“ถ้าเธอคิดหนี ฉันจะจัดการคนรอบตัวเธอทีละคน จะลองดูก็ได้นะ”
มือหนาเชยคางมนของเธอให้เชิดขึ้น ก่อนกดจูบที่ริมฝีปากอวบอิ่มของเธอหนักๆ พลางขบเม้มอย่างละเมียดละไม โดยไม่สนใจใบหน้าหวานที่มีน้ำตาเอ่อคลอออกมา เขาหันหลังจัดการเสื้อผ้าของตัวเองจนเรียบร้อย กล่าวทิ้งท้ายแล้วเดินออกไป
“.. อึก ... ฮื้อออออออ ... อึก ...”
เมื่อมาเฟียหนุ่มเดินพ้นขอบประตู ร่างบางเปลือยเปล่าที่นั่งอยู่บนเตียงพร้อมกับรอยฟกช้ำตามร่างกายก็ปล่อยโฮออกมาด้วยหลากหลายความรู้สึก ผิดหวัง เสียใจ และมันตอกย้ำว่ามาเฟียหน้ากลัวแค่ไหน
เธอยกเข่าขึ้นชันฟุบหน้าลงกับเข่าปล่อยสายธารน้ำตาให้หยดลงมาเปื้อนเรียวขาหยดแล้ว หยดเล่า มาร์แชลที่รักของเธอเขาเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ
เขาจะรู้บ้างไหม ว่าที่ผ่านมาเธอเจออะไรมาบ้าง เขาพร่ำพูดว่าเธอทำให้เขาเสียใจจนเป็นบ้าเป็นหลัง แล้วเธอเล่า เธอไม่เจ็บอย่างนั้นหรือ เธอไม่เสียใจเลยใช่ไหม ที่ต้องแบกท้องหนีเขามาอย่างนี้
“ ... ฮึก ... ฮื้อออออ ... ฮึก ....”
ช่วงเวลาที่กำลังเสียใจอยู่ไม่กี่นาทีนั่น อยู่ๆ หัวสมองสั่งการ เขาจะเอาลูกเธอไป เขาลงไปแล้ว เธอจะมานั่งเสียใจอย่างนี้ไม่ได้ พี่ขุน พี่เขื่อน ต้องอยู่กับแม่เท่านั้น
หญิงสาวรีบลุกพรวดพราด ไม่มีแม้แต่เวลาจะเช็กดูความเรียบร้อยของเรือนกาย เธอรีบเปิดตู้สวมเสื้อผ้าลวกๆ เช็ดคราบน้ำตาที่อยู่บนพวงแก้ม แล้ววิ่งลงไปข้างล่างในทันที
“พร้อมกันหรือยังครับหนุ่มๆ”
“พร้อมแย้วววว / พร้อมก้าบบ”
หญิงสาววิ่งลงมาจนถึงบันไดบ้านชั้นสุดท้าย สายตาจ้องมองภาพตรงหน้าอย่างยากจะคาดเดา เธอไม่รู้เลยว่าควรจะต้องทำยังไงนับจากนี้
มาเฟียหนุ่มใช้สองแขนแกร่งอุ้มพี่ขุน พี่เขื่อนไว้ภายในอ้อมอก ส่วนเจ้าลูกชายก็ดูจะกระดี๊ กระด๊าเสียเหลือเกิน มาเฟียหนุ่มหมุนตัวกลับมา เขาเผลอหลุดยิ้มอ่อนโยนให้หญิงสาวคนที่ตัวเองเพิ่งจะรังแกด้วยความรุนแรงมาเมื่อครู่
และเขารีบหุบยิ้มในทันที เมื่อรู้สึกตัวว่าสายตาแห่งความสับสนถูกส่งมายังตัวเอง เขาก้มลงหอมลูกชายทั้งคู่ก่อนกระซิบกระซาบบางอย่างกับเจ้าตัวเล็ก แล้วรีบดึงหน้าให้กลับมานิ่งราวกับรูปปั้นดังเดิม
“มี๊ ค้าบบ จาไปชุดนี้หย๋อ” เด็กชายเขื่อนพูดจาเจื่อยแจ่วเก่งกว่าใครเอ่ยปากถามผู้เป็นแม่ ตามคำของผู้เป็นพ่อเมื่อครู่
ผู้เป็นแม่ได้แต่แสดงสีหน้างุน งง ไปไหน อะไร แม้ร่างกายจะอ่อนล้า แต่เธอกลับไม่แสดงความอ่อนแอออกมาให้ลูกชายสุดที่รักได้เห็นใบหน้าหวานระบายยิ้มออกมาบางๆ ต่างจากเมื่อครู่ที่กำลังร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวร
“มี๊ เร็วๆ ก๊าบบ ขุนหิว”
เด็กชายขุนไม่ยอมแพ้พี่หรอกนะ แม้จะเป็นเด็กที่นิ่ง และขรึมกว่า แต่เรื่องอ้อน เก่งไม่เป็นสองรองใคร เด็กชายทั้งสองซึ่งขาดแคลนพ่อมาตั้งแต่แรกเกิด กำลังพยายามทำให้ผู้เป็นพ่อประทับใจในความฉลาดของตัวเอง พวกเขาไม่อยากที่จะต้องถูกทอดทิ้งอีกแล้ว
“ปะ ... ไปไหนครับพี่ขุน พี่เขื่อน”
เด็กๆ บ้านนี้เขาแย่งกันเป็นพี่ โดยที่ผู้เป็นแม่ก็ได้แค่ให้ความเท่าเทียมกันด้วยกันเรียกเด็กแสบทั้งสองว่าพี่จนเคยชิน เธอเผลอมองใบหน้าของมาร์แชลที่แอบอมยิ้มให้กับความฉลาดของลูกชายในสายเลือด เขามั่นใจอย่างแน่นอนว่าเด็กสองคนนี้เป็นลูกเขาแน่ๆ
“จะไปด้วยกันไหม”
น้ำเสียงแข็งกราวอ่อนลงเมื่ออยู่ต่อหน้าลูกจนหญิงสาวที่ถูกทารุณมาเมื่อครู่แอบแปลกใจเล็กๆ น้ำเสียงทุ้มนุ่ม อย่างนี้ มันทำให้เธอคิดถึงมาร์แชลของเธอจบจับใจ ต่างจากคนนี้ลิบลับที่เขานั้นมีแต่ความแข็งกราวไร้ซึ่งความอ่อนโยน
“ปะ ... ไป”
เธอต้องไปแน่นอนอยู่แล้ว ใครจะปล่อยเนื้อให้เข้าปากเสืออย่างที่คนที่อุ้มเด็กชายทั้งสองได้เคยพูดไว้ละ หากปล่อยให้ลูกไปกับเขา มีหวังว่าเธออาจจะไม่ได้ลูกคืนแน่ๆ
“รอหม่ามี๊แป๊ปนึงนะครับคนเก่ง”
หญิงสาวพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเช่นกัน เธอเหลือบตามองคนที่อุ้มตัวเล็กแนบอกไม่ยอมปล่อยเพียงนิด ก่อนจะเดินขึ้นมาบนชั้นสองเพื่อจัดการกับตัวเองให้เรียบร้อย
“ดี๊ รอ มีี แป๊ปน้าคร้าบบ”
มาร์แชลไม่ได้ตอบอะไรลูกชายกลับไป เขาใช้จมูกโด่งคมกดลงที่พวงแก้มซาลาเปาของเด็กชายทั้งสองสลับกันไปมาหลายต่อหลายครั้งในใจพลางคิดคับแค้น หากเอมมิกาไม่หนีมา เขาก็จะได้ใช้ชีวิตที่สมบูรณ์กับเธอ และลูกชายทั้งสอง เธอทำให้เขาเสียช่วงเวลาดีๆ ในวัยเด็กเล็กของลูกชาย เธอต้องชดใช้ในสิ่งที่เธอตัดสินใจทำ
“ดี๊ค้าบบ ลุงซีโน่ไปด้วยมั้ย”
หัวคิ้วหนาขมวดเข้าหากันยุ่ง ซีโน่ ใคร ชื่อที่ไม่คุ้นหูทำให้ผู้เป็นพ่อแอบข่มอารมย์เอาไว้ ทำใจดีสู้ลูกชาย ถามกลับไปด้วยน้ำเสียงนุ่มละมุน
“ลุงซีโน่ ใครหรอครับพี่ขุน พี่เขื่อน”
“มี๊บอกว่าเป็นคุณหมอ”
“ไม่ใช่สักหน่อย ขุนอะมั่วแล้ว มี๊บอกว่าลุงซีโน่เป็นเพื่อนต่างหาก”
มาเฟียหนุ่มพยายามข่มความไม่พอใจเอาไว้ ก่อนใช้จมูกโด่งคมกดแก้มซาลาเปาของเด็กแสบทั้งสองพลางพยักหน้าเรียกให้นาวินเดินเข้ามาหา
“มึงรู้ใช่ไหม ว่าต้องทำยังไง”
“ครับนาย”
มือขวามาเฟียโค้งคำนับผู้เป็นนายก่อนเลี่ยงเดินออกมาต่อสายหาหนึ่งในลูกน้อง สั่งการสำคัญ อะไรที่ทำให้ผู้เป็นนายร้อนใจ เขาก็พร้อมที่จะกำจัดมันอย่างไม่ลังเล
(ครับคุณนาวิน)
“สืบเรื่องคนชื่อซีโน่มาดิ มันเป็นใคร”
(ครับ)
“กูให้เวลามึงแค่หนึ่งวัน”
(ครับ)
หญิงสาวในชุดกางเกงยีนส์รัดรูปพร้อมกับเสื้อแขนยาวสีขาวปกปิดผิวกาย รวบผมทรงหางม้า เดินลงมาจากชั้นสอง เธอไม่ใช่ผู้หญิงเรียบร้อยอะไรหรอกนะ แต่เพราะตอนนี้ เรือนกายของเธอมีแต่รอยฟกช้ำ และรอยกุหลาบจนท้วนทั่ว
เธอเดินลงมายืนตรงหน้ามาเฟียหนุ่มเพียงนิด ก่อนที่หางตาจะเหลือบมองเห็นกระจกของตู้โชว์ของ ทำให้เธอเห็นรอยคมเขี้ยวที่ลำคอระหงของตัวเอง ก่อนตัดสินใจปล่อยผมทรงหางม้าลงเพื่อปกปิดรอยที่หน้าเกลียดนั่น
“คอมี๊เป็นแผล” เด็กชายขุนสังเกตุเห็นตอนที่ผู้เป็นแม่ปล่อยผมดำขลับลงมาปกปิดพอดี
“ดี๊ค้าบ มี๊เป็นแผล”
“จะให้ดี๊ไปดูเหรอครับ”
สองแสบพยักหน้าหงึกหงัก เขาสองคนตัวเล็กแค่นี้เองจะดูแลแม่ได้ยังไง ก็ต้องพึงผู้เป็นพ่อไปก่อน เมื่อเขาโตเท่าพ่อแล้ว เขาจะเป็นคนดูแลแม่ของเขาเอง
มาเฟียหนุ่มที่อุ้มสองแสบจนแขนแทบล้า เดินเข้าใกล้หญิงสาว เขาวางเด็กชายขุน และเด็กชายเขื่อนลง แล้วใช้ฝ่ามือลูบไล้ท้ายทอยของหญิงสาวเบาๆ
“อย่าทำอะไรทุเรศๆ นะมาร์แชล”
หญิงสาวเอ่ยปรามก่อนด้วยน้ำเสียงรอดไรฟัน เธอเขวี้ยงค้อนให้มาเฟียหนุ่มในทันทีที่เขาสัมผัสท้ายทอยของเธอ ไม่ไว้ใจ เขามันไม่น่าไว้ใจ
“ไม่ได้อยากทำ”
“แล้วทำทำไม”
“ลูกสั่ง”
เอมมิกายืนตัวแข็งทื่อเมื่อมาเฟียหนุ่มลูบไล้ท้ายทอยของเธอเบาๆ เขายกผมดำของเธอขึ้นเพียงนิด แล้วปล่อยลมร้อนออกจากปากไปที่บาดแผลนั่นเบาๆ
“เจ็บมากไหม” น้ำเสียงนุ้มทุ้มที่คุ้นเคยเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง
“ ... ”
“เฮียถามว่าเจ็บมากไหม”
เมื่อไม่ได้รับคำตอบ มาร์แชลจึงใช้ปลายนิ้วกดไปที่บาดแผลของเธอเต็มแรง เพื่อต้องการให้เธอเจ็บปวด ใช่ มันได้ผล คนโดยกระทำใบหน้าบิดเบี้ยว แถมยังโชว์พาวด้วยการเขวี้ยงค้อนไปที่เขาอีก มุมปากหนาแสยะยิ้มอย่างเหนือกว่า
“จะ ... เจ็บ”
“รู้จักเจ็บก็ดี เพราะคืนนี้เธอจะได้ไม่กล้าโกหก”