“เจ้าจะตามข้ามาด้วยเหตุใด” ลี่มี่หันกลับไปมองลูกพี่ลูกน้องอย่างซูเม่ย ที่สวมใส่อาภรณ์งดงาม ทั้งยังผัดหน้าเสียแดงก่ำ
วิปลาสไปแล้วหรือ…
“ก็…มาเก็บปลาเป็นเพื่อนเจ้าอย่างไรเล่า” เด็กสาวแก้มแดงลอยหน้าลอยตา เดินนำไปโดยมิสนใจสีหน้าอันงงงวยของลี่มี่แม้แต่น้อย
“แต่งเนื้อแต่งตัวเพื่อมาเก็บปลา อืม…ดียิ่ง” ลี่มี่ส่ายหน้าอย่างเอือมระอา มือเล็กกระชับสายตะกร้าสะพายหลัง แล้วจึงเดินตามซูเม่ยไป
เมื่อเด็กสาวทั้งสองมาถึงริมตลิ่ง ลี่มี่ก็ไม่รอช้า เดินลงน้ำไปดูตาข่ายดักปลาที่ท่านลุงได้วางไว้ แต่ลูกพี่ลูกน้องที่เอ่ยว่าจะมาช่วย กลับมิยอมลงมาช่วยนางเก็บปลาสักตัวเดียว มือเล็กรีบนำปลาที่ติดในตาข่ายดักปลา ออกมาใส่กระชังปลาที่เตรียมไว้
แม่น้ำในแถบนี้มิได้ลึกมาก ทั้งน้ำมิไหลเชี่ยว จึงมีปลาและสัตว์น้ำอื่นๆ อาศัยอยู่ ชาวบ้านในละแวกนี้ จึงมักจะมาวางตาข่ายดักปลาเอาไว้ เพื่อนำปลาไปปรุงอาหาร ไม่เว้นแม้แต่ครอบครัวผู้ใหญ่บ้านอย่างสกุลกวน
“อ๊ะ ท่านพี่อู๋ท่งก็มาเก็บปลาหรือเจ้าคะ น้องเองก็มาเก็บปลาเช่นกัน” ซูเม่ยดึงยื้อกระชังปลาในมือลี่มี่มาถือไว้เอง ทั้งยังทำท่าทางบิดๆ เขินๆ จนเกินงาม
“ใช่ พี่เองก็มาเก็บปลา พวกเจ้าเก็บปลากันเสร็จแล้ว ก็รีบกลับเรือนเล่า ประเดี๋ยวฟ้าจะมืดเสียก่อน” รอยยิ้มอ่อนโยนของชายหนุ่ม ยิ่งทำให้ซูเม่ยคิดเข้าข้างตนเองว่ากำลังถูกเกี้ยวอยู่ ดวงตาทั้งสองมองตามหลังชายหนุ่มไปจนลับตา ขณะเดียวกันในศีรษะเล็กก็คิดเพ้อฝัน ว่าตนและชายหนุ่มอยู่กินกันฉันสามีภรรยา
“อะแฮ่มๆ” ลี่มี่กระแอมไอเสียงดัง
“อะฮึ่ม…เอ้า! ชักช้าอยู่ไย เอากระชังไปเก็บปลาต่อเสียสิ”
“มิใช่ว่าเจ้าจะทำหรอกหรือ เห็นเอ่ยกับพี่อู๋ท่งไปเช่นนั้น”
“นี่! อย่าได้เอ่ยเรียกท่านพี่อู๋ท่งของข้าเช่นนั้นนะ รีบทำเข้า ข้าอยากกลับแล้ว!” ลี่มี่ถอนหายใจกับความเอาแต่ใจของลูกพี่ลูกน้อง เมื่อก่อนตัวนางก็ใช่ว่าจะยอมให้ผู้ใดมาออกคำสั่ง จึงได้มีปากเสียงกับซูเม่ยอยู่หลายครา แต่ด้วยสถานะของตนในตอนนี้ คงทำได้เพียงอดทนและทำตามเท่านั้น
เด็กสาวรีบลงไปจับปลาในตาข่ายมาใส่กระชังจนหมด มือบางใช้เชือกมัดปากกระชัง ป้องกันมิให้ปลาดิ้นออก แล้วจึงนำกระชังปลาใส่ในตะกร้าสะพายหลัง ส่วนตาข่ายดักปลาก็วางไว้ที่เดิม
“ทำได้ดี เอาไว้ข้าจะเอ่ยชื่นชมเจ้าให้ท่านย่าได้ฟัง ทำงานแทนบิดามารดาได้เช่นนี้ ท่านย่าคงอยากจะเลี้ยงดูเจ้ากับน้องต่อ”
“…”
“น่าเสียดายที่บิดามารดาเจ้าตายไปเสียแล้ว หนาวนี้ท่านพ่อจึงลดเบี้ยหวัด ไม่ซื้ออาภรณ์ตัวใหม่ให้ข้า” ลี่มี่ได้ฟังซูเม่ยเอ่ยเช่นนั้น สีหน้าก็มืดครึ้มขึ้น สายตาเกรี้ยวโกรธถูกส่งไปให้คนตรงหน้าอย่างไม่ปิดบัง
นางคิดเพียงว่าท่านพ่อท่านแม่ มีค่าเพียงเท่านั้นเองหรือ…
“หึ…เช่นนั้นข้าจะช่วยให้เจ้าได้อาภรณ์ตัวใหม่ดีหรือไม่”
“เจ้า…ทำได้หรือ” ซูเม่ยมองมาที่ลี่มี่อย่างใคร่รู้
“ได้สิ ข้าทำให้เจ้าดู ดีหรือไม่”
“ดี! ทำเช่นไรหรือ”
“ก็ทำเช่นนี้อย่างไรเล่า” ลี่มี่ยกยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ ร่างบางเดินเข้าไปกระแทกไหล่ซูเม่ยด้วยแรงทั้งหมดที่มี จนเด็กสาวแก้มแดงเซถลาล้มลงไป ด้วยบริเวณนั้นเป็นตลิ่งของแม่น้ำ จึงมิได้มีน้ำสูง ทว่าบริเวณนั้นกลับเต็มไปด้วยโคลนตมชื้นแฉะ
“กรี๊ดดดดดดดดด แหวะ! อาภรณ์ข้าเปื้อนหมดแล้ว ข้าจะฟ้องท่านย่า! จะให้ท่านย่าไล่เจ้าออกจากตระกูล ฮื่อ! ใบหน้าข้า ฮื่อ” ซูเม่ยกรีดร้อง ดีดดิ้นอย่างเด็กเอาแต่ใจ ลี่มี่เห็นดังนั้นก็สาแก่ใจไม่น้อย นัยน์ตาซุกซนจดจ้องไปที่ร่างของซูเม่ย ที่บัดนี้เปรอะเปื้อนไปด้วยโคลนสีดำ ใบหน้าที่แดงก่ำถูกโคลนกลบจนมิด
“โทษข้าได้อย่างไร เจ้าบอกว่าอยากได้อาภรณ์ใหม่มิใช่หรือ ฮ่าๆ กรีดร้องจนพอใจแล้วก็รีบตามมาเล่า ข้าจะนำปลากลับเรือนก่อน” ลี่มี่เดินกลับเรือนอย่างอารมณ์ดี ยอมรับตามตรงว่านางรู้สึกสะใจที่ได้เอาคืนซูเม่ย แม้จะรู้ว่าต้องถูกลงโทษที่กลั่นแกล้งลูกพี่ลูกน้องของตน แต่ทว่าก็คุ้มค่าไม่น้อย ใบหน้าน่ารักยกยิ้มเต็มปาก
แต่ทว่า…เมื่อเดินมาถึงหน้าเรือน สองขากลับต้องหยุดชะงัก
“ฮึก โอ๊ย! ท่านป้า น้องเจ็บขอยับ อย่าตีน้อง โอ๊ย ฮื่อออ”
นั่นเสียงอาหมิงมิใช่หรือ
ลี่มี่ทิ้งตะกร้าไว้หน้าเรือนอย่างมิไยดี ขาเรียวรีบสาวเท้าเข้าเรือน เดินตามเสียงไปจนพบเข้ากับ ภาพที่นางแทบมิอาจทนมองได้
บัดนี้ท่านป้าชุนเจียง กำลังใช้ไม้เรียวฟาดเข้าที่สะโพกน้อยของลี่หมิงอย่างแรง แม้ว่าเด็กชายจะร้องขอ อ้อนวอนอย่างไร ชุนเจียงก็มิยั้งแรงไว้แม้แต่น้อย
“น้องขออภัยท่านป้า ฮึก อย่าทำน้องเยย อาเป่าล้มเอง โอ๊ยยยย” น้ำสีใสไหลอาบแก้มกลมอย่างน่าสงสาร สองมือเล็กประสานคำนับอ้อนวอนต่อผู้เป็นป้า แต่นางกลับมิยอมหยุดการกระทำ
“หยุดนะ!!! ปล่อยอาหมิงเดี๋ยวนี้” ลี่มี่ตะโกนออกมาสุดเสียง รีบเข้าไปดึงตัวน้องชายมาหาตน แต่ชุนเจียงกลับมิยอมปล่อยมือจากแขนเล็กของเด็กชาย
“น้องเจ้าทำอาเป่าร้องไห้ ต้องถูกลงโทษ!”
“เจ้าตีเขาไปแล้ว ปล่อยน้องข้า!” ลี่มี่ฉุนขาด จนมิอาจเอ่ยเรียกขานนังปีศาจตรงหน้าว่าท่านป้าได้อีกต่อไป
แม้ลี่มี่จะเอ่ยอย่างไร ชุนเจียงก็มิยอมปล่อยลี่หมิง มิเพียงเท่านั้นนางยังพลั้งมือผลักร่างเล็กของเด็กชายจนล้มลงไปกองกับพื้น
…ไม่ทน ไม่ทนอีกต่อไปแล้ว!
ตุ๊บ!
“โอ๊ย! เอวข้า”
ลี่มี่ยกเท้าขึ้นถีบไปที่หน้าท้องของชุนเจียงเต็มแรง จนผู้เป็นป้าสะใภ้เซไปชนเข้ากับขอบโต๊ะ ดูเหมือนว่าชุนเจียงจะเจ็บไม่น้อย เพราะนางถึงกับนิ่วหน้าและเอามือกอบกุมหน้าท้องและบั้นเอวของตนอยู่อย่างนั้น
“เกิดอันใดขึ้น!” ยังมิทันที่ลี่มี่จะได้ทำสิ่งใดต่อ ชุนฉือที่ออกไปด้านนอกก็กลับเข้ามาพร้อมกับชุนไห่ ชุนเต๋อ และซูเม่ยที่เนื้อตัวเปื้อนโคลน
“เจ้ากล้าทำร้ายป้าสะใภ้ของเจ้าหรือ!” เสียงตะคอกของหญิงชราดังขึ้น เมื่อได้ฟังเรื่องราวจากปากสะใภ้ใหญ่ ชุนฉือแสดงสีหน้ามิพอใจอย่างมาก ทั้งทำร้ายป้าสะใภ้ ทั้งกลั่นแกล้งซูเม่ย เห็นทีจะเก็บเด็กผู้นี้ไว้มิได้
“นั่นเพราะนางทำร้ายอาหมิง-” ลี่มี่พยายามอธิบายเรื่องราวที่แท้จริงให้ทุกคนในห้องโถงฟัง พลางกระชับอ้อมกอดน้องชายไว้แน่น จนถึงบัดนี้อาหมิงก็ยังร้องไห้สะอึกสะอื้น เนื้อตัวสั่นเทาอยู่ในอ้อมกอดของลี่มี่ หากว่าท่านย่ายังมิยอมเอ่ยตำหนินังปีศาจนั่น นางและน้องชายคงอยู่ที่นี่ต่อไปมิได้แล้ว
“นางเพียงสั่งสอนอาหมิงเท่านั้น เจ้าก็ได้ยินมิใช่หรือว่าอาหมิงกลั่นแกล้งอาเป่าจนร้องไห้”
“ท่านย่ารู้ได้อย่างไรว่าอาหมิงกลั่นแกล้งอาเป่า ไม่แน่ว่านางอาจจะโป้ปดท่านก็เป็นได้ ท่านย่าจิตใจเอนเอียง ตัดสินมิเป็นธรรม” นัยน์ตาดำสนิทจดจ้องไปที่ชุนเจียงอย่างแข็งกร้าว
“นี่เจ้ากล้าว่าข้าอย่างนั้นหรือ อกตัญญู อกตัญญู!” ชุนฉือปรี่เข้าหาลี่มี่หมายจะสั่งสอนหลานนอกไส้ แต่กลับถูกบุตรชายห้ามปรามเอาไว้
“ท่านแม่ใจเย็นลงก่อนเถิดขอรับ” ชุนไห่รวบตัวมารดาเอาไว้ มิให้เข้าไปทำร้ายหลานสาว
“ท่านแม่เจ้าค่ะ ฮึก! ข้ามิยอมนะเจ้าคะ ทำร้ายข้าถึงเพียงนี้ อย่างไรข้าก็อยู่ร่วมชายคากับนางมิได้…หลังจากนางพ้นวัยปักปิ่น ก็ให้นางแต่งกับเฒ่าแก่ร้านขายเนื้อในตัวเมืองเถิดเจ้าค่ะ”
“เจียงเอ๋อร์ เอ่ยอันใดออกมา!” ชุนไห่ถึงกับตะคอกออกมาเสียงแข็ง จะให้หลานสาวของเขา แต่งเป็นนางบำเรอตาเฒ่าบ้าตัณหานั่นได้อย่างไร หากเป็นเช่นนั้นลี่มี่ก็มิต่างอันใดกับตกนรกทั้งเป็น
“แต่แม่เห็นด้วยกับภรรยาเจ้า เด็กร้ายกาจเช่นนี้ เก็บไว้ในเรือนก็มีแต่สร้างความเสียหาย”
“ข้าไม่แต่ง! อย่างไรข้าก็ไม่แต่ง” ลี่มี่ไม่ยินยอมเด็ดขาด คนทั้งเมืองซูโจวล้วนรับรู้ว่าเฒ่าแก่ร้านขายเนื้อในตัวเมืองแก่ชราแล้ว แต่กลับมีตัณหาราคะ มักรับซื้อเด็กสาวที่พึ่งพ้นวัยปักปิ่นไปเป็นนางบำเรอ เมื่อเบื่อหน่ายก็ขายเด็กสาวเหล่านั้นให้กับหอนางโลม
“ข้าถือเป็นผู้ใหญ่ในบ้าน เรื่องตบแต่งของหลานสาวถือเป็นหน้าที่ของข้าด้วยเช่นกัน” ชุนฉืออ้างหน้าที่ของตน
“เช่นนั้นข้าขอตัดขาดกับพวกท่าน! จากนี้ข้ากับอาหมิงมิขอใช้แซ่ชุน พวกท่านมิต้องเลี้ยงดูข้า ข้ามิต้องแทนคุณพวกท่าน มิต้องมายุ่งเกี่ยวกันอีก!” ลี่มี่มิอาจทนได้อีกต่อไป ร่างบางอุ้มน้องชายออกจากห้องโถง ตรงไปที่ห้องนอนของตนเองทันที
“อาหมิง ช่วยพี่เก็บของเถิด เราจะออกจากที่นี่” ลี่มี่มิมีความลังเลใดๆ ทั้งสิ้น เดิมทีคิดจะอดทนเพื่อน้องชาย แต่น้องชายนางกลับถูกทำร้ายอย่างทารุณ ทั้งผู้อาวุโสของบ้านก็มิอาจทวงความยุติธรรมให้ได้ หนำซ้ำยังคิดจะส่งนางไปเป็นนางบำเรอแลกเงินทองอีก
อยู่มิได้แล้ว อย่างไรก็อยู่มิได้!
ลี่มี่เก็บข้าวของจำเป็นของตนเองและน้องจนครบ พับเก็บใส่ห่อผ้าอย่างรวดเร็ว โดยมิลืมหยิบเงินที่ท่านแม่ทิ้งไว้ให้ ใส่สาบเสื้อของตนเอาไว้ นางคิดแล้วคิดอีกว่าจะนำของต่างๆ ของท่านพ่อและท่านแม่ไปด้วยดีหรือไม่ แต่ด้วยสัมภาระของนางและอาหมิงก็มีมากมายแล้ว นางจึงเลือกเสื้อผ้าที่ท่านพ่อและท่านแม่ชอบสวมใส่ ติดตัวไปด้วย
“พี่มี่เอ๋อร์ ฮึก! เราจะไปที่ใดกันหยือ”
“พี่ยังมิรู้ แต่เราต้องออกจากที่นี่ก่อน เจ้าเจ็บมากหรือไม่…มาเถิด พี่จะอุ้มเจ้าเอง” ลี่มี่ปาดน้ำตาบนใบหน้าของน้องชาย พลางโอบอุ้มเด็กชายตัวน้อยเข้าอก
“มี่เอ๋อร์ เจ้าคงมิคิดจะออกจากสกุลของเราจริงๆ ใช่หรือไม่” ชุนเต๋อเอ่ยรั้งน้องสาว เมื่อเห็นว่าลี่มี่หอบหิ้วสัมภาระมากมายออกมาจากห้อง ท่านพ่อสั่งให้เขามาปลอบใจลูกพี่ลูกน้องทั้งสอง เพราะกลัวว่าทั้งคู่จะเสียใจและคิดทำสิ่งที่มิสมควร แต่ยังไม่ทันที่ชุนเต๋อจะเคาะประตูเรียก ลี่มี่และลี่หมิงกลับหอบหิ้วสัมภาระมากมายออกมา
“เป็นเช่นนั้นพี่ชุนเต๋อ ข้ากับน้องขอตัดขาดกับพวกท่านทั้งหมด จากนี้ข้ามิขอยุ่งเกี่ยวกับสกุลชุนอีกต่อไป” ลี่มี่เดินออกจากเรือนไปอย่างแน่วแน่ มิหันกลับมามองด้านหลังแม้แต่น้อย
“ท่านพ่อ ท่านพ่อขอรับ! มี่เอ๋อร์พาอาหมิงออกจากเรือนไปแล้วขอรับ” เสียงตะโกนของบุตรชายคนโต ทำให้ชุนไห่ที่พูดคุยไกล่เกลี่ยกับมารดาและภรรยาอยู่ ต้องรีบวิ่งมาหน้าเรือน
“มี่เอ๋อร์ เจ้าใจเย็นก่อนเถิด ใกล้มืดเช่นนี้อันตรายยิ่งนัก”
“ปล่อยนางไป หากนางคิดว่าจะมิอดตาย ก็ปล่อยนาง อวดดี! จองหอง! แล้วอย่าได้คิดจะกลับมาสกุลชุนของข้าอีก” ชุนฉือตะเบ็งเสียงออกมาดังลั่น ร่างอวบของหญิงชราสั่นเทาไปด้วยความโกรธ นางใช้ชีวิตมาจนใกล้จะลงโลง ยังมิมีผู้ใดทำให้นางเสียหน้าได้ถึงเพียงนี้ ถึงกลับกล้าเอ่ยตัดขาดจากตระกูล
นางช่างกล้า ช่างกล้านัก!
“ท่านแม่!!”
“ข้าเองก็มิคิดจะกลับมาสกุลของท่านเช่นกัน” ลี่มี่เอ่ยเท่านั้นก็เดินออกจากเรือนสกุลชุนไป ชุนไห่และชุนเต๋อเองก็พยายามจะรั้งทั้งสองคนไว้ แต่ชุนเจียงและซูเม่ยกลับดึงรั้งมิให้ตามลี่มี่ไป ด้านชุนฉือถึงขั้นยื่นคำขาด ว่าหากชุนไห่ตามไปจะตัดสายสัมพันธ์ความเป็นมารดาเสียให้สิ้น
“พี่มี่เอ๋อร์ น้องหนาว”
“กอดพี่ให้แน่นเข้าไว้ อดทนเสียหน่อย พี่จะไปขอความช่วยเหลือที่เรือนผู้ใหญ่บ้าน” ลี่มี่พาลี่หมิงเดินออกจากเรือนสกุลชุนมาเพียงสองตรอก ฟ้าก็เริ่มมืดครึ้มลงทุกที
“นั่นมี่เอ๋อร์ใช่หรือไม่ มี่เอ๋อร์” ลี่มี่หันไปตามเสียงเรียก ก็พบเข้ากับท่านยายเหมาไป่ เมื่อก่อนยามที่ท่านแม่ของนางยังมีชีวิตอยู่ นางก็มักจะได้พบกับท่านยายเหมาไป่เสมอ ทั้งท่านพ่อท่านแม่ยังคอยช่วยเหลือเกื้อกูลท่านยายมิขาด ด้วยบุตรชายที่ตายไปของท่านยายเหมาไป่ เป็นสหายสนิทของท่านพ่อ ท่านพ่อกับท่านแม่จึงมักมาดูแลท่านยายเหมาไป่อยู่เป็นประจำ
“ท่านยาย”
“เกิดอันใดขึ้น เหตุใดจึงได้หอบหิ้วสัมภาระมากมายถึงเพียงนี้ มาๆ เข้ามาในเรือนก่อนเถิด” เหมาไป่รีบเข้าไปหาหลานทั้งสอง ตั้งแต่ที่เจียวมี่และอาหยวนตายไป นางก็มิได้พบเจอหลานทั้งสองบ่อยนัก มีเพียงนางที่ไปเยี่ยมเยือนเด็กทั้งคู่บางครั้งบางครา
ลี่มี่อุ้มน้องชายเดินตามท่านยายเข้าไปในเรือน เมื่อเข้ามาแล้วก็เอ่ยเล่าเรื่องราวให้หญิงชราได้ฟังจนหมด ทั้งยังเปิดบาดแผลบนร่างกายของลี่หมิงให้ท่านยายเหมาไป่ได้ดู
รอยแดงที่เกิดจากการเฆี่ยนตีตรงสะโพกของเด็กชาย ทำให้ผู้เป็นยายถึงกับสาปแช่งสะใภ้ใหญ่สกุลชุน ที่ทำร้ายเด็กน้อยได้ถึงเพียงนี้ หญิงชราลุกขึ้นไปหายาสมุนไพร มาทาให้กับลี่หมิงอย่างเบามือ
“ขอบพระคุณขอยับ” ร่างน้อยโค้งคำนับอย่างนอบน้อม
“หายเจ็บเสียเถิดเด็กดี…แล้วพวกเจ้าจะทำอย่างไรต่อ”
“ข้าคิดว่าจะไปขอให้ผู้ใหญ่บ้านช่วยหาเรือนหลังเล็กๆ เช่าอยู่อาศัยไปก่อนเจ้าค่ะ”
“จะเช่าเรือนด้วยเหตุใด มาอยู่ด้วยกันกับยายเถิด ยายเองก็มิมีผู้ใดอยู่ด้วย แม้เรือนจะมิใหญ่มาก แต่ก็คงจะพออยู่อาศัยได้”
“จะไม่ลำบากท่านยายหรือเจ้าคะ” ลี่มี่เอ่ยออกมาอย่างกังวล หากว่าท่านยายเต็มใจให้พวกเขาสองพี่น้องอาศัยอยู่ด้วย ย่อมเป็นเรื่องดี เงินทองที่มีอยู่ จะได้นำมาใช้จ่ายและเหลือเก็บไว้ในยามจำเป็น
“ลำบากอันใดกัน ยามบิดามารดาพวกเจ้ามีชีวิตอยู่ ก็ดูแลยายเป็นอย่างดี อีกอย่างยายก็อยู่ลำพัง หากมีพวกเจ้ามาอยู่ด้วยคงจะหายเหงา” เหมาไป่ยกมือลูบศีรษะหลานสาวอย่างอ่อนโยน
“…”
“จากนี้ก็มาเป็นหลานยายเถิดนะ มาอยู่ด้วยกัน”
“เจ้าค่ะท่านยาย ฮึก” ลี่มี่หลั่งน้ำตาออกมา ความรู้สึกที่อัดแน่นภายในใจ ถูกปล่อยออกมาจนหมด แม้จะทำตัวเข้มแข็งสักเพียงใด แต่ลี่มี่เองก็เป็นเพียงเด็กสาวที่ยังมิพ้นวัยปักปิ่น เจอเรื่องราวเข้ามาทับถมเช่นนี้ ย่อมอยากได้ที่พักพิง ร่างเล็กโผเข้ากอดผู้เป็นยายอย่างแนบแน่น เด็กชายตัวน้อยเมื่อเห็นว่าพี่สาวเข้าไปกอดท่านยาย จึงได้เข้าไปกอดก่ายด้วยอีกคน
ลี่มี่ปาดน้ำตา โอบกอดทั้งท่านยายและน้องชายไว้ จากนี้เรือนสกุลเหมาคือครอบครัวของนาง มิใช่สกุลชุนอีกต่อไป แม้ตั้งใจจะหนีให้ห่างจากสกุลชุน แต่ก็มิเป็นไร ห่างกันเพียงสองตรอก ก็ยังดีกว่าต้องร่วมชายคาเดียวกัน…