หลังจากที่เธอล้างมือล้างหน้าเรียบร้อยแล้ว ก็มาดูซาลาเปาที่กำลังนึ่งอยู่บนเตาโดยมีสองพี่น้องนั่งเฝ้ากันอยู่
“ เสี่ยวหนวน พาน้องไปล้างหน้าล้างมือก่อนดีไหมจ้ะ เดี๋ยวเรามากินซาลาเปาด้วยกัน “
“ เราจะได้กินซาลาเปาด้วยหรอคะ “ เด็กน้อยเหวินอี๋เอ่ยถาม แววตาเป็นประกายด้วยความดีใจ
“ จ้ะ เราจะกินซาลาเปาพวกนี้ด้วยกัน “ เธอเอ่ยตอบทันที ในใจอดที่รู้สึกสะท้านกับเด็กน้อยทั้งสองไม่ได้ ไม่รู้ว่าพวกเธอกินอะไรประทังชีวิตกัน พ่อแม่ก็ไม่มีไม่รู้ว่าชาวบ้านที่นี่ให้ความช่วยเหลือบ้างหรือเปล่า
หลังจากที่สองพี่น้องไปล้างหน้าล้างมือเสร็จแล้วเธอก็แบ่งซาลาเปาให้กับสองพี่น้องคนละสองลูก รวมถึงตัวเธอเองด้วย
“ อร่อยจัง พี่ใหญ่ ซาลาเปานี่แป้งนุ่มดีจังเลย “ เหวินอี๋เอ่ยบอกพี่สาวของตนเองด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มสดใส แต่เหวินหนวนนั้นนั่งกินซาลาเปาในมือเงียบๆเท่านั้น
“ อร่อยก็กินให้หมดนะ เดี๋ยวเราจะไปอาบน้ำเข้านอนกัน “ เธอเอ่ยบอกหลังจากที่มองดูนาฬิกาที่ข้อมือของตนเองแล้ว เห็นว่าตอนนี้ใกล้จะสองทุ่มแล้ว
“ เราต้องไปอาบน้ำที่ลำธารค่ะ บ้านของเราไม่มีอ่างใส่น้ำ “
“ อ้อ งั้นวันนี้แค่เช็ดเนื้อเช็ดตัวก่อนดีกว่าเนอะ มันอันตรายเกินไปที่เราจะไปที่นั่นกันในตอนนี้ “ เธอลอบถอนหายใจออกมาไม่อยากจะคิดเลยว่าเมื่อไหร่ที่สองสาวเติบโตขึ้นมาจะเป็นยังไงบ้าง หลังจากที่เธอจากไปแล้ว ได้แต่หวังว่าผู้ชายในยุคนี้จะไม่เลวร้ายเช่นเดียวกับที่ที่เธอจากมา
“ ค่ะ “ เหวินหนวน
“ อิ่มแล้วใช่ไหม งั้นรอพี่อยู่ที่นี่นะ พี่จะไปตักน้ำ “
“ ฉันไปเป็นเพื่อนพี่ดีกว่าค่ะ เสี่ยวอี๋รออยู่ที่นี่นะ “
“ อือ พี่ใหญ่รีบกลับมานะ “ เด็กน้อยเอ่ยตอบก่อนจะนั่งลงที่ก้อนหินก้อนใหญ่ข้างๆเตานึ่ง
เหวินหนวนเดินนำเธอมาที่ลำธารที่อยู่ท้ายหมู่บ้าน ระหว่างทางเธอได้สอบถามถึงความเป็นอยู่ของสองพี่น้องมาบ้างแล้ว ในใจรู้สึกเป็นห่วงที่ในวันพรุ่งนี้เธอจะต้องจากไปแล้ว
“ เพราะวันนี้เรากินซาลาเปาของพี่สาวแล้ว จึงไม่ได้ไปที่บ้านหวังค่ะ ป้าหวังทำอาหารแบ่งให้เราอยู่เป็นประจำค่ะ เพียงแค่ว่า มันไม่อิ่มท้อง บ้านหวังมีคนเยอะมาก เราก็เลยได้กินแค่นั้นค่ะ “ เหวินหนวนเอ่ยบอก
“ เสี่ยวหนวนถ้าหากวันหน้าพี่สาวมีที่อยู่ที่ดีๆ เธอจะพาเสี่ยวอี๋ไปอยู่กับพี่ไหม “ เด็กน้อยไม่ได้เอ่ยตอบเพียงแค่จ้องมองเธอเงียบๆเท่านั้น ไป๋เฟิ่งจื่อเดาว่าเด็กน้อยคงจะยังไม่ไว้ใจเธอจึงไม่ตอบคำถาม แต่เอาเถอะ เธอไม่เคยคิดที่จะบังคับจิตใจของใครทั้งนั้น ปล่อยให้มันเป็นไปตามเดิมที่เคยเป็นคงจะดีกว่า …
รุ่งเช้าเธอตื่นขึ้นมาแล้ว และกำลังจะลุกออกไปล้างหน้าช้างตาตัวเองก็เจอกับสองพี่น้องที่กำลังก่อไฟเพื่อต้มน้ำกันอยู่
“ นี่เพิ่งจะตี 5 ครึ่งเอง พวกเธอตื่นเช้าแบบนี้ทุกวันหรอ “
“ ค่ะ เพราะพี่ใหญ่ต้องไปทำงานในแปลงนา และฉันต้องไปเก็บผักป่ากับคนอื่นๆ เพื่อนำไปแลกแต้ม ไม่อย่างนั้นเราสองคนจะไม่มีอาหารกิน “ เหวินอี๋เอ่ยบอก เธอจึงได้เข้าใจว่า ถึงแม้ว่าที่นี่จะต่างจากประเทศจีน แต่ก็เพียงแค่บางส่วนเท่านั้น ถึงยังไงชาวบ้านหลวนชุนก็ต้องทำงานแลกแต้มเพื่อให้ได้รับส่งนแบ่งอาหารอยู่ดี
“ พี่เข้าใจแล้วจ้ะ “
“ พี่สาวจะกลับบ้านเลยหรือเปล่าคะ ทำไมพี่สาวถึงไม่อยู่กับเราคะ “ เหวินอี๋เอ่ยถามพลางจ้องมองเธอด้วยสายตาที่ไร้เดียงสา
“ เพราะพี่สาวไม่ใช่คนในหมู่บ้าน ไม่รู้ว่าถ้าจะอยู่ที่นี่ต้องทำอย่างไร ต้องขออนุญาตหรือเปล่า “
เหวินหนวนที่นั่งฟังอยู่ก็ตัดสินใจเอ่ยบอก “ พี่สาวต้องไปแจ้งหัวหน้าหน่วย เพื่อลงทะเบียนเพิ่มชื่อเข้ามาในหมู่บ้านนี้ถึงจะอยู่ที่นี่ได้ แต่ว่าจะต้องลงงานแลกแต้มไม่อย่างนั้นก็จะไม่ได้รับส่วนแบ่งอาหาร อีกอย่างก็คือ พี่สาวต้องซื้อบ้านอยู่เอง ไม่ทำงานในแปลงนาก็ได้ แต่จะไม่ได้รับส่วนแบ่ง แล้วยังต้องเสียภาษีคนนอกรายปีด้วยค่ะ เรื่องนี้ฉันรู้มาจากพี่ใหญ่ตู้ ที่เขาพาพี่สาวมาจากเมืองอื่นๆสองคน พวกเธอไม่ยอมลงงานในแปลงนาค่ะ “
“ ขอบใจมากจ้ะพี่จะลองคิดดู “ เธอเอ่ยบอก ตั้งใจว่าสายๆจะลองไปถามหัวหน้าหน่วยดูเรื่องที่เหวินหนวนเอ่ยบอกมา
“ เราไปทำงานกันเถอะเสี่ยวอี๋ “ เหวินหนวนเอ่ยเรียกน้องสาวให้ไปทำงาน แม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่อยากไปเพราะกลัวว่าพี่สาวคนสวยคนนี้จะจากพวกเธอไปแล้วไม่กลับมาอีก เธอกับพี่สาวจะต้องอยู่กันแค่สองคนเหมือนที่ผ่านมา ไม่มีคนปกป้องไม่มีคนห่วงใย เหมือนเมื่อวานนี้ที่ป้าฝูด่าเธอ
เธอคิดทบทวนดูแล้วว่าถ้าหากจะตั้งหลักที่หมู่บ้านหลวนชุนก็ไม่ถือว่าแย่อะไร เพราะยังไงเธอก็มีมิติส่วนตัว ไม่อดตายแม้ไม่ได้ลงงานในแปลงนา อีกทั้งเงินเก็บที่มีอยู่ก็สามารถอยู่ได้อย่างสบายโดยไม่ต้องทำงานอะไรเลย แต่ถ้าหากเธอทำเรื่องซื้อบ้านหรือที่ดิน เงินที่มีอยู่ก็ไม่แน่ใจว่าจะพอหรือเปล่า และไม่รู้ว่าถ้ายังเดินทางต่อไปจะพบเจอกับอะไรบ้าง ถึงยังไงเธอก็เป็นผู้หญิงตัวคนเดียวนะ