Introduction
ก๊อก ๆ ๆ
“คุณคะ...คุณ” คุณหญิงนิษาเคาะประตูเรียกสามีของตนด้วยความร้อนใจ เพราะสามีของเธอตั้งแต่กลับมาจากบริษัทในช่วงหัวค่ำก็เอาแต่ครุกตัวอยู่แต่ในห้องทำงาน จนเธอนึกเกิดเป็นห่วงจึงมาเคาะประตูเรียกสามีอยู่สักพักนึงแล้ว แต่คนในห้องกลับเงียบเชียบ ไม่มีแม้เสียงตอบรับใด ๆ กลับมาสักคำ
“เกิดอะไรขึ้นคะคุณแม่” กุลธิดาลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนคนเดียวของตระกูลปัจรักษ์โภคินเอ่ยถามผู้เป็นมารดาของเธออย่างร้อนใจ
เพราะเมื่อทันทีที่เธอก้าวเท้าเข้ามาภายในบ้านแม่อ๋อยแม่นมของเธอก็เดินมาบอกว่าคุณท่านไม่ยอมออกมาจากห้อง ทำให้เธอต้องรีบสาวท้าวยาว ๆ เพื่อมาดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
“ก็คุณพ่อเราน่ะสิ ตั้งแต่กลับมาจากบริษัทก็ไม่ยอมออกมาจากห้องเลย แม่รู้สึกไม่ชอบมาพากล”
เธอเอ่ยบอกลูกสาวทั้งคิ้วขมวด ก่อนจะพยายามเคาะประตูอีกสองสามครั้งแต่ผลก็ยังคงเป็นอย่างเดิม
“แม่อ๋อยคะ ช่วยไปเอากุญแจสำรองมาให้เกวทีค่ะ” เธอเอ่ยขอคนเก่าคนแก่ในบ้านอย่างนอบน้อม ก่อนที่แม่อ๋อยจะก้มหัวให้และเดินไปทำตามค่ำสั่งของคุณหนูอย่างว่าง่าย
“นี่ค่ะคุณหนู” ผ่านไปราว ๆ ห้านาที แม่อ๋อยของเธอก็เดินกลับมาพร้อมกุญแจในมือ เธอเอ่ยขอบคุณก่อนจะถือวิสาสะไขกุญแจเข้าไปในห้องอย่างร้อนใจ
“คุณพ่อ..” เธอเอ่ยเรียกผู้เป็นบิดาอย่างแผ่วเบา
ทันทีที่เธอก้าวเข้าไปในห้อง ก็ทำให้หัวใจของเธอกระตุกวูบขึ้นมาอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน คุณพ่อที่เป็นเหมือนดั่งฮีโร่ของเธอ คุณพ่อที่คอยมอบรอยยิ้มอบอุ่นให้เธอมาตลอด บัดนี้ท่านกำลังเอามือกุมขมับไว้ทั้งสองข้าง พร้อมปล่อยเสียงสะอื้นขึ้นมา ถึงมันจะไม่ดังมากแต่เธอก็รับรู้ได้จากไหล่ที่สั่นเทานั้นว่าคุณพ่อของเธอที่เคยเข้มแข็งมาตลอด
กำลังร้องไห้แทบขาดใจ...
“คุณคะ..เกิดอะไรขึ้น” คุณหญิงนิษาเองก็ตกใจกับภาพที่ได้เห็น ผู้เป็นสามีของเธอกำลังร้องไห้อย่างหนัก ขวดเหล้าวางบนพื้นกระจัดกระจายเต็มไปหมด ไม่ต่างจากกองเอกสารที่คุณหญิงเองก็ไม่สามารถรับรู้ได้ว่ามันคืออะไร
“ฮึก...เรากำลังจะเสีย...ทุกอย่าง..ฮึก” กฤตยชญ์เอ่ยออกมาอย่างคนเสียสติ “ผม..ผมขอโทษ ฮึก” เขาเงยหน้าขึ้นมากอดภรรยาอย่างคนไร้เรี่ยวแรง ทำให้คุณหญิงนิษาเผลอน้ำตาไหลอาบแก้มทั้งสองข้างอย่างนึกสงสารผู้เป็นสามี
ไม่ต่างอะไรจากกุลธิดาที่มองภาพของผู้เป็นพ่อกำลังร้องไห้อย่างหนัก เธอไม่รู้ว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่เธอเห็นคุณพ่อในสภาพแบบนี้แล้วเธอทนไม่ไหว กุลธิดาเดินเข้าไปหาผู้เป็นพ่ออย่างใจเย็นก่อนจะกอดปลอบคุณพ่อของเธอจากทางด้านหลังและปล่อยเสียงโฮร้องไห้ออกมาพร้อม ๆ กันทั้งสามคน
“เราจะไม่เสียอะไรไปค่ะคุณ ฉันกับลูกเรายังอยู่ตรงนี้” คุณหญิงของบ้านลูบหัวปลอบสามีของเธออย่างแผ่วเบาและก็ได้ผล กฤตยชญ์คลายเสียงสะอื้นลงไปได้บ้างแต่ยังคงมีน้ำตาคลอที่ดวงตาอยู่
เขาผละออกจากผู้เป็นภรรยาก่อนจะบอกให้ทั้งสองคนนั่งลงตรงข้ามกับเขา คุณหญิงนิษาและกุลธิดาก็ทำตามอย่างว่าง่าย พวกเธอเดินอ้อมโต๊ะไปนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามของเขา
“ตอนนี้ผมกำลังจะเป็นบุคคลล้มละลาย” เขาเอ่ยบอกกับทั้งสองคนก่อนจะยกมือปาดน้ำตาตัวเองออกอย่างไม่ใส่ใจมันนัก “ไอไพโรจน์มันหักหลักผม” แม้น้ำตายังคลอหน่วยอยู่แต่แววตาของเขานั้นแข็งกร้าวแฝงไปด้วยความเคียดแค้นต่อเพื่อนที่คบกันมานานกว่าสามสิบปี
ทั้งคุณหญิงและกุลธิดาต่างก็นิ่งอึ้งกับสิ่งที่ได้ยิน คุณลุงไพโรจน์ที่เธอเห็นมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย ทำไมถึงต้องหักหลังคุณพ่อที่เป็นเพื่อนรักกันมาตั้งนมนาน
“เรากำลังจะโดนยึดทุกอย่างที่เคยเป็นของเราไปทั้งหมด ทั้งบ้าน ทั้งรถ หรือแม้แต่บริษัทที่ผมสร้างมันขึ้นมาเองกับมือ” กฤตยชญ์เผลอกำมือแน่นด้วยความเคียดแค้น จำให้กุลธิดาต้องยกมือทั้งสองข้างของเธอไปกอบกุมมือผู้เป็นบิดาไว้
“แล้วเราพอจะมีทางออกเรื่องบ้า ๆ นี้ไหมคะคุณ” คุณหญิงถามผู้เป็นสามีด้วยความสงสัย ไม่ใช่ว่าหล่อนกลัวลำบากแต่เพราะเป็นห่วงกุลธิดาที่กำลังเรียนมหาวิทยาลัยจะต้องพลอยลำบากไปด้วย เพราะเธอเปรียบเสมือนหัวแก้วหัวแหวนเพียงสิ่งเดียวของทั้งคุณหญิงและกฤตยชญ์
“มันก็พอมีทางออกอยู่บ้าง แต่..” กฤตยชญ์เปลี่ยนเป็นมากำมือลูกสาวของเขาไว้แทน “พ่อไม่อยากให้เรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นเลย” เขาพูดพลางน้ำตาเอ่อนองขึ้นมาอีกครั้ง
กุลธิดาเองก็เผลอปล่อยให้น้ำตาอาบลงทั้งสองแก้มด้วยความไม่เข้าใจ เพราะเธอไม่รู้ว่าสิ่งที่กำลังจะช่วยครอบครัวของเธอนั้นมันคืออะไร แล้วมันเกี่ยวกับเธอด้วยหรือเปล่า...
“ผมเข้าไปที่อัครวัชรโยธินกรุ๊ปมาเพื่อขอความช่วยเหลือในเรื่องนี้...” เขาเอ่ยบอกแก่คุณหญิงที่กำลังตั้งอกตั้งใจฟังไม่ต่างจากกุลธิดา “ผมได้คุยกับคนสนิทของท่านประธานและเขาพร้อมจะยื่นมือมาช่วยเรา” เขาถอนหายใจเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยต่อ “แต่เขาขอข้อแลกเปลี่ยนอยู่สองข้อที่ทำให้ผมรู้สึกหนักใจอยู่ไม่น้อย” เขาบอกก่อนจะหันมองหน้าลูกสาวอย่างเศร้าใจ
“อะไรหรือคะคุณ?” คุณหญิงที่เห็นสามีเงียบไปทำให้เธอรู้สึกร้อนใจ จึงเร่งให้สามีพูดออกมาโดยเร็ว
“ข้อแรก เขาขอให้ผมไปช่วยดูแลเป็นผู้จัดการด้านการเงินในบริษัทอัครวัชรโยธินกรุ๊ป” เขาบอกต่อแต่สีหน้ายังคงไม่ดีขึ้นจากเดิมเท่าไหร่นัก
ทั้งคุณหญิงและกุลธิดาเองก็ไม่ค่อยเข้าใจนักว่ามันจะเป็นเรื่องที่หน้าหนักใจอย่างไร เพราะเธอก็เชื่อว่าแค่เป็นผู้จัดการที่บริษัทอัครวัชนโยธินกรุ๊ปคงไม่ใช่เรื่องอยากสำหรับพ่อของเธอเท่าไหร่ เพราะท่านก็ผ่านการเป็นประธานมาแล้ว แค่ผู้จัดการคงไม่หนักหนาสาหัสเสียจนคุณพ่อของเธอนั้นรับมันไม่ไหว ฟัง ๆ ไปก็เป็นเรื่องดีเสียด้วยซ้ำที่คุณพ่อของเธอยังคงมีงานทำอยู่
“แล้วอีกข้อล่ะคะ” คราวนี้เป็นกุลธิดาเองที่ทนไม่ไหว จึงรีบเร่งให้ผู้เป็นบิดาพูดต่อ
“ส่วนอีกข้อ..เขาขอให้ลูกตกลงแต่งงานกับประธานบริษัทอัครวัชรโยธินกรุ๊ป”