กุลธิดาเดินควงแขนของเจ้าบ่าวเข้ามาภายในงานเลี้ยงที่เขาจัดไว้ในช่วงหัวค่ำอย่างเลี่ยงไม่ได้ ตั้งแต่ที่เขาจูบเธอไปตามพิธีเมื่อตอนเย็นนั้น เขาพาเธอมาส่งที่ห้องก่อนจะเดินกลับไปโดยไม่ได้พูดอะไรกับเธอสักคำ ทิ้งไว้แต่ความรู้สึกสับสนและอีกมากมายไว้กับตัวเธอที่ยังหาคำตอบให้กับตัวเองไม่ได้
“พี่ยีนส์!” เสียงสูงแหลมของใครบางคนดึงความสนใจของเธอได้อย่างไม่ยากนัก ก่อนจะปรากฏร่างสาวผมสีน้ำตาล ริมฝีปากแดงฉาดอย่างกับไปกินเลือดกินเนื้อที่ไหนมา เดินมาควงแขนสามีของเธอเสียจนเธอนึกหมั่นไส้ “พี่ยีนส์แต่งงานทั้งทีไม่คิดจะชวนเมย์หน่อยเหรอคะ?” เสียงแหลมสูงบวกกับท่าทางกระแนะกระแหนของเจ้าหล่อนทำให้กุลธิดาเองก็รู้สึกขัดใจอยู่ไม่น้อย
“เธอก็มาแล้วนี่ไง...” เขาตอบกลับโดยที่สีหน้าก็ไม่ได้แสดงความรู้สึกใด ๆ ออกมา
ยัยนี่ก็อีกคน! ภรรยาของเขายืนอยู่ตรงนี้ทั้งคนยังมาควงแขนสามีของเธอไม่ยอมห่าง ให้ตายสิ!
“ฉันว่าเธอควรปล่อยฉัน...” น้ำเสียงเย็นชาที่เปล่งออกมาจากริมฝีปากกระจับนั้นทำให้กุลธิดาที่ยืนอยู่ด้านหลังเผลอขบขันกับท่าทีที่เย็นชาของเขา ซึ่งมันก็เป็นผลอย่างดีที่ยัยเมย์นั่นหน้าเจื่อนลงไปเล็กน้อย
ย้ำ! ว่าเล็กน้อยเท่านั้น
“ท่านประธานครับผมอยากคุยเรื่องที่เราคุยค้างกันอยู่” เสียงชายสูงวัยคนหนึ่งดังขึ้น ทำให้เจ้าของใบหน้าที่แสนจะดูดีนั้นถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย
“วันนี้วันสำคัญของฉัน ฉันไม่อยากจะคุยเรื่องอื่นที่ไม่เกี่ยวกับฉันและภรรยาของฉัน!” เขาว่าก่อนจะแกะมือปลาหมึกของยัยเมย์นั่นออก เขาเหลือบมามองเธอก่อนจะถือวิสาสะดึงมือข้างขวาของเธอขึ้นไปกอบกุม “ขอตัว” พูดจบเขาก็ลากเธอออกมาจากบุคคลทั้งสองที่ได้แต่ยืนอ้าปากค้างไม่กล้าท้วงติงใด ๆ
“นี่คุณ จะลากฉันไปถึงไหน!” เธอขืนตัวเล็กน้อยเมื่อคนตรงหน้าเอาแต่ลากเธอไปมาไม่ยอมหยุดเสียที เขาจะรู้ไหมว่าตอนนี้คนในงานต่างส่งเสียงกระซิบนินทาพวกเรากันแล้ว
“ฉันไม่อยากให้เธออึดอัด” เขาตอบก่อนจะหยุดเดินแต่มือของเขายังจับประสานมันไว้แน่น “ฉันรู้ว่าเธอไม่ได้เต็มใจที่จะแต่งงานกับฉัน” เขาพูดทั้งใบหน้าที่เรียบเฉยแต่เขาจะรู้ไหมว่าสายตาของเขามันปิดไม่มิดเอาเสียเลย
“เอ่อคือ...”
“ฉันไม่ชอบบังคับฝืนใจใคร หากพ่อเธอใช้หนี้จนหมด ฉันจะปล่อยเธอเป็นอิสระ” เขาทิ้งท้ายไว้เพียงเท่านั้นก่อนจะปล่อยมือเธอและเดินจากไป
ทิ้งให้กุลธิดายืนสับสนอยู่เพียงผู้เดียวภายในงาน ถึงมันจะเป็นเรื่องจริงที่เธอไม่ได้เต็มใจจะแต่งงานกับเขา แต่คำพูดและแววตาของเขามันทำให้เธอกำลังรู้สึกหวั่นใจ เขาไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร ไม่ใช่ไอแก่บ้ากามที่หวังจะมาหลอกฟันเธอ กลับกันเขามีพระคุณกับครอบครัวของเธอมาก ๆ เสียด้วยซ้ำ
พอคิดมาถึงตรงนี้ใจของเธอมันก็พาลกระตุกวูบแบบแปลกๆ อีกครั้ง ‘ฉันไม่ชอบบังคับฝืนใจใคร หากพ่อเธอใช้หนี้จนหมด ฉันจะปล่อยเธอเป็นอิสระ’ เสียงตัดพ้อแบบนั้นยังคงดังไปมาในหัวของเธอ
“เกว มายืนทำอะไรคนเดียวตรงนี้” เสียงรัตน์ลดาดังขึ้นช่วยเรียกสติของเธอ
“ปะ...เปล่า ฉันแค่คิดอะไรเรื่อยเปื่อย” เธอรีบปฏิเสธเพราะไม่อยากให้เพื่อนของเธอต้องเป็นห่วง
“เอ่อใช่...เจ้าบ่าวแกเป็นคนเดียวกับที่ฉันบอกว่างานดีย์” รัตน์ลดายกมือขึ้นมากอบกุมเหมือนสาวน้อยช่างฝัน “เสียดายเป็นผัวแก” ก่อนจะตกลงมาสู่พื้นอย่างแรงเพราะดันเป็นผัวของเพื่อนสนิท!
“บ้า ผัวเผออะไรกันไม่ใช่สักหน่อย” เธอรีบปรามเพื่อนของตัวเองทันที ส่งผลให้คนที่ยืนตรงข้ามกันได้แต่ส่งเสียงคิกคักในลำคออย่างนึกสนุก
“แล้วที่แกพูดค้างไว้ที่ห้องแต่งตัวหมายความว่ายังไง เล่ามาให้หมดเดี๋ยวนี้เลยนะ!” รัตน์ลดายังคงคาดคั้นจากเพื่อนตัวดี กุลธิดาที่คิดว่าคงหมดหนหางจะหนีเจ้าเพื่อนจอมเผือก จึงตัดสินใจเล่าความรู้สึกแรกที่ได้เจอท่านประธานให้รัตน์ฟัง
จะว่าไปเขาชื่ออะไรกันนะ คลับคล้ายคลับคลาเหมือนได้ยินยัยเมย์อะไรนั่นเรียกว่า ‘พี่ยีนส์’
“ฉันว่าบางทีแกอาจจะตกหลุมรักเขาแล้วก็ได้นะ อารมณ์แบบรักแรกพบอะไรแบบนั้นอ่ะ” รัตน์ลดารีบไขข้อข้องใจของเธอในทันที แม้เธอจะยังรู้สึกไม่ค่อยมั่นใจในเพื่อนตัวดีของเธอก็ตาม
อีกใจนึงก็ยังลังเลในความรู้สึกของตัวเองว่ามันเป็นยังไงกันแน่...
“คงไม่หรอกมั้ง แกอย่าพึ่งคิดไปเองสิ” เธอว่าก่อนจะยกเครื่องดื่มสีสวยขึ้นมาจิบเบา ๆ
“เกวลูก” คุณหญิงนิษาเอ่ยเรียกลูกสาวตัวเองเบา ๆ
“คุณแม่” กุลธิดาวางเครื่องดื่มสีสวยนั่นลงก่อนจะหันไปกอดผู้เป็นมารดาของตัวเองด้วยความรักสุดหัวใจ
“งานแต่งเป็นยังไงบ้างลูกสาวแม่” ใบหน้าของคุณหญิงมองดูลูกสาวเพียงคนเดียวด้วยความเอ็นดูเธอมากกว่าใครเป็นไหน ๆ
“ก็ดีค่ะคุณแม่ คุณยีนส์เขาก็ดูไม่ได้เลวร้ายอะไร” เธอตอบอ้อมแอ้มใส่จนคนเป็นแม่ต้องขมวดคิ้ว
“คุณยีนส์? แล้วหลบหน้าแม่แบบนี้เขินพี่เขาหรอกหรือ?” คุณแม่ยังคงยิ้มด้วยความเอ็นดู แม้ในใจยังคงเป็นห่วงลูกสาวของเธออย่างล้นใจ
“สวัสดีค่ะคุณหญิงนิษา” เสียงทักทายของผู้มาใหม่จำให้แม่ของเธอต้องหันไปรับไหว้เขาในทันที จะเป็นใครไปได้นอกจากคุณประธานหน้านิ่งคนนี้
“งานเป็นยังไงบ้างคะท่านประธาน?” แม่ของเธอตอบกลับเขาด้วยความเกรงใจ แม้คุณแม่ของเธอจะมีอายุมากกว่าเขาก็ตามแต่
“เรียกยีนส์ดีกว่าค่ะคุณหญิง ไม่ต้องพิธีรีตองอะไร” เขาเอ่ยอย่างนอบน้อมซึ่งก็สร้างความประทับใจให้กับเธอและคุณแม่อยู่ไม่น้อย
“จ่ะยีนส์ อ้อ! แล้วก็เรียกแม่เหมือนยัยเกวเขานะ ยังไงก็เป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว” คุณแม่ของเธอว่าส่งผลมาถึงใบหน้าของเธอที่กำลังร้อนผ่าว ๆ
“ค่ะ คุณแม่” เขารับคำก่อนจะเบนสายตากลับมาจ้องมองหน้าเธอ
กุลธิดาที่ทนต่อดาเมจรุนแรงของเขาไม่ไหวจึงตัดสินใจเอื้อมมือไปหยิบเครื่องดื่มสีสวยจากบริกรที่ผ่านมาพอดี ก่อนจะยกกระดกรวดเดียวจนหมดแก้ว
“ตาย! ยัยเกวเดี๋ยวก็เมามายเป็นภาระพี่เขาหรอก ตัวเองยิ่งคออ่อน ๆ อยู่” คุณแม่ของเธอว่า
กุลธิดาทั้งรู้สึกโกรธและรู้สึกอายในเวลาเดียวกัน ทำไมคุณแม่ของเธอต้องพูดจาหน้าอายต่อหน้าเขาด้วยนะ แล้วดูสิยืนยิ้มอะไรก็ไม่รู้ เธอโกรธจนหน้าร้อนไปหมดแล้วนะ!
ใจที่ยังคงขุ่นเคืองส่งผลให้เธอยกมันขึ้นดื่มอีกหลายแก้ว เธอแอบมองใบหน้าที่ดูดีของเขาอยู่อีกหลายครั้ง จะว่าไปเธอไม่ได้สังเกตเขาแต่งตัวในวันนี้เลยนี่น่า
ตอนนี้เขาอยู่ในชุดสูทสีขาวสะอาดที่เธอได้เห็นในห้องลองชุดเมื่อวันก่อน ตัดกับเสื้อเชิ้ตสีดำที่เขาใส่อยู่ภายในก่อนจะใส่เสื้อสูททับ กางเกงสีขาวสะอาดที่ขามันเจ่อขึ้นมานิดหน่อยเพราะสัดส่วนของอีกคนที่สูงเกินผู้หญิงทั่วไป รองเท้าหนังสีน้ำตาลเข้มปลายแหลมที่ช่วยเสริมให้ลุคเขาดูดีมากยิ่งขึ้น แถมเสื้อเชิ้ตด้านในของเขาก็ปลดกระดุมลงมาแล้วสองเม็ด เผยให้เห็นไหปลาร้าได้รูปของอีกคนที่แม้ขนาดเห็นแค่ไหปลาร้ายังดูดี ผมสีบลอนด์ทองที่ถูกมัดรวบแบบลวก ๆ ไว้มันยิ่งเสริมให้เขาดูดีมากยิ่งขึ้น ยิ่งเห็นปรอยผมที่ปรกหน้าของเขาแล้วมันทำให้ใจของเธอเผลอกระตุกอยู่หลายครั้ง
ริมฝีปากที่ถูกแต่งแต้มด้วยลิปสติกสีชมพูธรรมชาตินั้นเผลอยกยิ้มมุมปากให้เธอคิดไปถึงจูบแสนหวานที่เธอได้สัมผัสเมื่อไม่นานมานี้อีกครั้ง หากได้ลองสัมผัสมันอีกครั้งคงจะวิเศษหน้าดู...
“เธอจ้องฉันขนาดนี้ อยากจูบฉันอีกครั้งหรือ” เขาถามหน้าตายโดยที่ไม่ได้หันมามองหน้าของเธอด้วยซ้ำ “ฉันให้เธออีกหลาย ๆ ครั้งเลยก็ได้นะ” เขาหันมาก่อนจะยกยิ้มมุมปากให้เธออย่างคนเจ้าเล่ห์
ส่งผลให้คนที่กำลังคิดเตลิดไปไกลต้องรีบหันไปคว้าเครื่องดื่มจากบริกรขึ้นมากระดกรวดเดียวจนหมดแก้วอีกครั้งอย่างคนหาอะไรทำ
“นี่! ใจเย็นสิยัยเกว ฉันเข้าไปดูแลแกถึงในเรือนหอไม่ได้หรอกนะ!” รัตน์ลดาเอ่ยปรามเพื่อนที่ตั้งท่าจะยกต่ออีกครั้ง
เธอลืมไปได้ยังไงว่าต้องมีการเข้าเรือนหอ ให้ตายสิกุลธิดา!
“แม่ฝากดูแลเกวด้วยนะยีนส์” คุณหญิงนิษาเอ่ยบอกกับลูกเขยของเธออย่างคนใจดี ส่งผลให้กุลธิดาที่นั่งคุกเข่าหน้าแดงอยู่ตรงหน้าผู้เป็นแม่นั้นทำสีหน้าไม่ชอบใจ
“ผมเองก็ฝากท่านประธานดูแลลูกสาวผมด้วยนะครับ” กฤตยชญ์เอ่ยบอกท่านประธานอย่างเกรงอกเกรงใจ ซึ่งเจ้าตัวเองก็ได้เพียงแต่พยักหน้าเป็นการรับปาก
“คืนนี้อย่าออกไปไหนนะลูก แม่กับพ่อต้องไปแล้ว” แม่เธอบอกก่อนจะยกมือปาดน้ำตาของตัวเองที่มันกำลังจะไหลนองออกมา
เธอเดินเข้าไปกอดบิดาและมารดาของตัวเองอีกครั้งก่อนจะปล่อยโฮออกมาอย่างเด็กเอาแต่ใจ ตลอดชีวิตของเธอไม่เคยห่างจากพ่อกับแม่เลย มันจึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่เธอจะทำใจได้ในตอนนี้
“อย่างอแงมากนะลูก ดูแลพี่เขาด้วย” คนเป็นพ่อเอ่ยบอกอีกครั้งก่อนจะเดินออกจากห้องไป
ทันทีที่ประตูปิดลงเธอก็เผลอปล่อยโฮร้องไห้ออกมาอีกชุดใหญ่ ก่อนจะยกมือกอดร่างของตัวเองเอาไว้ด้วยความรู้สึกที่โดดเดี่ยว...
หมับ!
สัมผัสที่อ่อนโยนและแผ่วเบานั้นทำให้เธอเผลอสะดุ้งโหยง แต่เธอไม่อยากปฏิเสธเลยว่ามันเป็นสัมผัสที่เธอนั้นต้องการ กุลธิดาหันหน้ากลับไปเผชิญหน้ากับร่างสูงนั้นทั้งน้ำตา เธอเผลอมองเห็นแววตาวูบไหวของเขาอยู่ชั่วพริบตา ก่อนแววตานั้นจะเปลี่ยนเป็นนิ่งเฉยอีกครั้งราวกับว่าแววตาอ่อนไหวนั้นมันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
“ฮึก...” เธอยังคงร้องไห้อยู่อย่างนั้น จนญานิศราต้องคว้าตัวเธอเข้ามากอดไว้แนบแน่น
อ้อมกอดของเขามันช่างอบอุ่นและปลอดภัย เธอรู้สึกแบบนั้นจริง ๆ รู้สึกว่าอ้อมกอดของเขาที่ส่งมอบมันมาให้เธอนั้นช่างอ่อนโยน เธอเลือกจะกอดตอบเขาไปอย่างไม่ลังเล
ไม่มีคำพูดใดๆ เพื่อปลอบใจ มีเพียงเสียงสะอื้นของเธอและอ้อมกอดของเขาเท่านั้นที่มันทำให้เธอรู้สึกดีอย่างที่ไม่เคยเป็นกับใครมาก่อน
บางทีเธออาจจะตกหลุมรักเขาเหมือนกับการเจอรักแรกพบอย่างที่เธอวาดฝันไว้จริง ๆ ก็ได้นะ...