ไป๋เฟิ่งจื่อเดินมาที่หน่วยคอมมูน โดยถามไถ่จากชาวบ้านที่เดินผ่านไปมา เธอเคาะประตูสำนักงานคอมมูนอยู่ครู่หนึ่งจึงมีคนออกมาเปิดประตูให้ไม่รู้ว่าเขากำลังทำอะไรอยู่
“ มีอะไรรึสาวน้อย “ ชายชราเอ่ยถาม พลางจ้องมองสำรวจด้วยแววตาแทะโลมอีกฝ่าย พลางนึกภาพในหัวไปด้วยว่า ถ้าตนเองได้ควบขี่อยู่บนเรือนร่างของสาวน้อยคนนี้จะมีความสุขแค่ไหนกันนะ !
“ ฉันมีเรื่องจะถามค่ะ ถ้าจะอาศัยอยู่ในหมู่บ้านต้องทำยังไงบ้างคะ “
“ อ้อ เรื่องนี้เธอคงไปถามกับผู้นำหมู่บ้าน รอให้ถึงช่วงพักกลางวัน เขาจึงจะกลับเข้ามา แล้วเธอค่อยมาถามอีกที “
” ขอบคุณค่ะ “ เธอไม่รอช้ารีบเดินกลับออกมาทันที ไม่อยู่ให้ตาแก่บ้ากามแทะโสมผ่านทางสายตาอีก แค่นึกถึงก็ขยะแขยงแล้ว !
หลังจากที่เฝ้ารอจนถึงช่วงพักกลางวันของการลงแปลงนา เธอรอให้สองพี่น้องบ้านเหวินกลับมาก่อน เพื่อที่จะได้กินมื้อกลางวันพร้อมกัน
“ พี่สาวจื่อ พวกเรามาแล้วค่ะ “ เหวินอี๋วิ่งเข้ามากอดร่างบางที่ยืนรออยู่ เธอดีใจที่พี่สาวคนสวยยังอยู่ที่บ้าน
“ มาแล้วหรอ มาเถอะกินมื้อกลางวันกันก่อน พี่อยากให้เธอช่วยพาไปที่บ้านของหัวหน้าหมู่บ้านจะได้ไหม เสี่ยวหนวน เสี่ยวอี๋ “
“ ได้ค่ะ ฉันจะพาพี่สาวไป “
หลังจากที่กินซาลาเปาคนละลูกไปจนอิ่มแล้วทั้งสามก็พากันเดินไปที่บ้านของหัวหน้าหมู่บ้านทันที
“คุณลุงซูอยู่ไหมคะ “ เหวินอี๋ตะโกนเรียกอยู่หน้าประตู
” อยู่ รอเดี๋ยว ใครมากัน “ เสียงของชายชราเอ่ยออกมา
“ คุณลุง พวกเราพาพี่สาวจื่อมาหาคุณลุงค่ะ “ เหวินอี๋เอ่ยบอก
“ เธอหรือ “ ชายชราแซ่ซูเอ่ยถาม
“ ค่ะ ฉันชื่อ ไป๋เฟิ่งจื่อ คือฉันตั้งใจจะมาถามคุณลุงค่ะ ว่าถ้าหากฉันจะอยู่ที่หมู่บ้านนี้ต้องทำยังไงบ้างคะ มีกฏหรือข้อแม้อะไรที่ฉันต้องรู้ไหมคะ “
“ อ้อ ไม่ยากๆ ถ้าเธอจะอยู่ที่นี่ก็มาลงชื่อกับฉันเอาไว้ ฉันจะใส่ชื่อของเธอลงในทะเบียนรายชื่อคนในหมู่บ้านเอง ถ้าเธอไม่ลงงานในแปลงนาเพื่อแลกแต้มรับส่วนแบ่งอาหารก็ต้องจ่ายค่าภาษีรายปี ปีละ 5 หยวน ส่วนบ้านหรือที่ดิน จำกัดที่ครอบครัวละไม่เกิน 2 ไร่ ถ้าซื้อเพิ่ม ราคาไร่ละ 2 หยวน “
” ถ้างั้นฉันตงที่จะอยู่ที่นี่ค่ะ แต่ฉันไม่ลงแปลงนา เพราะฉันมีธุระกิจของตัวเองอยู่แล้วค่ะ อ้อ หมายถึง กิจการค่ะ “
“ อ้อ เข้าใจแล้ว ถ้างั้นเธอต้องจ่าย 5 หยวน ของปีนี้ และปีต่อไปจะเรียกเก็บช่วงเดือนตุลาคม “
” ได้ค่ะไม่มีปัญหา “
“ ส่วนที่ดิน เธออยากอยู่ตรงไหนล่ะ ในหมู่บ้านหลวนชุนยังมีที่ว่างอีกมาก ตั้งแต่บริเวณกลางหใู่บ้านยาวไปจนถึงภูเขาด้านนั้น แล้วก็ที่ติดกับบ้านเหวินตรงนั้นก็ยังว่างอยู่ “
“ ฉันขอที่ดินใกล้บ้านเหวินค่ะ “
“ ได้ ฉันจะนำโฉนไปให้ในอีกสองวัน ส่วนบ้านของเธอจะจ้างชาวบ้านหรือจ้างช่างในเมืองกันล่ะ “
“ ถ้าฉันจะใช้ช่างในเมืองราคาประมาณเท่าไหร่คะ “ เธอเอ่ยถามออกไปเพราะไม่รู้ว่าค่าสร้างบ้านของที่นี่ราคาแพงหรือเปล่า เพราะเงินที่เธอมีอยู่ในมิตินั้นคงราวๆแสนกว่าหยวนเท่านั้น
“ ถ้าเป็นบ้านดินก็ราวๆ 15-30 หยวน ถ้าเป็นอิฐก็ราวๆ 80-200 หยวน ขึ้นอยู่กับขนาดของบ้าน “ ชายชราเอ่ยบอกในความคิดของเขาคาดว่าหญิงสาวคงสร้างแค่บ้านดินหลังเล็กๆเท่านั้น แต่เมื่อได้ฟังคำตอบของเธอก็ตกใจไม่น้อย
“ งั้นฉันใช้ช่างในเมืองค่ะเอาบ้านอิฐ ขนาดก็กลางๆค่ะ แบบ 3 ห้องนอน แล้วก็ล้อมรั้วอิฐรอบๆที่ดิน สูงสัก 2 เมตรนะคะ ฉันขอรบกวนคุณลุงช่วยจัดการให้ด้วยจะได้ไหมคะ “
“ ได้สิ ฉันจะติดต่อช่างในเมืองให้เอง “ เขารับปากร่างบางตรงหน้าอย่างรวดเร็ว พลางคิดไปด้วยว่า บ้านขนาดกลางก็คงราวๆร้อยกว่าหยวน แถมยังล้อมรั้วด้วยอิฐอีกด้วย นี่หมู่บ้านของเขามีเศรษฐีมาอาศัยอยู่หรือยังไงกัน !!! และแน่นอนว่าค่านายหน้าที่จะได้รับจากนายช่างนั้นก็คงราวๆ4-5 หยวนด้วย
“ ขอบคุณค่ะ “ เธอเอ่ยขอบคุณเขาก่อนจะจิ้มให้เล็กน้อย ตามมารยาท
หลังจากที่ถามไถ่และบอกความต้องการเรียบร้อยแล้ว เธอก็พาเด็กทั้งสองกลับมาที่บ้าน
“ พี่สาวจื่อจะอยู่ที่นี่หรือคะ ฉันจะไปหาพี่ที่บ้านได้ไหม “ เหวินอี๋เอ่ยถาม
“ ได้สิ บ้านของพี่สาวยินดีต้อนรับพวกเธอสองคนเสมอ “ เธอเอ่ยตอบพร้อมลูบผมของเด็กน้อยอย่างอ่อนโยน ไม่นานทั้งสองก็กลับไปทำงานในแปลงนากันต่อ ตอนนี้จึงเหลือแค่เธอที่ต้องอยู่ที่บ้านเพียงลำพัง
เธอจึงใช้จังหวะนี้นำอาหารในมิติออกมาใส่กระเป๋าเป้ของตนเองเอาไว้จนแน่น เพื่อที่เวลาจะหยิบอะไรออกมากินไม่ต้องกังวลว่าเด็กทั้งสองจะรู้ความลับของเธอหรือไม่
ผ่านไปแค่สองวันตอนนี้เธอได้ลงชื่อเป็นคนในหมู่บ้านหลวนชุนแล้ว โดยที่หัวหน้าหมู่บ้านได้ประกาศบอกกับชาวบ้านเมื่อเช้านี้แล้ว และช่วงสายๆช่างจากในเมืองก็เริ่มทยอยขนอิฐเข้ามาที่หมู่บ้านแล้ว
” ดูนั่นสิ หล่อนคงร่ำรวยไม่เบา สร้างบ้านอิฐตั้ง 3 ห้องนอนเชียว “ ชาวบ้านพากันพูดคุยอย่างออกรสชาติ เมื่อเดินผ่านที่ดินของไป๋เฟิ่งจื่อ