ่ยขึ้นเตือนพี่ชายอีกครั้งเป็นอันต้องหุบลงแล้วเม้มปากเข้าหากัน ก่อนต้องสะบัดหน้าเล็กน้อยเพื่อไล่ความคิดวูบหนึ่งทิ้งไป ยกมือขึ้นเขกศีรษะตัวเองเบาๆ
“บ้าน่ายัยฝน แกคิดอะไรของแกเนี่ย พี่นุไม่มีทางหลอกแกหรอกน่า...เลิกคิด เลิกคิด” หญิงสาวส่ายหน้าช้าๆ กับความคิดของตัวเอง
จากนั้นจึงลุกเดินหายเข้าไปในห้องนอนเพื่ออาบน้ำเปลี่ยนชุดใหม่ แล้วออกมาทำกับข้าวง่ายๆ รับประทานคนเดียวเหงาๆ เหมือนอย่างเคย
ชีวิตของเธอในตอนที่มารดายังมีชีวิตอยู่ถือว่ามีความเป็นอยู่อย่างสุขสบาย ไม่ต้องดิ้นรนกับการใช้ชีวิตมากนัก เพราะเป็นถึงลูกสาวเจ้าของร้านอาหารทะเลชื่อดังบนเกาะสีชัง แต่ทว่าพอมารดาเสียชีวิต เนื่องจากอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อสองปีก่อน ร้านอาหารที่เคยมีชื่อเสียง อีกทั้งยังเป็นแหล่งรายได้หลักของครอบครัวก็ต้องถูกปิดตัวลงไปด้วยในเวลาต่อมา เพราะไม่มีใครสามารถบริหารต่อได้ดีเท่ากับตอนที่มารดายังมีชีวิตอยู่
พรพิรุณมีพี่ชายต่างบิดาหนึ่งคนชื่อวิษณุ เธอและพี่ชายอายุห่างกันเกือบรอบ วิษณุเป็นคนไม่ค่อยเป็นโล้เป็นพายเท่าไรนัก หยิบจับอะไรก็มีแต่เจ๊งและขาดทุน และนั่นก็หมายถึงร้านอาหารของผู้เป็นมารดาด้วยเช่นกัน
สองปีที่ผ่านมาเธออยู่ได้ด้วยเงินมรดกจากมารดาที่เก็บหอมรอมริบไว้ให้ ถึงแม้จะใช้ชีวิตแบบไม่ได้ขัดสนมากนัก แต่เธอก็ตระหนักไว้เสมอว่าไม่ควรใช้ชีวิตอย่างประมาท จากนั้นเธอจึงเริ่มทำงานพาร์ตไทม์ระหว่างเรียนและช่วงปิดเทอมมาโดยตลอด จนพอได้มีกินมีใช้แบบไม่ขัดสนแต่ไม่ถึงกับเหลือเก็บ
ยิ่งในช่วงนี้เธอใกล้จะเรียนปีสุดท้ายด้วยแล้ว เลยทำให้ไม่ค่อยมีเวลาเหมือนเมื่อก่อน เพราะเรียนหนักมากจนต้องเลิกทำงานไป เงินเก็บที่มีเริ่มร่อยหรอลงเรื่อยๆ กระนั้นเรื่องนี้จะไม่เป็นปัญหาเลยหากเธอไม่ได้เรียนในมหาวิทยาลัยเอกชนที่มีค่าเทอมแพงหูฉี่ แต่เพราะหยุดเรียนกลางคันไม่ได้แล้ว จึงยอมกัดฟันสู้เรียนให้จบและรีบหางานทำให้ได้โดยเร็ว