เด็กอกตัญญู

2881 Words
“เป็นอย่างไร รสดีหรือไม่” เหมาไป่เอ่ยถามหลานสาวและหลายชาย หลังจากตักอาหารให้ทั้งสองได้ลองทาน เช้าวันนี้เหมาไป่เข้าครัวทำอาหารให้หลานๆ ใบหน้าเหี่ยวย่นมองไปที่หลานทั้งสองด้วยสายตาที่คาดหวัง “ดีขอยับ ดีที่สุด” “รสดีมากเจ้าค่ะท่านยาย” ลี่มี่ยกยิ้มขึ้นมาเต็มใบหน้า ไม่ต่างจากลี่หมิงที่บัดนี้ตักข้าวเข้าปากอย่างสุขใจ อาหารที่ท่านยายทำมิได้เลิศรสราวกับนั่งกินในเหลาอาหาร แต่ทว่ากลับเต็มเปี่ยมไปด้วยความใส่ใจและรักใคร่ “เช่นนั้นก็กินให้มาก ประเดี๋ยวยายจะออกไปหาของป่าบนเขา วันนี้พวกเจ้าทั้งสองก็พักอยู่ที่เรือนเถิด” แม้เหมาไป่จะมีอายุมากแล้ว แต่นางมิมีบุตรคอยเลี้ยงดู ทั้งร่างกายยังแข็งแรงพอจะขึ้นเขาได้ นางจึงอาศัยการเก็บของป่ามาเลี้ยงปากท้อง “ท่านยายมิต้องเข้าป่าแล้วเจ้าค่ะ ท่านอายุมากแล้ว ข้ากลัวว่าท่านจะเป็นลมล้มพับไป” “ยายพอมีกำลัง เจ้าอย่าได้เป็นห่วงเลย” “มิห่วงมิได้เจ้าค่ะ พวกเรามีท่านยายเพียงคนเดียวนะเจ้าคะ ต่อจากนี้มี่เอ๋อร์ผู้นี้จะเป็นคนหาเงินมาใช้จ่ายในครอบครัวเองเจ้าค่ะ ท่านยายอย่าได้กังวลไป” “แต่-” เหมาไป่เข้าใจความห่วงใยของหลานสาว แต่จะให้นางปล่อยหลานสาวหาเงินทอง เพื่อเลี้ยงปากท้องของคนทั้งครอบครัวคงจะมิได้ “เอาตามที่ข้าว่าเถิดเจ้าค่ะ ข้าอยากให้ท่านยายช่วยอยู่ดูแลอาหมิงด้วย” “เช่นนั้นก็ได้ แต่หากมีสิ่งใดให้ยายช่วย เจ้าต้องรีบบอกยาย เข้าใจหรือไม่” “เจ้าค่ะ” “ขอยับ” เด็กชายตัวน้อยมิได้รู้เรื่องราวอันใดแม้แต่น้อย แต่เมื่อได้ยินพี่สาวเอ่ยตอบรับ เขาก็รีบทำตามทันใด จนผู้เป็นยายและพี่สาวอดที่จะหัวเราะออกมาด้วยความเอ็นดูมิได้ ปัง ปัง ปัง! “ท่านป้าเหมา อยู่หรือไม่ขอรับ” ลี่มี่ได้ยินเสียงเรียกจากนอกเรือนจึงลุกขึ้นไปเปิดประตู ก็พบว่าเป็นท่านลุงชุนไห่และพี่ชุนเต๋อ นางจึงเชิญทั้งสองเข้ามาในเรือนก่อน “มีอันใดหรืออาไห่ มาแต่เช้าเช่นนี้” “ข้าได้ข่าวว่าลี่มี่กับลี่หมิงมาอาศัยอยู่กับท่านป้า จึงอยากมาดูให้แน่ใจขอรับ” ชุนไห่มองไปทางหลานทั้งสองคนด้วยสายตารู้สึกผิด “ข้ารับพวกเขาเป็นหลานแล้ว” “ข้าและน้องก็เต็มใจอยู่กับท่านยายเจ้าค่ะ” ลี่มี่กระชับอ้อมกอดน้องชายแน่น นางรู้ดีว่าท่านลุงและพี่ชุนเต๋อเป็นห่วงพวกนางเพียงใด แต่นางมิอาจกลับไปที่สกุลชุนได้อีก “เช่นนั้นข้าขอฝากทั้งสองด้วยนะขอรับ รบกวนท่านป้าด้วย” “มิต้องห่วง ข้าจะดูแลพวกเขาเอง” “ท่านพ่อขอรับ..เงิน” ชุนเต๋อที่นั่งเยื้องไปข้างหลัง เอ่ยทักผู้เป็นบิดา ชุนไห่เมื่อนึกได้ก็รีบนำถุงเงินออกมา “รับไว้เถิดนะมี่เอ๋อร์ ลุงแอบหยิบมาได้เพียงเท่านี้” ถุงเงินที่มีเงินราวร้อยอีแปะถูกวางไว้บนมือของลี่มี่ แม้ว่าเด็กสาวจะปฏิเสธสักเท่าใด ชุนไห่ก็มิยินยอม จนลี่มี่ยอมรับเงิน ชุนไห่และชุนเต๋อจึงได้กลับไป หลังจากนั้นลี่มี่ก็มาช่วยท่านยายทายาสมุนไพรให้กับน้องชาย รอยช้ำสีแดงม่วง ทำให้ลี่มี่นึกเสียใจที่ตนเองมิอาจไปช่วยน้องชายได้ทันการณ์ แต่ก็นึกดีใจที่เหตุการณ์นั้น ทำให้ตนเองตัดขาดกับสกุลชุนได้อย่างมิเหลือเยื่อใย มิแน่ว่าหากนางและน้องชายยังอยู่ในสกุลชุน อาจเกิดเหตุการณ์ที่ร้ายแรงกว่านี้ขึ้นได้ “นี่ก็ยามซื่อแล้ว (09:00 – 10:59 น.) เจ้าจะไปของานปักที่เรือนผู้ใหญ่บ้านก็ไปเถิด ยายจะดูอาหมิงให้ อย่าลืมของานมาเผื่อยายด้วยเล่า” “เจ้าค่ะท่านยาย” ลี่มี่จัดอาภรณ์ให้เข้าที่ก่อนจะสะพายย่ามขนาดไม่ใหญ่มากไปด้วย หากมีงานปักผ้าจำนวนมาก นางจะได้มิต้องยืมย่ามจากเรือนผู้ใหญ่บ้านกลับมา ขาเรียวก้าวเดินออกจากเรือนสกุลเหมาอยากแน่วแน่ วันนี้ถือเป็นการเริ่มต้นใหม่ เรือนใหม่ ครอบครัวใหม่ที่เต็มไปด้วยความสุขใจ ร่างบางสูดหายใจเข้าเต็มอก เดินตรงไปเรือนผู้ใหญ่บ้านด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ‘ท่านพ่อ ท่านแม่ หวังว่าท่านจะมองข้าอยู่ คอยเอาใจช่วยข้าด้วยนะเจ้าคะ’ ทว่า…ยิ่งเดินไปเรื่อยๆ ก็รู้สึกว่าตนเองนั้นเป็นจุดสนใจของคนรอบข้างมากเกินไป ไม่ว่าเดินไปทางใด ก็มีผู้คนมองมาที่นางด้วยสายตาแปลกประหลาด จะว่าโกรธเคืองก็มิใช่ ดูเหมือนจะเป็นสายตาที่ผิดหวังปนไม่ชอบใจเสียมากกว่า ลี่มี่เองก็ได้แต่มึนงง ทว่าความสงสัยของนางก็จางหายไปเมื่อได้ยินเสียงสนทนาของสตรีสามคนที่จับกลุ่มพูดคุยกันอยู่หน้าเรือน “มิน่าเชื่อว่าเด็กสาวตัวบางเพียงเท่านี้จะกล้าทำร้ายป้าสะใภ้ของตนเอง อกตัญญูเสียจริง” “นั่นน่ะสิ ยามชุนเจียงเอ่ยเล่าไปร่ำไห้ไป ข้าเองก็นึกว่านางเพียงแสร้งทำ แต่เมื่อเห็นรอยช้ำบนร่างกายนางแล้ว ข้ายังรู้สึกเจ็บปวดแทน” “จู่ๆ ก็เข้ามาทำร้ายป้าสะใภ้ เพียงเพราะนางเอ่ยตักเตือนน้องชาย ใช้มิได้เสียจริง” สตรีทั้งสามพูดคุยกันอย่างออกรสออกชาติ ทั้งที่รู้ว่าลี่มี่กำลังเดินมาทางพวกนาง แต่พวกนางกลับมิยอมหยุด ราวกับต้องการเอ่ยให้ลี่มี่ได้ยิน “เดิมที คิดว่าจะปากร้ายเหมือนมารดาเท่านั้น แต่นี่ถึงขั้นใช้กำลังทำร้ายผู้อื่น ยิ่งกว่ามารดานางเสียอีก” เสียงซุบซิบนินทาที่พาดพิงถึงผู้ที่สิ้นลมไปแล้ว ทำให้ลี่มี่มิอาจทนฟังได้อีกต่อไป “ขออภัยเจ้าค่ะ ที่ท่านเอ่ยมานั้น หมายถึงข้าใช่หรือไม่” ลี่มี่หน้าตึง เดินตรงไปหากลุ่มคนที่นินทานางอยู่ ลี่มี่ตั้งใจจะไปเอ่ยเล่าความจริงที่เกิดขึ้นให้สตรีเหล่านั้นได้ฟัง แล้วให้พวกนางพิจารณากันเอง แต่หญิงเหล่านั้นกลับเอ่ยวาจาก่อกวน “ข้าได้เอ่ยนามเจ้าหรือ” สีหน้ายียวนจากคนเหล่านั้น ทำให้ลี่มี่อดไม่ได้ที่จะตอบกลับไป นางมิได้ขอข้าวผู้ใดกินอีกต่อไปแล้ว จากนี้นางมิจำเป็นต้องยอมอ่อนให้ผู้ใด ดีมาย่อมดีตอบ แต่หากว่ามาร้ายก็เตรียมใจเอาไว้ได้เลย ว่าลี่มี่ผู้นี้จะมิอยู่เฉย “หึ! กล้านินทาผู้อื่น แต่มิกล้ารับผิด ทำตนเช่นคนขลาดเขลา หวาดกลัวกระทั่งเด็ก น่าสมเพชเสียจริง” “นี่เจ้ากล้าเอ่ยว่าผู้ใหญ่เช่นนี้ได้อย่างไร!” กลุ่มสตรีที่ยืนพูดคุยกันอยู่ถึงกลับตกใจที่ตนเองถูกเด็กสาวว่ากล่าวต่อหน้าต่อตา “ข้าได้เอ่ยนามพวกท่านหรือ…เช่นนั้นจะร้อนรนไปไย” ลี่มี่เอ่ยถามตาใส เมื่อเห็นว่าสตรีเหล่านั้นตกใจ หน้าเสียจนหลงลืมแม้กระทั่งวิธีพูด ร่างบางจึงมิใส่ใจ เดินตรงไปที่เรือนผู้ใหญ่บ้านทันที โดยที่มิรู้เลยว่าการกระทำของตนนั้น ยิ่งทำให้ข่าวลือความอกตัญญูของลี่มี่ถูกเล่าลือยิ่งขึ้นไปอีก ว่านอกจากจะอกตัญญูทำร้ายคนในครอบครัวแล้ว ยังสามหาวกล้าต่อปากต่อคำและด่าทอผู้ใหญ่ “เอ่อ ช่วงนี้งานปักไม่ค่อยจะมี เจ้าคงมาเสียเที่ยวแล้ว” “ไม่มีเลยหรือเจ้าคะ เช่นนั้นงานอื่นเล่าพอจะมีหรือไม่ ข้าทำได้หลายอย่างเลยนะเจ้าคะ” ลี่มี่มาถึงเรือนผู้ใหญ่บ้าน แต่กลับต้องผิดหวัง เมื่อท่านป้ากวนภรรยาของผู้ใหญ่บ้าน เอ่ยว่าช่วงนี้มิมีงานปักเข้ามาเลย “ช่วงนี้มีคนจ้างงานน้อย ทั้งในหมู่บ้านยังมีคนสนใจรับงานไปทำมากกว่าเดิม งานจักสาน งานถักก็มีคนมาทำมากพอแล้ว ข้าคงจะช่วยเจ้ามิได้” ท่านป้ากวนมีสีหน้าลำบากใจอย่างเห็นได้ชัด นางสงสารเด็กสาวไม่น้อย แต่จะให้ทำอย่างไรได้ ในเมื่อคนทั้งหมู่บ้านมิพอใจที่เด็กสาวเป็นคนอกตัญญู มิรู้จักบุญคุณคน ทั้งชุนเจียงเองก็มาร้องทุกข์ที่เรือนนางตั้งแต่เช้าตรู่ กว่าสามีของนางจะไกล่เกลี่ยให้ชุนเจียงมิเอาความเด็กสาวได้ ก็ใช้เวลาเป็นนานสองนาน หากว่านางยังให้งานกับเด็กสาวทำอยู่เช่นนี้ จะต้องเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ จนเกิดปัญหากับตำแหน่งผู้ใหญ่บ้านของสามีนางเป็นแน่ “ท่านคิดถูกแล้วที่มิช่วยเหลือคนอกตัญญูเช่นนาง หึ!” เสียงของเหล่าสตรีที่นั่งทำงานจักสานและงานถักที่เรือนของผู้ใหญ่บ้านดังขึ้น ทำให้ลี่มี่เข้าใจทันทีว่าสาเหตุที่นางมิได้งานกลับไปทำ คงจะเป็นเพราะสกุลชุนป่าวประกาศว่านางนั้นอกตัญญู ทำร้ายคนในครอบครัวเป็นแน่ “พวกท่านรู้หรือว่าเมื่อคืนเกิดสิ่งใดขึ้น จึงกล่าวว่าข้าอกตัญญู…หากพวกท่านกลับเรือนไป แล้วพบว่าน้องชายอายุเพียงสี่หนาวถูกป้าสะใภ้เฆี่ยนตีอย่างทารุณ ท่านจะมิโกรธหรือ พวกท่านจะปล่อยให้นางเฆี่ยนตีน้องชายของตนเองจนเป็นรอยแผลไปทั่วตัวหรือ” ลี่มี่เอ่ยออกมาอย่างเหลืออด คนในหมู่บ้านฟังความเพียงข้างเดียว แล้วยังกล้ากล่าวว่านางอย่างรุนแรง เช่นนี้ยุติธรรมแล้วหรือ “นี่!…” ผู้คนในเรือนผู้ใหญ่บ้านถึงกลับตกใจในสิ่งที่ได้ยิน บ้างก็เชื่อ บ้างก็ไม่เชื่อ แต่บางคนก็คิดว่าเด็กหญิงวัยเพียงสิบสี่หนาวถึงกลับยอมตัดขาดกับสกุล เห็นทีเรื่องที่นางพูดคงมีมูลอยู่ไม่น้อย “พวกท่านเชื่อคำของผู้อื่น ทั้งที่ฟังความเพียงข้างเดียว มิพินิจพิเคราะห์ให้ถี่ถ้วนก็มาด่าว่าข้า เติบโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ได้อย่างไรกัน” ลี่มี่มองที่สตรีเหล่านั้นและท่านป้ากวนอย่างผิดหวัง นางมิได้อยากให้ค่ากับคำนินทาสักนิด แต่อย่างว่า ความคิดของคนเราห้ามกันได้ที่ใด ลี่มี่เดินหันหลังออกมา โดยมิได้สนใจคำร้องเรียกของภรรยาผู้ใหญ่บ้านเลยแม้แต่น้อย “เหตุใดกลับมาเร็วนักเล่า” เหมาไป่และลี่หมิงช่วยกันรดน้ำผักได้ไม่นาน ลี่มี่ก็กลับมา สีหน้าที่พยายามฝืนยิ้ม ทำให้เหมาไป่ต้องรีบเข้าไปหาหลานสาว “เกิดสิ่งใดขึ้นมี่เอ๋อร์” ลี่มี่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ พลันเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ท่านยายได้ฟังทั้งหมด “ข้ามิเข้าใจเลยเจ้าค่ะ เพียงแค่สตรีผู้นั้นแสร้งร้องห่มร้องไห้ ทุกคนก็เชื่อนางกันหมด วันนี้ข้าเอ่ยความจริงออกไปกลับมีบางคนที่ทำสีหน้ามิเชื่อ” เด็กสาวมิเข้าใจเลยสักนิด คำพูดออกจากปากคนเช่นเดียวกัน แต่เหตุใดจึงมีน้ำหนักมิเท่ากัน “ข้อแรกเพราะเจ้าเป็นเด็ก นางเป็นผู้ใหญ่ ผู้คนที่มีความคิดตื้นเขินย่อมเลือกเชื่อผู้ใหญ่มากกว่า ทั้งยามที่ชุนเจียงพูด นางร้องห่มร้องไห้ เปิดหลักฐานให้ผู้คนดู ผู้คนย่อมสงสาร แต่ยามเจ้าพูด น้ำเสียงแข็งกร้าว ท่าทีโกรธเคือง ผู้คนย่อมมิรู้สึกสงสารหรือเห็นใจเจ้าเท่านาง” “แล้วข้าต้องแสดงออกเช่นนางหรือเจ้าคะ” “มิต้องทำเช่นนั้น เพียงแต่ยายอยากให้เจ้ารู้ว่าเวลาใดควรอ่อน เวลาใดควรแข็ง เวลาใดควรแสร้ง เวลาใดควรซื่อตรง หากเจอผู้ที่จริงใจ เราย่อมต้องจริงใจต่อเขา แต่หากว่าเขาไม่ เราก็ไม่ เท่านั้นเอง” เหมาไป่พบเจอผู้คนมาหลายรูปแบบ วิธีรับมือคือตัวเราเองต้องปรับตัวให้ทัน อย่างเจียวมี่มารดาของลี่มี่ นางเป็นคนแข็ง พูดตรง ผู้คนจึงมักมองว่านางปากร้าย มิน่าคบ ต่างกับชุนเจียงที่ทั้งพูดจาไพเราะ อ่อนโยน “ข้าจะพยายามเจ้าค่ะท่านยาย” “หลานยายต้องทำได้แน่ สำคัญอย่าได้ละเลยตัวตนของตนเองเล่า อีกอย่าง ยายรู้ว่าการสูญเสียนั้นเจ็บปวดเพียงใด ยามนี้เจ้าคงอยากเข้มแข็งเป็นที่พึ่งของยายและน้อง แต่ยายยังอยากเห็นมี่เอ๋อร์ที่สดใส ช่างพูดช่างถาม อย่าได้ทำตัวเป็นผู้ใหญ่เกินไปเลย ผ่อนคลายเสียบ้าง” “เอ่อ…ท่านยายมิได้ว่าข้าพูดมากใช่หรือไม่เจ้าคะ” ปากเล็กเบะยื่นออกมาอย่างน่าเอ็นดู “ฮ่าๆ มิได้ว่า” ท่าทีเช่นนี้แหละที่เหมาไป่อยากเห็น เวลาผ่านไปกว่าหนึ่งสัปดาห์ ข่าวลือของลี่มี่ก็เบาบางลง ยังมีบางคนที่มองมาทางนางด้วยสายตาไม่ชอบใจ แต่ก็มีหลายคนที่เข้าใจเรื่องราวทั้งหมดและพร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือนาง โดยเฉพาะครอบครัวผู้ใหญ่บ้านที่มักจะให้กวนอู๋ท่งมาบอกนางเสมอว่ามีงานปักให้ทำ แต่เพราะอีกไม่กี่เดือนจะเข้าเหมันตฤดูแล้ว ลี่มี่จึงปฏิเสธไป นางเลือกที่จะเข้าป่าไปเก็บพืชพรรณและทำกับดักสัตว์ เพื่อหาวัตถุดิบมากักตุนไว้ ยิ่งเข้าใกล้ช่วงเหมันตฤดูเท่าใด วัตถุดิบในการปรุงอาหารยิ่งหาซื้อยาก เนื่องด้วยแต่ละครอบครัวก็เลือกที่จะเก็บไว้กิน ในช่วงหิมะตกที่ไม่สามารถออกไปหาวัตถุดิบได้เสียมากกว่า “พี่มี่เอ๋อร์จะเข้าไปในป่าหยือขอยับ น้องไปด้วยได้หยือไม่” เด็กชายวัยสี่หนาวเห็นพี่สาวแต่งกายรัดกุม เกล้าผมขึ้นอย่างชายหนุ่ม จึงรู้ได้ทันทีว่าพี่สาวจะต้องเข้าป่าเป็นแน่ เพราะท่านยายเอ่ยว่าในป่าอันตรายสำหรับสตรี ท่านยายจึงให้พี่มี่เอ๋อร์แต่งกายเป็นชายยามเข้าป่า “อย่าเลย วันนี้พี่ว่าจะเข้าไปลึกสักหน่อย เจ้าอยู่กับท่านยายที่นี่เถิด แล้วพี่จะนำผลไม้มาให้เจ้า” ได้ยินพี่สาวเอ่ยเช่นนั้นเด็กชายก็คอตก แต่ก็มิรบเร้าอันใดทำเพียงตอบรับและส่งอาหารให้พี่สาวเท่านั้น “ขอยับ” “อย่าได้เศร้าโศกไปเลย เอาไว้คราวหน้าพี่จะพาเจ้าไปเก็บผลไม้ด้วย ดีหรือไม่” “จริงนะขอยับ” “จริงสิ พี่เคยหลอกเจ้าหรือ” “เคย พี่มี่เอ๋อร์หลอกน้องว่าน้องอ้วนแล้วน่าเอ็นดู” หน้าง้ำของน้องชาย ทำให้ลี่มี่หัวเราะออกมาเสียงดัง มือบางยกขึ้นลูบศีรษะน้อยของน้องชาย พลางเก็บอาหารใส่ตะกร้าสานที่แบกไว้บนหลัง แล้วจึงออกเดินทางขึ้นเขาทันที เริ่มแรกลี่มี่ขึ้นเขามากับท่านยายทุกครั้ง นางเรียนรู้วิธีการและจดจำเส้นทางต่างๆ อย่างแม่นยำ ทั้งยังจดบันทึกเส้นทาง ทำเป็นแผนที่เดินป่า เมื่อลี่มี่เริ่มคุ้นชิน นางจึงให้ท่านยายพักผ่อนที่เรือนแทน ขาเล็กก้าวเดินไปเรื่อยๆ ตามทางที่ตนเองเคยมา พบเจอสิ่งใดที่สามารถจะใช้เป็นวัตถุดิบปรุงอาหารได้ นางก็รีบเก็บใส่ตะกร้า แต่ช่วงนี้ผู้คนเข้าป่ากันเป็นจำนวนมาก ทำให้พืชพรรณและผลไม้ที่อยู่บริเวณป่าเขตนอกถูกเก็บไปจนหมด ลี่มี่จึงต้องเดินเข้าไปลึกพอสมควร แม้นางจะทำเครื่องหมายเอาไว้บนต้นไม้ ป้องกันการหลงป่า แต่ด้วยความที่นางมิชินเส้นทางป่าเขตใน ทำให้ต้องเดินวนไปวนมาอยู่หลายรอบ หลงทางเสียแล้ว ทำอย่างไรดี… มองไปทางใดก็มีแต่ต้นไม้สูงใหญ่ที่เหมือนกันไปหมด แววตากังวลกวาดมองหาเครื่องหมายที่ตนเองทำไว้ แต่กลับไม่พบเลยสักอัน จิตใจของเด็กสาวเริ่มสั่นไหวด้วยความกลัว ลี่มี่หลับตา ยกมือประสานกันไว้ที่อก พลางนึกภาวนาอยู่ในใจ ท่านพ่อท่านแม่ช่วยมี่เอ๋อร์ด้วยเถิด ช่วยดลใจให้มี่เอ๋อร์เลือกที่ทางถูกต้องด้วยเถิด เมื่อลืมตาขึ้น นางก็เดินตรงไปในทางที่นางรู้สึกว่าจะเป็นทางออก มือบางใช้ไม้ขีดไปตามต้นไม้ที่เดินผ่าน ครานี้นางทำเครื่องหมายถี่ขึ้น เดินไปเพียงสิบก้าวลี่มี่ก็ทำเครื่องหมายไว้ที่ต้นไม้ทันที แต่เมื่อเดินไปเรื่อยๆ แทนที่จะพบกับทางออกไปยังหมู่บ้าน นางกลับมาหยุดอยู่ริมสระน้ำสีเขียวมรกต ขนาดกว้างใหญ่พอให้คนลงไปว่ายเล่นได้ ตากลมโตมองสำรวจบริเวณรอบๆ มิพบสิ่งมีชีวิตอยู่เลยแม้แต่น้อย ภายในน้ำมิมีปลาแหวกว่ายทั้งที่น้ำใสสะอาด สิ่งเดียวที่โดดเด่นสะดุดตาของนางตอนนี้คือ ดอกบัวที่เบ่งบานอยู่กลางน้ำเพียงดอกเดียว
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD