อดทนเอาไว้…

2202 Words
“ท่านย่าทานเนื้อเจ้าค่ะ เม่ยเอ๋อร์คีบให้ท่าน” ซูเม่ยคีบเนื้อหมูป่าตุ๋นให้ชุนฉือผู้เป็นย่า เด็กสาวยิ้มแย้ม พูดคุยอย่างอารมณ์ดี ต่างจากลี่มี่และลี่หมิงที่บัดนี้นั่งทานข้าวเงียบๆ ยิ่งเห็นครอบครัวของท่านลุงอยู่กันพร้อมหน้าเช่นนี้ นางยิ่งอดที่จะคิดถึงท่านพ่อท่านแม่มิได้ “ขอบใจเจ้ามาก หลานรักของย่า” “มี่เอ๋อร์กับอาหมิงก็รีบทานเข้าเถิด หากมิยอมทานข้าวทานปลาเช่นนี้ บิดามารดาของพวกเจ้าจะหมดห่วงได้อย่างไร” ชุนไห่คีบอาหารใส่ชามข้าวให้หลานทั้งสอง เขามิรู้ว่าต้องทำอย่างไรให้ทั้งคู่หายเศร้าโศก เดิมทีหลานสาวของเขาน่ารักสดใส ช่างพูดช่างจา แต่บัดนี้กลับนิ่งเงียบ คงต้องอาศัยเพียงเวลาเท่านั้นที่จะช่วยเยียวยาบาดแผลในใจของหลานชายและหลานสาวได้ “ขอบพระคุณเจ้าค่ะ” / “ขอบพระคุณขอยับท่านยุง” “มี่เอ๋อร์ทานให้มากหน่อย มิมีบิดามารดาหาเงินมาเลี้ยงดู เจ้าคงต้องทำหน้าที่หาเงินเข้าตระกูลแทน ใช่หรือไม่เจ้าคะท่านแม่” รอยยิ้มอ่อนโยนของป้าสะใภ้ มิได้ทำให้ลี่มี่ซึ้งใจแม้แต่น้อย นางคิดไว้อยู่แล้วว่าชีวิตหลังจากที่มิมีท่านพ่อท่านแม่ นางจะต้องสู้รบตบมือกับคนเหล่านี้อีกมาก ทั้งยังเตรียมใจมาพบกับความลำบากมาเป็นอย่างดีแล้ว สิ่งเดียวที่นางทำได้ตอนนี้คือ อดทน อดทนเพื่อให้ตนเองและน้องชายมีที่ซุกหัวนอน ด้วยตอนนี้นางมิมีงานทำ ทั้งเงินที่ท่านพ่อท่านแม่ทิ้งเอาไว้ คงจะไม่เพียงพอ หากว่านำไปเช่าบ้านอยู่ด้วย นางจึงคิดว่าจะอดทนอยู่ที่นี่ไปก่อน หากว่านางมีลู่ทางทำมาหากินและได้เงินมามากพอ ค่อยขยับโยกย้ายไปอยู่ที่อื่น “อืม เรื่องนั้นมันแน่อยู่แล้ว จะมานั่งๆ นอนๆ ขอข้าวขอน้ำกินไปวันๆ ได้อย่างไร” ชุนฉือพยักหน้าเห็นด้วยกับสิ่งที่สะใภ้ว่า จะให้อาไห่และอาเต๋อหาเลี้ยงทั้งครอบครัวคงจะลำบากไม่น้อย “แต่มี่เอ๋อร์เป็นหญิง ทั้งยังมิพ้นวัยปักปิ่น จะให้ออกไปทำงานนอกเรือนคงจะไม่เป็นการดีนักขอรับท่านแม่” ชุนไห่เอ่ยค้านออกมา “แล้วท่านพี่จะหาเลี้ยงพวกเราไหวหรือเจ้าคะ เพียงแค่ครอบครัวเรา ท่านก็ลำบากมากพอแล้ว อีกไม่นานอาเต๋อก็ต้องแต่งสะใภ้เข้าสกุล ค่าของหมั้นต่างๆ เรายังมิมีเลยนะเจ้าคะ นี่ยังมีภาระเพิ่มมาอีก…” ชุนเจียงกล่าวด้วยน้ำเสียงหวานหยดตามแบบของนาง ทว่าเนื้อความนั้นกลับเชือดเฉือนใจผู้ฟังจนเป็นแผลลึก “ท่านป้าเอ่ยได้ถูกต้องแล้วเจ้าค่ะท่านลุง อีกอย่างอายุของข้าก็โตพอที่จะทำงานหาเงินได้แล้ว มิใช่เด็กๆ ที่จะละเล่น แต่งเนื้อแต่งตัวไปวันๆ ใช่หรือไม่เจ้าคะท่านป้า” ลี่มี่ฉีกยิ้มหวาน พลางปรายตามองไปทางสองแม่ลูกชุนเจียงและชุนซูเม่ยอย่างท้าทาย “…” เห็นสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกของสองแม่ลูก ลี่มี่ก็หัวเราะร่าอยู่ในใจ จะมิให้สองแม่ลูกนั่นหน้าเสียได้อย่างไร ก็สองแม่ลูก มิคิดจะทำสิ่งใด อยู่เรือนแต่งตัวอวดโฉมไปวันๆ “อ่อ ส่วนเรื่องทำงานหาเงิน ท่านลุงมิต้องเป็นห่วงเจ้าค่ะ ข้าพอจะมีฝีมือปักผ้าอยู่บ้าง หาปลา ล่าสัตว์เล็กก็พอจะทำได้ ท่านย่าและท่านป้ามิต้องกังวล ว่าข้าและน้องชายจะไปเป็นภาระให้ท่านลุงและพี่ชุนเต๋อ” “อย่าถือว่าตนเองเก่งกาจให้มากนักเลย หึ! เหมือนแม่มิมีผิด” ยังมิทัน ที่ลี่มี่จะตอบกลับ ผู้เป็นย่าก็วางตะเกียบและลุกออกจากโต๊ะอาหารไป “มี่เอ๋อร์อย่าได้ใส่ใจคำพูดของท่านย่าเลย ทานข้าวต่อเถิด” ชุนเต๋อเห็นตากลมของน้องสาวแดงก่ำ จึงคิดว่านางคงนึกถึงมารดาขึ้นมา ท่านย่ามิน่าเอ่ยถึงอาสะใภ้เลย มิสมควรเลยจริงๆ หลังจากทานมื้อเช้า ลี่มี่ก็กระเตงน้องชายไปหางานปักผ้าที่เรือนของผู้ใหญ่บ้าน หมู่บ้านของนางเป็นหมู่บ้านที่ตั้งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลตัวเมืองของเมืองซูโจว ใช้เวลาเดินทางด้วยเกวียนไม่ถึงสองชั่วยาม (4 ชั่วโมง) ก็ถึงตัวเมือง ด้วยเหตุนี้จึงมักมีงานให้เลือกทำหลากหลาย บ้างก็จ้างปักถุงหอม สานตะกร้า และงานฝีมืออื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งเรือนผู้ใหญ่บ้านก็จะเป็นที่รับฝากงานต่างๆ ไว้ ให้ลูกบ้านที่ต้องการหาเงินทองมารับไปทำ “อ่าว ลี่มี่ เจ้ามาทำอันใดหรือ” “คำนับคุณชายกวนเจ้าค่ะ” “คำนับคุณชายกวนขอยับ” สองพี่น้องโค้งตัวคำนับบุตรชายผู้ใหญ่บ้านอย่างนอบน้อม “ข้ามาของานปักไปทำเจ้าค่ะคุณชายกวน ช่วงนี้พอจะมีคนมาจ้างหรือไม่เจ้าคะ” ลี่มี่เอ่ยถามออกไป ตอนที่มารดาของนางยังมีชีวิตอยู่ ท่านแม่ก็พานางมาของานที่เรือนผู้ใหญ่บ้านไปทำเช่นกัน “มีสิ แต่ก่อนอื่น…เจ้าหยุดเอ่ยเรียกข้าว่าคุณชายก่อนเถิด คนกันเองทั้งนั้น เรียกพี่อู๋ท่งก็พอแล้ว อีกอย่างข้าเป็นเพียงบุตรชายผู้ใหญ่บ้านเท่านั้น” กวนอู๋ท่งกล่าวอย่างมิถือตัว พลางเดินนำลี่มี่และลี่หมิงไปรับงานปักจากมารดาของเขา งานปักที่ลี่มี่ได้รับมา เป็นงานปักถุงหอมกว่าห้าสิบถุง คาดว่าคงใช้เวลากว่าห้าวันจึงจะแล้วเสร็จ ด้วยลวดลายที่ผู้จ้างวานต้องการนั้นยากมากทีเดียว แต่แน่นอนว่า ค่าตอบแทนย่อมสูงตามไปด้วย หากว่าทำแล้วเสร็จตามเวลา ลี่มี่ก็จะได้เงิน 200 อีแปะ เด็กสาวจึงเร่งงานให้เสร็จตามเวลา ยิ่งเร็วยิ่งดี นางจะได้มีเวลาไปรับงานอื่นมาทำ หลังจากที่ปักถุงหอมแล้วเสร็จ ลี่มี่ก็เทียวไปขอรับงานจากเรือนผู้ใหญ่บ้านเป็นว่าเล่น เงินที่ได้มานางแบ่งให้ท่านย่าถือเป็นค่าข้าวปลาอาหารของพวกนางหนึ่งในสามส่วน อีกสองส่วนที่เหลือแอบเก็บเอาไว้ แต่ด้วยกลางวันนางต้องทำงานบ้านไปด้วย จึงต้องถ่างตาทำงานปักในตอนกลางคืนแทน ตั้งแต่บิดาและมารดาจากไปร่วมเดือน สองพี่น้องมิได้อยู่ในเรือนอย่างสงบสุขสักวัน ไม่เพียงแต่ทำงานหาเงิน แต่งานในบ้าน ลี่มี่และลี่หมิงก็เป็นผู้ที่ช่วยกันทำทั้งหมด เด็กน้อยวัยเพียงสี่หนาวมิเคยได้ออกไปเที่ยวเล่น ต้องมาทำงาน เช็ดถูพื้นเรือนทั้งเรือน ส่วนลี่มี่เองก็ต้องทำความสะอาด ตวงน้ำใส่ถัง ทั้งยังต้องเข้าครัวช่วยป้าสะใภ้ ทั้งที่งานบางอย่างเป็นหน้าที่ของซูเม่ยด้วยเช่นกัน แต่นางกลับมิยอมทำ ลี่มี่เคยนำเรื่องนี้ไปเอ่ยกับท่านย่าแล้ว แต่ท่านย่ากลับกล่าวว่านางและน้องชายถือเป็นผู้อาศัย สมควรที่จะตอบแทนบุตรสาวเจ้าของเรือน หลังจากนั้นเมื่อเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นอีก ลี่มี่ที่มิอยากมีปัญหายุ่งยากใจ จึงได้แต่อดทนอดกลั้น ทั้งที่ภายในใจอยากจะตะโกนด่าทั้งหัวหงอกหัวดำ “พี่มี่เอ๋อร์ นี่คือสิ่งใดหยือ” “เรียกว่าเข็ม” มือก็ปักผ้าไป ปากบางก็เอื้อนเอ่ยตอบน้องชายไป “ใช้ทำสิ่งใดหยือ” “เข็มใช้เย็บปัก เช่นที่พี่ทำนี่อย่างไร งดงามใช่หรือไม่เล่า” “โอ้! งดงาม งดงาม” น้องชายตัวน้อยยื่นหน้าเข้ามาดูลวดลายบนผ้าที่ลี่มี่กำลังปักอยู่ “อ่า~ มิขนาดนั้นหรอกๆ” ลี่มี่โบกมือปฏิเสธไปมา ทั้งที่สีหน้ามีความภูมิใจเต็มสิบส่วน หลังจากบิดามารดาตายจากไปนานถึงหนึ่งเดือน ลี่มี่และลี่หมิงก็เริ่มมีสภาพจิตใจที่ดีขึ้น แม้จะยังโศกเศร้า แต่ก็ค่อยๆ กลับมาสดใสเช่นเดิมแล้ว สองพี่น้องพูดคุยกันอย่างสนุกสนานได้ไม่นาน เสียงแหลมของลูกพี่ลูกน้องอย่างซูเม่ยก็ดังขึ้น “ลี่มี่ ข้าหิว! เจ้ามีสิ่งใดให้ข้ากินหรือไม่” เอ่อ ที่ว่าสดใส ก็คงมีเพียงตอนที่อยู่กับน้องชายสองคนเท่านั้น ลี่มี่จำใจทิ้งน้องชายให้นั่งเล่นในห้องและลุกขึ้นไปเข้าครัว ทำขนมง่ายๆ ให้ซูเม่ยทาน ซูเม่ยมักเรียกใช้นางเช่นนี้เสมอ คราแรกลี่มี่ก็ปฏิเสธ แต่ก็เป็นเช่นเดิม ท่านย่าใหญ่กล่าวว่านางและน้องชาย อาศัยข้าวปลาที่ท่านลุงหามา กินอยู่ประทังชีวิต จึงควรตอบแทนเสียบ้าง ลี่มี่จึงมิอาจโต้เถียงสิ่งใดได้ ยอมทำงานบ้านแทนซูเม่ย ยอมกระทำตนเยี่ยงบ่าวรับใช้ของลูกพี่ลูกน้อง “อ่อ ท่านพ่อบอกให้ท่านแม่ไปดูตาข่ายดักปลาที่วางไว้ริมแม่น้ำ เจ้าช่วยไปดูแทนที” ซูเม่ยยืนกอดอกมองลี่มี่ที่กำลังทำขนมอย่างคล่องแคล่ว “อืม ข้าจะไปดูให้” ลี่มี่เอ่ยตอบรับเพียงเท่านั้นก็หันมาสนใจขนมที่ทำต่อ ใบหน้าเรียบนิ่งมิรู้สึกรู้สาของลี่มี่ ทำให้ซูเม่ยที่ตั้งใจกลั่นแกล้งนั้น เสียอารมณ์มิน้อย เดิมทีนางคิดว่าลี่มี่คงจะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟที่ถูกนางสั่งให้ทำนั่นทำนี่ “ทำสิ่งใดกันหรือ” เด็กสาวทั้งสองหันไปตามเสียงแหบของผู้เป็นย่า ลี่มี่มิได้เอ่ยตอบสิ่งใด เพียงหันกลับมาทำขนมให้ซูเม่ยต่อ เพราะนางรู้อยู่แก่ใจว่าคำถามนั้น ท่านย่าคงจะเอ่ยถามซูเม่ยมากกว่า ด้านซูเม่ยเมื่อเห็นว่าย่าของตนเดินมา ก็เข้าไปออดอ้อนทันที “ลี่มี่อยากทานขนม นางจึงมาทำขนมทานเองเจ้าค่ะ เม่ยเอ๋อร์พยายามห้ามแล้ว เพราะเงินทองหายากนัก แต่…นางมิยอมฟังเจ้าค่ะ” ซูเม่ยตีหน้าเศร้าต่อหน้าย่าของตน ลี่มี่ที่ได้ยินดังนั้นถึงกับอ้าปากหวอ งุนงงกับสิ่งที่ซูเม่ยเอ่ยออกมา มิใช่ว่านางอยากกินหรอกหรือ เอ่ยเช่นนั้นออกมาได้อย่างไร ช่วงนี้ชุนฉือเองก็เคร่งเครียดเรื่องเงินทอง ที่สูญเสียไปกับการจัดพิธีศพ และรายได้ที่ลดลงของครอบครัวจึงดุด่าลี่มี่ โดยมิคิดถามไถ่ “ลี่มี่! เจ้ามิรู้หรือว่าครอบครัวมีค่าใช้จ่ายมากมาย เหตุใดจึงนำเครื่องครัวมาทำขนมทานเล่นเช่นนี้ เพียงจะใช้ทำอาหารแต่ละมื้อก็มิพออยู่แล้ว” “เป็นซูเม่ยที่สั่งข้า-” “ยังจะนำซูเม่ยมาอ้างอีกหรือ ไปเลยนะ! ออกไปดูตาข่ายดักปลาเสีย วันๆ มิทำสิ่งใด ขลุกตัวอยู่แต่ในห้อง” เสียงก่นด่าของชุนฉือ ทำให้ลี่มี่แทบอยากอาละวาดให้รู้แล้วรู้รอด แต่ก็ทำได้เพียง… ใจเย็น อดทนไว้ อดทน…เอาไว้… ร่างบางขบกรามข่มอารมณ์ของตน พลางลุกขึ้นเดินกระฟัดกระเฟียดกลับห้องนอนตนเอง เมื่อกลับมาถึง ลี่มี่ก็ตรงเข้าไปซุกหน้าเข้ากับหมอนใบใหญ่ กรี๊ดดดดดดด! อ๊ากกกกกก! ย้า! เสียงกรีดร้องระบายอารมณ์โมโหของลี่มี่ มิได้ดังหลุดลอดออกไป มือบางทั้งสองทุบลงบนหมอนอย่างอัดอั้น เมื่อระบายอารมณ์จนพอใจก็ลุกขึ้นจัดเสื้อผ้าอาภรณ์ให้เข้าที่ เตรียมจะออกไปดูตาข่ายดักปลาที่แม่น้ำท้ายหมู่บ้าน แต่… “พี่มี่เอ๋อร์ คันจมูกหยือ น้องเห็นพี่เอาหน้าถูหมอนไปมา ยุงกัดใช่หยือไม่” ลี่หมิงนั่งมองพี่สาวตาแป๋ว เด็กน้อยคิดว่าพี่สาวคงจะคันจมูก เพราะยามที่เขาคันจมูก เขาก็ชอบเอาหน้าถูไถกับหมอนเช่นกัน “เอ่อ แหะ ใช่ๆ พี่คันจมูก…ประเดี๋ยวพี่จะไปดูตาข่ายดักปลา อาหมิงของพี่ไปเล่นกับอาเป่าก่อนได้หรือไม่” “พี่มี่เอ๋อร์ไปนานหยือ แล้วจะกลับมาหยือไม่” “ไม่นาน เพียงสองเค่อ (30นาที) พี่ก็กลับมาแล้ว” มือบางยกขึ้นลูบศีรษะเล็กของน้องชาย เด็กน้อยตรงหน้าคงกลัวว่า นางจะหายไปเช่นท่านพ่อกับท่านแม่ “ขอยับ น้องจะไปอยู่กับอาเป่าก่อน” “เด็กดีๆ” ลี่มี่ยกยิ้ม มองตามหลังน้องชายที่ถือของเล่นออกจากห้องไปเล่นกับชุนเป่า เด็กน้อยวัยสามหนาวที่เป็นบุตรชายคนเล็กของท่านลุง “ลี่มี่ชักช้าอันใดอยู่! วันนี้ข้าจะได้กินปลาหรือไม่” เสียงแหบตะโกนดังลอดเข้ามาในห้องนอนของลี่มี่ “เจ้าค่ะท่านย่า!…เฮ้อ!” เอาเถิด อย่างน้อยก็ถือว่าอดทนเพื่ออาหมิง
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD