Oops! เขาหล่อ แต่แปลกนิดหน่อย 8
วันที่ต้องเข้าคลาสเรียน ฉันก็ยังตั้งใจเรียนอยู่เหมือนเดิม ส่วนเพื่อน ๆ นั้น ก็ตั้งใจบ้างเล่นบ้างแต่ไม่ได้รบกวนอะไรฉันมากนัก แต่หลังจากที่เรียนเสร็จนี่สิ ทั้งฉัตร แพรรวมถึงลูกกอล์ฟก็เลือกไม่ได้ว่าจะไปนั่งทำงานกันต่อที่ไหน อีกอย่างวันนี้ฉันต้องไปทำงานที่ร้านอาหารด้วยเลยไปไหนไกลไม่ได้ ลำบากเพื่อนต้องมานั่งสุมหัวกันช่วยคิดอย่างที่เห็นนี่แหละ
“ทำที่ห้องสมุดไหม เปิดห้องติวอะ” ฉันเสนอเพื่อน ๆ ที่ทำหน้าเครียดกันอยู่ แม้จะนั่งคิดช่วยกันเกือบสิบนาทีแล้วก็เถอะ
“มันเอาของกินเข้าไม่ได้น่ะสิซิน” แพรหันมามองฉันด้วยแววตาเศร้าสร้อย โอเค เงื่อนไขที่ติวคือต้องมีของกินสินะ
“อืม งั้นไปห้องฉันไหม ไม่ไกลจากร้านที่ซินมันทำงานด้วย จะได้ไม่ต้องวกไปวนมา” ลูกกอล์ฟเสนอขึ้นมาบ้างหลังจากที่เงียบไปสักพัก
“ก็ดีนะ เดี๋ยวฉันพาซินไปเอาชุดทำงานเอง แล้วค่อยไปเจอกันที่ห้องของลูกกอล์ฟ” ฉัตรรีบสรุปด้วยสีหน้าและท่าทางตื่นเต้น เมื่อจะได้เปลี่ยนสถานที่บ้าง
“เดี๋ยวซื้อข้าวกล่องไปให้เอง จะกินไรกันบ้าง” แพรถาม เตรียมที่จะแวะซื้อเสบียงเพื่อนำเข้าไปกินที่ห้องของลูกกอล์ฟระหว่างทำงานด้วยกัน เอาเข้าจริงมีเวลาทำงานเพียงแค่สามชั่วโมงเท่านั้นเพราะหลังจากนั้นฉันจะต้องไปทำงานต่อแล้ว
“อยากกินคะน้าหมูกรอบ” ฉัตรบอกกับแพร
“เราเอาผัดพริกแกงหมู” ลูกกอล์ฟรีบบอกเมื่อนึกเมนูที่อยากกินได้
“ซินล่ะ?” แพรหันมามองหน้าอย่างต้องการคำตอบ
“เราอยากกินกะเพรารวมมิตร” ฉันตอบเพราะนึกอะไรไม่ออก ตอนนี้ยังไม่ได้รู้สึกหิวมากขนาดนั้นแต่สิ่งที่สั่งง่ายที่สุดอย่างไม่ต้องคิด คือกะเพรารวมมิตรแบบที่จะใส่อะไรก็ใส่มาเถอะ
“รับเรื่อง เจอกันนะ” หลังจากที่แยกย้ายกันไป ฉันก็เดินออกจากคณะไปพร้อมกับฉัตร แต่เหมือนตอนนี้ไม่รู้เพื่อนกำลังกังวลอะไร ถึงได้ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดแบบนั้น หลังจากที่วางสายโทรศัพท์ฉันถึงได้เอ่ยถามอย่างเป็นห่วงเป็นใย
“ฉัตรเป็นอะไรน่ะ?”
“ที่บ้านไม่เข้าใจกันนิดหน่อยน่ะ”
“ที่บ้านเหรอ?” ครั้งนี้ถึงกับต้องถามกลับไปอย่างสงสัย เพราะพ่อกับแม่ของฉัตรนั้นใจดีมาก ๆ ไม่รู้อะไรที่ทำให้เพื่อนแสดงสีหน้าเครียดแบบนี้
“อื้อ ย่าบังคับให้หมั้น แต่ฉันไม่อยากหมั้น”
“อ่า ยากเลยเรื่องแบบนี้” ฉันเองก็ไม่ค่อยรับรู้ถึงความสัมพันธ์ในครอบครัวเสียด้วยสิ
“คือ ซิน แกไปที่ห้องลูกกอล์ฟได้ไหม เดี๋ยวฉันจะรีบกลับไปคุยกับคุณย่า แล้วจะรีบตามไป”
“ได้อยู่แล้ว สบายมาก แต่แกอย่าขับรถเร็วนะ ไม่ต้องรีบ” ฉันรีบบอกอย่างเป็นห่วง เพราะแทบจะไม่เคยเห็นฉัตรทำหน้าเครียดขนาดนี้มาก่อน ถึงได้มั่นใจว่าเพื่อนคงจะเครียดมากจริง ๆ กับสิ่งที่เกิดขึ้น
“ได้ ขอโทษด้วยนะ” ฉัตรหันมามองฉันอย่างขอโทษขอโพย
“อื้อ ไม่เป็นไร ระวังตัวด้วยนะ ถ้ามีอะไรก็โทร. มาได้เลย”
“ขอบใจนะ ไว้เจอกันแก” โบกมือลากับฉัตรและรอจนเพื่อนขับรถออกไป ฉันเดินลัดเลาะไปตามทางเดินเพื่อรอรถประจำทางในมหา’ลัย ระหว่างที่รอรถก็มีผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามานั่งใกล้ ๆ ฉัน คนคนนี้สวมชุดเดรสสีหวาน ผิวพรรณนั้นขาวสว่างมาก ใบหน้าสวยงามของคนข้าง ๆ ทำให้ฉันถึงกับนั่งตัวลีบตัวเล็กเพราะรู้สึกเขินจนเกินไป
“เอ่อ ขอโทษนะคะ ขอยืมโทรศัพท์ได้ไหมคะ พอดีหาโทรศัพท์ไม่เจอ ไม่รู้ทำหล่นตรงไหนน่ะ” คนสวยข้าง ๆ เอ่ยถาม น้ำเสียงอ่อนโยนของคนข้าง ๆ ทำให้ฉันคล้อยตาม เผลอพยักหน้ารับแล้วส่งโทรศัพท์ในกระเป๋าของตัวเองให้เธอไป คนสวยกดเบอร์โทรสักพักก็กดโทร. ออก
“หาเจอแล้ว ขอรางวัลด้วยนะ”
“หึ จำเอาไว้เลยจะไม่ช่วยหาแล้ว” คนสวยพูดกับปลายสายก่อนจะวางสาย แล้วยื่นโทรศัพท์ใส่มือฉัน
“ขอบคุณนะคะ”
“มะ...ไม่เป็นไรค่ะ” ฉันตอบพร้อมกับส่งยิ้มให้น้อย ๆ ให้ เป็นจังหวะเดียวกับที่รถมาจอดพอดี นั่นจึงทำให้ฉันเดินขึ้นรถเพื่อออกไปยังหน้ามหา’ลัย เสร็จแล้วค่อยนั่งรถเมล์กลับหอพักต่อ แต่แสงแดดในตอนนี้ทำให้ฉันตาลายอยู่เหมือนกัน ร้อนมากเลย
“...” จังหวะที่เดินผ่านร้านกะเพราที่มานั่งกินเมื่อหลายวันก่อน ก็พบว่าวันนี้ร้านเปิด แต่เป็นพี่ ๆ คนงานกำลังช่วยกันทำความสะอาดร้าน และดูเหมือนว่าเพลงหมอลำจังหวะโจ๊ะ ๆ ที่เปิดคลอในร้าน จะเป็นแรงใจชั้นดีของพวกเขา ถึงได้ดูสนุกสนานและมีความสุขกันมากขนาดนี้