ให้ตายสิ! เธอหยุดคิดถึงใบหน้าที่แสนดูดีนั้นไม่ได้เลย ใจเธอยังคงเต้นแรงทุกครั้งที่ใบหน้านั้นเผลอลอยเข้ามาปั่นป่วนในหัวสมองของเธอ มันวนไปวนมาเสียจนเธอรู้สึกรำคาญตัวเองที่เอาแต่คิดถึงใบหน้านั้น!
“เงยหน้าขึ้นหน่อยค่ะเจ้าสาว” เสียงพี่ช่างแต่งหน้าร้องเรียกสติเธอขึ้นมาเบา ๆ และเธอก็ยอมเงยหน้าขึ้นตามอย่างว่าง่าย
วันนี้เป็นวันที่เธอไม่อยากให้มันมาถึงเลยสักนิด เวลาผ่านไปไวเหมือนกับโกหก แป๊ป ๆ ก็เข้าช่วงพิธีที่เธอจะต้องแต่งงานแล้ว กุลธิดาถอนหายใจรอบที่เท่าไหร่ของวันก็ไม่อาจจะนับได้ เธออยากจะหนีงานแต่งให้มันรู้แล้วรู้รอดไป แต่พอคิดถึงคนที่อยู่ข้างหลังของเธอจะต้องลำบาก ทำให้เธอตัดสินใจที่จะอยู่ต่อแม้ในใจมันเรียกร้องให้เธอออกไปก็ตาม...
“เกววว เป็นยังไงบ้าง?” รัตน์ลดาถือวิสาสะเปิดประตูเข้ามาโดยไม่ได้เคาะห้อง
พวกเธอสนิทกันชนิดที่สามารถบอกความลับอะไรได้ในหลาย ๆ อย่าง และรัตน์ลดาก็เป็นเพื่อนในไม่กี่คนที่เธอชวนมางานแต่งของเธอด้วย แม้เธอจะไม่เต็มใจแต่งก็ตามแต่
“ใกล้เสร็จแล้วแหละ งานข้างนอกเป็นยังไงบ้าง?” เกวเอ่ยถามเพื่อนสนิทที่ตอนนี้หย่อนก้นลงนั่งตรงข้ามกับเธอเรียบร้อย
“งานนี่อลังการสมกับเป็นประธานบริษัทยักษ์ใหญ่มากเวอร์ ถ้าฉันได้แต่งงานกับคนรวย ๆ แบบนี้บ้างก็คงดี” รัตน์ลดาเอ่ยเหมือนคนเพ้อฝัน เหมือนเพื่อนสนิทของเธอจะลืมไปว่า...
เธอต้องมาแต่งงานกับไอแก่ที่ไหนก็ไม่รู้!
“เหมือนแกจะลืมความสำคัญในเรื่องนี้ไป” กุลธิดาเอ่ยขัดฝันเพื่อนเสียจนรัตน์ลดาต้องหน้ามุ้ยเพราะเพื่อนสนิทคนนี้ไม่เคยได้ดั่งใจเธอเอาเสียเลย
“ก็ตัดเรื่องนั้นไปมันก็เพอร์เฟคไม่ใช่หรือไง!” รัตน์ลดาเอ่ยอย่างหัวเสียก่อนจะทำหน้าเพ้อฝันขึ้นมาอีกครั้ง “นี่แก ฉันไปเจอผู้หญิงคนนึงมาหล่อมากกก” รัตน์ลดาเน้นคำว่ามากจนกุลธิดานึกจะหมั่นไส้ในความมโนของเพื่อนเธอเอง ซึ่งเธอก็พอรู้รสนิยมของเพื่อนสาวที่ชอบผู้หญิงด้วยกันหรือเรียกง่าย ๆ ว่าเลสเบี้ยนนั่นแหละ
“ผู้หญิงที่ไหนจะหล่อ แกบ้าปะ!” เธอเอ่ยดักคอเพื่อนก่อนจะนึกถึงใบหน้าของใครอีกคนที่ลอยเข้ามาในหัวเธออีกครั้ง “แต่ก็เหมือนจะมีอยู่แหละ...มั้ง” เธอพูดราวกับคนเพ้อ จนรัตน์ลดาต้องขมวดคิ้วมุ่นเมื่อเห็นเพื่อนตัวดีของเธอทำหน้าเพ้อฝันราวกับเจอชายในฝัน
“แกว่าไงนะ?” รัตน์ลดาเค้นเอาความจริงจากคนตรงหน้า จนกุลธิดาได้สติขึ้นมาอีกครั้ง
“ปะ...เปล่านี่” กุลธิดารีบปฏิเสธพัลวัน
“แกบอกฉันมาเดี๋ยวนี้นะ! ไปตกหลุมรักใครที่ไหนมา!”
“คุณหนูคะ ได้เวลาแล้วค่ะ” เสียงระฆังช่วยชีวิตของเธอดังขึ้นพร้อมกับที่เธอถอนหายใจอย่างโล่งอก พอมองกลับไปที่เพื่อนตัวดีมันก็ยังคงชี้นิ้วคาดโทษเธอ เปรียบเสมือนถ้าเธอยังไม่ยอมสารภาพออกมายัยเพื่อนคนนี้คงจะปาดคอเธอจิ้มน้ำพริกเป็นแน่...
ชุดเจ้าสาวสีขาวสะอาดตา ผ้าคลุมหัวเจ้าสาวลายลูกไม้ ในมือก็กำช่อดอกไม้ช่องามไว้ในมืออย่างนึกประหม่า อีกแค่ไม่กี่อึดใจเธอจะได้พบกับเจ้าบ่าวของเธอแล้ว
เธอหยุดรออยู่ที่หน้าประตูที่ถูกปิดไว้ด้วยหัวใจที่เต้นระรัว เงยหน้ามองผู้เป็นบิดาที่แม้ใบหน้ายังคงเปื้อนยิ้มแต่แววตาของเขากลับเศร้าหมอง
เธอส่งรอยยิ้มที่คิดว่าจริงใจที่สุดให้แก่ผู้เป็นบิดาเพื่อหวังจะลบความเศร้าหมองออกจากดวงตานั้นบ้าง หันมองอีกข้างก็เห็นรัตน์ลดามองเธอด้วยแววตาแห่งความเป็นห่วง แม้เธอจะไม่เอาไหนในเรื่องของความเป็นเพื่อน แต่รัตน์ลดาก็คอยอยู่เคียงข้างเธอเสมอ
“ทำหน้าที่ของแกให้ดีที่สุดนะ ไม่ว่ายังไงฉันก็จะอยู่ข้างแก” รัตน์ลดาเอ่ยบอกเพื่อนสาวทั้งเสียงสั่นเครือ เธอเป็นห่วงกุลธิดา เธอรู้เรื่องราวทุกอย่างของเกวแต่เธอก็ไม่สามารถช่วยเหลืออะไรเพื่อนของเธอได้มาก อย่างน้อยก็ยังบอกให้เพื่อนของเธอได้สบายใจว่ามีเธออยู่เคียงข้างเสมอ
“ได้เวลาแล้วครับคุณหนู” เสียงคนสนิทของท่านประธานดังขึ้น
เธอเอื้อมมือไปคล้องแขนของผู้เป็นพ่อ สูดหายใจเข้าลึก ๆ หนึ่งครั้ง ก่อนบานประตูนั้นจะเปิดอ้ากว้างขึ้นเพื่อให้เธอได้เดินเข้าไปด้านใน
เป็นเพราะเธอสวมผ้าคลุมปิดหน้าไว้ เธอจึงยังไม่สามารถเห็นหน้าว่าที่เจ้าบ่าวของเธอได้ชัดนัก เธอเห็นเพียงเรือนรางว่าเขากำลังมองมาทางเธอ กลีบดอกไม้ที่โรยทางตลอดที่เธอเดินมามันช่างสวยงามยิ่งนัก หากเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เธอเต็มใจ มันคงจะดีไม่น้อยที่ได้เข้าพิธีวิวาห์กับชายที่เธอรักแบบนี้
เมื่อสิ้นสุดทางเดินผู้เป็นพ่อจำต้องปล่อยให้ลูกสาวสุดที่รักของเขาไปหาผู้เป็นเจ้าบ่าว กุลธิดาหันหน้ามามองผู้เป็นพ่อเธออีกครั้ง เธอเห็นน้ำตาที่คลอหน่วยของผู้เป็นบิดาทำให้เธอเองก็เริ่มมีน้ำตาคลอบ้างแล้วเช่นกัน
ดวงตาของเธอเริ่มพล่ามัวเพราะน้ำตาที่เอ่อล้นรอบ ๆ ดวงตา ก่อนเธอจะรู้สึกเหมือนมีใครสักคนมากอบกุมมือของเธอไว้ สัมผัสที่เขามอบให้เธอช่างอ่อนโยนและแผ่วเบา แต่น้ำตาเจ้ากรรมก็ดันเอ่อนองจนเธอไม่สามารถมองหน้าเขาได้อย่างเต็มตาให้ตายสิ!
เขาค่อย ๆ บรรจงเปิดผ้าคลุมของเธอออกด้วยมือทั้งสองข้างของเขา สัมผัสต่อมาทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก เขาเอื้อมมือขวาของเขาขึ้นมาเกลี่ยคราบน้ำตาของเธออย่างแผ่วเบา เขาจับปลายคางของเธอให้เงยหน้ามาสบตากับเขา ทันทีที่ได้สบตาหัวใจของเธอกลับกำลังทำงานอย่างหนักหน่วง
ตึกตัก ตึกตัก ตึกตัก
ใบหน้าที่เธอเฝ้าคิดถึงมาตลอดทั้งสัปดาห์ ในความสับสนและมึนงงของเธอนั้นทำให้สติของกุลธิดาไม่ได้จดจ่ออยู่กับบาทหลวงที่กำลังอวยพรแก่คู่บ่าวสาวเลยแม้แต่น้อย
“เป็นเพราะความประสงค์ของพวกเธอที่จะแต่งงาน ให้ประสานมือขวา และประกาศความยินยอมของพวกเธอต่อหน้าพระองค์ และศาสนิกชนของพระองค์”
ทันทีที่บาทหลวงว่าจบเขาก็เอื้อมมือขวาของตัวเองมากอบกุมมือของเธอไว้แน่น
“ฉัน ญานิศรา ขอรับคุณ กุลธิดา เป็นภรรยาของฉัน ฉันสัญญาว่าจะซื่อสัตย์ต่อคุณทั้งในยามสุขและยามทุกข์ ในยามไข้และสบายดี ฉันจะรักคุณและให้เกียรติคุณตลอดชั่วชีวิตของฉัน” เขาเอ่ยพร้อมทั้งจ้อมมองเธออย่างไม่วางตา ทำให้หัวใจดวงน้อย ๆ ของเธอรู้สึกอบอุ่นอย่างไรชอบกล
“ตาเธอแล้ว...” บาทหลวงเรียกเตือนสติเมื่อเธอยังคงยืนนิ่งไม่ไหวติง ก่อนที่กุลธิดาจะพยักหน้ารับ
“ฉัน กุลธิดา เอ่อ...ขอรับคุณ ญานิศรา เป็นสามีเอ่อ...หรือภรรยาของฉัน ฉันสัญญาว่าจะซื่อสัตย์ต่อคุณทั้งในยามสุขและยามทุกข์ ในยามไข้และสบายดี และเอ่อ...ฉันจะรักคุณและให้เกียรติคุณตลอดชั่วชีวิตของฉัน”
เธอที่เป็นพุทธร้อยเปอร์เซ็นต์เอ่ยออกมาผิด ๆ ถูก ๆ แม้จะฝึกท่องมาเป็นอย่างดีก็ตามแต่ใครจะไปรู้ว่าเจ้าบ่าวของเธอนั้นเป็นผู้หญิง
“สวมแหวนเสียสิ” บาทหลวงเอ่ยบอกคนตรงหน้าของเธอทั้งรอยยิ้ม เขาบรรจงสวมแหวนเพชรน้ำงามลงบนนิ้วมือของเธออย่างอ่อนโยน “คราวนี้เป็นตาของเธอบ้าง” บาทหลวงคนเดิมหันมาพูดกับเธอบ้าง เธอหยิบแหวนเพชรเช่นเดียวกันกับบนนิ้วของเธอมาสวมไว้ที่นิ้วนางข้างซ้ายของเขาเช่นเดียวกัน
ทันทีที่แหวนจรดลงสุดนิ้วของเขา เธอเงยมองหน้าเขาก่อนจะต้องรู้สึกหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อคนที่เธอพึ่งสวมแหวนให้ บัดนี้กำลังยืนมองหน้าเธออยู่ก่อนแล้ว แววตาของเขานั้นเป็นประกายภายใต้ใบหน้าที่นิ่งเฉย เรียวหน้าของเขาช่างดูดี ริมฝีปากกระจับนั้นมันช่างน่าสัมผัสยิ่งนัก
“บัดนี้พวกเธอทั้งสองเป็นสามีภรรยากันแล้ว เจ้าบ่าวเชิญจูบเจ้าสาวได้” สิ้นคำบาทหลวงดวงตาของเธอก็เบิกโพล้งทั้งสองข้างอย่างตื่นตกใจ
เขาเชิดปลายคางของเธอให้สูงขึ้นเพราะขนาดความสูงของเราที่ต่างกันราว ๆ สิบเซนติเมตรนั้น ทำให้เขายังต้องย่อตัวลงมาเพื่อจูบเธอ เขาปล่อยให้ริมฝีปากของตัวเองได้ทำตามใจ เธอมองเห็นเขาหลับตาพริ้มกับสัมผัสนั้นก็อดไม่ได้เลยที่เธอจะเผลอไผลไปกับจูบแสนหวานนี้ที่เขานั้นมอบให้
กุลธิดาเผลอหลับตารับจูบที่แสนหวานของเขา ท่ามกลางเสียงโห่ร้องดีใจของผู้คนภายในงาน แต่ตอนนี้เหมือนทั้งโลกมีเพียงเราสองคน เขาผละจูบออกไปอย่างหน้าเสียดายก่อนจะลูบแก้มเธอด้วยแววตาแห่งความเสน่ห์หา
แววตาที่พร้อมจะทำให้เธอตกหลุมรักเขาได้ทุกเมื่อที่เขาต้องการ