กชกรในตอนนี้ที่มีตัวตนใหม่ว่า ไป๋เฟิ่งจื่อได้แต่เหลียวมองซ้าย ขวาอย่างชั่งใจ ด้วยเพราะเธอไม่รู้จักที่ไหนเลย แต่เพียงไม้นานเธอก็เริ่มคิดวางแผนได้ ก่อนอื่นเธอต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่เสียก่อน ชุดที่เธอนำออกมาใส่นั้นท่อนบนเป็นกี่เพ้าครึ่งตัวแขนยาว สวมกระโปรงผ้าฝ้ายเนื้อดีสีดำ ผมที่ยาวปะบ่าก็จัดการหวีให้เรียบร้อย
จากนั้นเธอก็นำเสื้อผ้าบางส่วนที่มีมาใส่ในกระเป๋าเป้รวมทั้งเงินเล็กน้อยติดตัวไว้บ้าง เผื่อว่าเธอจำเป็นจะต้องใช้จ่าย …
เธอเดินออกจากชายป่าไปตามถนนดินแดงเรื่อยๆ จนเจอกับหมู่บ้านที่มีป้ายปักเอาไว้ว่า หมู่บ้านหลวนชุน เมืองซานตง
ไป๋เฟิ่งจื่อจึงเดินเข้าไปที่หมู่บ้านหลวนชุน เพื่อที่จะหาที่พักสำหรับคืนนี้แล้วค่อยวางแผนว่าเธอจะเอายังไงกับชีวิตหลังจากนี้ดี
“ ขอโทษนะคะคุณป้า คือฉันหลงทางกับเพื่อนๆค่ะ ไม่ทราบว่าที่นี่มีบ้านพักหรือว่า เอ่อ …” เธอนึกคำพูดที่จะใช้ไม่ออกด้วยเพราะเกรงว่าตนเองจะพูดอะไรผิดไป ถึงแม้ระบบจะบอกว่าที่นี่เป็นเพียงมิติคู่ขนานที่มีความคล้ายคลึงกับประเทศจีนก็ตาม
“ เธอมาจากไหนกันล่ะ ดูจากการแต่งตัว คงมาจากปักกิ่งใช่ไหม “ หญิงวัยกลางคนเอ่ยถามหลังจากที่สำรวจร่างบางตรงหน้าด้วยสายตาตนเองแล้ว
“ ค่ะ “ เธอจำเป็นต้องโกหก เพราะด้วยการแต่งกายของเธอแล้ว คงตอบว่าเป็นสาวชาวบ้านไม่ได้
“ เอาเถอะ ถ้าเธอไม่รังเกียจละก็ มาพักที่บ้านของป้าสักคืนก็คงได้ “ หล่อนมีชื่อว่า ฝูเหยา ชาวบ้านเรียกกันว่า ฝูซื่อ เอ่ยบอก สายตายังคงมองสำรวจร่างบางด้วยเพราะคิดว่าร่างบางคงเป็นลูกผู้ดีมีเงิน ที่มาเที่ยวต่างเมืองกับเพื่อนๆจนพลัดหลงจากกัน ยอมช่วยเหลือสักครั้งไม่แน่ว่าวันหน้าเธออาจจะเรียกร้องขอความช่วยเหลือจากเด็กสาวตรงหน้าได้บ้าง
‘ ยัยป้านี่ไว้ใจได้ไหมวะเนี่ย ‘ ไป๋เฟิ่งจื่อบ่นอยู่ในใจ แต่ไม่คิดที่จะเดินตามหญิงคนนนั้นไปง่ายๆ เธอเป็นหญิงสาวจากยุคที่ทันสมัย แค่มองดูก็รู้แล้วว่าใครคิดยังไง ยังไม่ทันที่เธอจะได้คิดอะไรไปมากนักจู่ๆก็มีมือหยาบมาคว้าแขนของเธอเอาไว้เสียก่อน
“ พี่สาว อย่าไปกับป้าฝูนะคะ “ เด็กหญิงตัวน้อยเอ่ยบอก แววตาที่ส่งมานั้นมีความจริงใจมากกว่า หญิงวัยกลางคนเมื่อครู่นี้เสียอีก
“ ทำไมล่ะจ้ะ บอกพี่สาวได้ไหม “
“ ป้าฝูเป็นคนไม่ดีค่ะ หมู่บ้านของเราไม่ค่อยมีใครยุ่งเกี่ยวกับบ้านฝูนัก “ เด็กหญิงเอ่ยบอกเสียงแผ่วเบาราวกับว่ากลัวใครจะได้ยิน
“ ขอบใจจ้ะ ถ้างั้นบอกพี่ได้ไหมว่า พี่จะหาที่พักได้จากที่ไหน “
“ พี่ใหญ่บ้านเราพอมีที่ให้พี่สาวนอนไหม “ เด็กหญิงหันไปเอ่ยถามพี่สาวที่ตัวโตกว่าไม่มากนัก เมื่อได้รับคำตอบจึงฉุดมือของไป๋เฟิ่งจื่อให้เดินตามตนเองไปด้วย คล้อยหลังไม่ไกลก็ได้ยินเสียงตะโกนด่าจากฝูซื่อตามหลังมา
“ นังเด็กสารเลว พวกแกกล้าดียังไง ไสหัวไปเลยนะ “
“ ไปเร็วพี่สาว ป้าฝูจะกินเลือดพวกเราแล้ว “ เด็กน้อยกึ่งวิ่งกึ่งเดินนำหน้าไปอย่างรวดเร็ว ไป๋เฟิ่งจื่อหัวเราะกับท่าทีของเด็กหญิงตัวน้อย แล้วเดินตามไปทันที เดินมาไม่ไกลก็เจอกระท่อมที่อยู่ติดกับชายป่าแล้ว ที่นี่คงเป็นบ้านของเด็กหญิงทั้งสอง
“ พี่สาว ที่นี่คือบ้านของเราค่ะ เข้ามาก่อนสิคะ “
“ จ้ะ “ เธอเดินตามสองพี่น้องเข้าไปในบริเวณของบ้านที่มีต้นไม้ใหญ่อยู่ด้านหน้า ถัดไปไม่กี่ก้าวก็เป็นที่ตั้งของกระท่อมขนาดเล็ก ภายในสะอาดสะอ้านไม่มีความสกปรกให้เห็นสักนิดเดียว
“ พี่สาวคืนนี้นอนที่นี่นะคะ ฉันจะไปนอนที่ห้องพักองน้องเอง “ เด็กหญิงคนพี่เอ่ยบอกกับเธอ ก่อนจะหอบผ้าห่มผืนยางติดมือไปด้วย ไป๋เฟิ่งจื่อจึงใช้เวลานี้มองสำรวจกระท่อมของทั้งสองพี่น้อง ที่เธอเรียกว่ากระท่อมก็เป็นเพราะทั้งผนังและหลังคาทำจากหญ้าแห้งนะสิ ที่พื้นยังเป็นพื้นดินแข็งๆอยู่ ไม่รู้ว่าถ้าเจอพายุรุนแรงจะสามารถต้านทานไว้ได้หรือเปล่า
“ จริงสิพี่ลืมถามชื่อของพวกเธอ ส่วนพี่ชื่อไป๋เฟิ่งจื่อนะ “ เธอเอ่ยแนะนำตัวก่อน
“ ฉันชื่อ เหวินหนวน อายุ 12 ปี ส่วนเธอชื่อเหวินอี๋ อายุ 9 ปีค่ะ “
“ ว่าแต่อยู่กันแค่สองคนหรอจ้ะ “
“ ค่ะพ่อแม่ของพวกเราจากไปเมื่อหลายปีก่อน เพราะโรคระบาดค่ะ “ เหวินหนวนเอ่ยบอกพลางก้มหน้าซ่อนน้ำตาของตนเองเอาไว้ เธอจะออ่นแอไม่ได้เธอต้องดูแลน้องสาวอีกคน
“ พี่ขอโทษที่ถามนะจ้ะเหวินหนวน “
“ พี่สาวเรียกเราว่า เสี่ยวหนวน กับเสี่ยวอี๋ก็ได้ค่ะ เราขอเรียกพี่สาวจื่อได้ไหมคะ “ เหวินหนวนเอ่ยขึ้น
“ ได้สิ ตอนนี้ก็เย็นแล้ว เรามาทำอาหารกินกันเถอะ “ ไป๋เฟิ่งจื่อเอ่ยบอกกับเด็กทั้งสอง ในใจนึกสงสารความเป็นอยู่ของพวกเธอไม่น้อยเลย เธอหยิบเอาซาลาเปาที่อยู่ในกระเป๋าเป้ออกมาหลายลูก ก่อนจะขอให้เหวินหนวนข่วยก่อไฟให้ เพราะเธอจะนึ่งซาลาเปาพวกนี้กินเป็นมื้อเย็นกับเด็กๆ
“ เสี่ยวเหวิน ช่วยนึ่งซาลาเปาพวกนี้ทีนะจ้ะ เดี๋ยวพี่ขอไปล้างหน้าล้างมือก่อน “
“ ได้ค่ะ “เด็กหญิงเอ่ยตอบพลางมองซาลาเปาลูกใหญ่ก้อนขาวๆในมือไปด้วยความหิวและอยากกินซาลาเปานี่สักครั้ง …