อสูรร้ายจากมะละกา
สงครามในสมัยก่อนเป็นการสู้รบด้วยอาวุธประเภทหอก ดาบ หลาวแหลม เผชิญหน้ากันซึ่ง ๆ หน้าในระยะประชิดตัว ตายเป็นตายอยู่เป็นอยู่ จุดประสงค์ในการทำสวครามระหว่างแว่นแคว้นหรืออาณาจักรต่างๆ นั้นมีจุดประสงค์หลักๆ เพื่อกวาดต้อนเอาราษฎรของฝ่ายปราชัยเข้าไปอยู่ในครอบครองของตน แสดงถึงอำนาจบารมีอันยิ่งใหญ่ที่ใคร ๆ ต้องสยบยอมหมอบราบคาบแก้ว
กล่าวกันว่าประชากรชาย-หญิงคือทรัพย์สมบัติอย่างหนึ่งซึ่งมีลมหายใจ เคลื่อนที่ได้ซึ่งแสดงถึงอำนาจและความมั่งคั่งของผู้ปกครอง
เกริ่นไว้ว่า อาวุธที่ใช้ประหัตประหารกันอย่างดีก็แค่ หอก ดาบและหลาวแหลมซึ่งมีอำนาจในการฟาดฟันในขอบเขตจำกัดเฉพาะคู่ประจัญบาน ไม่อาจทำให้คนอื่นนอกรัศมีล้มตาย หรือเผาผลาญบ้านเรือนให้วอดวายเป็นซากเดนอันแสนสังเวชได้ !
ดังนั้น !
สงครามระหว่างดินแดนจึงไม่ได้มุ่งหวังเข่นฆ่าประชาชนให้ด่าวดิ้นสิ้นใจอันเป็นการสูญเปล่าทางเศรษฐกิจ แม้ว่าการสู้รบจะไม่มีทางหลีกเลี่ยงการฆ่าฟันก็ตาม เพียงแต่เด็ดหัวแม่ทัพใหญ่หรือขุนศึกคนสำคัญในกรณีที่จำเป็นเท่านั้น
เรามักจะพบเสมอว่า เมื่อแม่ทัพนายกองคนสำคัญพ่ายท่าเสียทีในสมรภูมิก็แปลว่าสงครามคราวนั้นแทบเป็นอันยุติลงเหมือนงานเลี้ยงได้จบลงแล้ว ฝ่ายปราชัยก็จำต้องยินยอมให้ตัวเองตลอดทั้งพลเมืองถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลยยังดินแดนของผู้ชนะ โดยไม่มีเงื่อนไข บางครั้งองค์รัชทายาทหรือเชื้อพระวงศ์ เหล่าสนมนางกำนัลต้องถูกบังคับไปเป็นตัวจำนำหรือตัวประกันสงคราม เพื่อป้องกันการกระด้างกระเดื่องในภายหลัง ดังที่เราทราบกันดี
แต่แล้วสงครามตามแนวคิดเดิมก็ต้องเปลี่ยนแปลง
เมื่อชาวโปรตุเกสได้เดินทางเข้ามายังดินแดนสุวรรณภูมิ โดยเฉพาะไทยกับพม่าซึ่งแทบจะไม่ว่างเว้นจากสงคราม แม้จุดประสงค์ของชาวโปรตุเกสในการเข้ามาในดินแดนแถบนี้มีอยู่ ๒ ประการคือ
๑.เพื่อเผยแพร่ศาสนาคริสต์
๒.เพื่อติดต่อค้าขายกับชาวพื้นเมือง
แต่คนต่างชาติต่างศาสนาจะเข้ามาทำกิจการอะไรให้สะดวกนั้นต้องสร้างความพึงพอใจแก่เจ้าของประเทศ ข้อเสนอหนึ่งที่เจ้าของประเทศต้องการมากคือการช่วยเหลือทางการทหารซึ่งผู้มาอาศัยคือชาวโปรตุเกสก็ถนัดนักในเรื่องนี้
นั่นคือ !
เงื่อนไขแห่งลางร้ายที่ตั้งเค้าทะมึนเหนือน่านฟ้าหงสาวดีและกรุงศรีอยุธยา !
โปรตุเกสเป็นชาวยุโรปชาติแรกที่เดินทางเข้ามาติดต่อกับกรุงศรีอยุธยา เมื่อ พ.ศ. ๒๐๕๔ ในแผ่นดินสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ โดยเข้ามายึดเมืองมะละกาซึ่งสมัยนั้นยังเป็นเมืองขึ้นของไทย แต่ด้วยกลวิธีอันแยบยลของโปรตุเกสทำให้สมเด็จพระรามาธิบดีทรงยินยอมรับเครื่องราชบรรณาการและทรงให้การสนับสนุน
ต่อมาพระมหากษัตริย์ไทยได้ทำสนธิสัญญาทางพระราชไมตรีและการค้าโดยชาวโปรตุเกสให้การช่วยเหลือทางการทหารแก่กรุงศรีอยุธยา
ทั้งนี้ กรุงศรีอยุธยาจะต้องให้เสรีภาพทางการค้า ยอมให้ชาวโปรตุเกสเข้ามาตั้งหลักแหล่งทำมาค้าขาย ให้เสรีภาพในทางศาสนา นับว่าเป็นสนธิสัญญาฉบับแรกที่ประเทศไทยทำกับรัฐในยุโรป
จากการช่วยเหลือทางการทหาร
ผลที่เกิดขึ้นที่เห็นชัดที่สุดในสมัยสมเด็จพระชัยราชาธิราช ซึ่งเป็นการรบที่เมืองเชียงกราน มีทหารอาสาชาวโปรตุเกสจำนวน ๑๒๐ คนนำอาวุธปืนไฟไปใช้ในการรบเป็นครั้งแรก ทหารพม่าล้มตายเป็นจำนวนมากและเสียขวัญวิ่งกระเจิดกระเจิงหาที่หลบซ่อนกันชุลมุน
เพราะเป็นลูกไฟขนาดใหญ่ลุกพุ่งมาราวกับลูกไฟผีพุ่งไต้ ทำให้กองทัพไทยได้รับชัยชนะอย่างง่ายดาย
ต่อมา ความง่ายดายมิได้เกิดขึ้นเฉพาะกับฝ่ายไทยเท่านั้น
เมื่อชาวโปรตุเกสได้แอบเข้าไปรับอาสาช่วยเหลือทางทหารแก่พม่าด้วยเช่นกัน สอนหล่อปืนใหญ่และปรับปรุงยุทธศาสตร์ในการรบที่ทันสมัย
จากความดีความชอบทำให้ชาวโปรตุเกสได้รับอานิสงส์ไปเต็ม ๆ คือ
ในประเทศไทย กษัตริย์ไทยได้พระราชทานที่ดินให้สร้างหมู่บ้านสำหรับชาวโปรตุเกส
ส่วนในประเทศพม่า ชาวโปรตุเกสคนหนึ่งชื่อ พิลิป เดอบริโต ยีนิโคเต มีคนเลื่อมใสศรัทธามากจนสามารถตั้งตนเป็นกษัตริย์ปกครองเมืองสิเรียมที่อยู่ใต้กรุงย่างกุ้ง ก่อนจะถูกเจ้าถิ่นปราบปรามลงในที่สุด
สงครามระหว่างไทยกับพม่า พบว่ามีฉากการสู้รบด้วยปืนใหญ่ในสมรภูมิรอบกรุงศรีอยุธยา
ดังนี้
...พม่าเคลื่อนทัพเข้าล้อมกรุงศรีอยุธยา ฝ่ายไทยก็เอาปืนใหญ่ใส่เรือรบไล่ยิงมิให้ฝ่ายพม่าเข้ามาประชิดกำแพงพระนคร เพื่อเป็นการถ่วงเวลาให้ฝ่ายพม่าต้องเลิกลากลับไปเองด้วยขาดแคลนเสบียงอาหาร แต่ฝ่ายพม่าก็ไม่ยอมน้อยหน้า ได้นำทัพเรือและปืนใหญ่มาด้วยเป็นจำนวนมาก พอล้อมกรุงได้แล้วก็พยายามทำลายเรือรบของไทยให้หมด จนเห็นว่าฝ่ายไทยไม่สามารถนำปืนใหญ่ใส่เรือไล่ยิงได้แล้ว ก็นำปืนใหญ่มาตั้งที่เชิงเทิน วัดราชพลี วัดกษัตราธิราช วัดหน้าพระเมรุ และวัดหัสดาวาส ระดมยิงเข้าใส่วังกรุงศรีอยุธยาทั้งกลางวัน กลางคืน โบสถ์ วิหาร บ้านเรือนราษฎรภายในกำแพงหักพังลงทุกวี่วัน ถูกยอดพระที่นั่งสุริยาสอมรินทร์หักทำลายลง..
เปลวเพลิงลุกโพลงท่วมฟ้า .ผู้คนล้มตายเนืองนองแผ่นดิน....บนท้องฟ้าเมื่อฝูงกาเร้นหายไปในเวิ้งฟ้าสีเลือดแล้ว ทันใดนั้น...ฝูงแร้งก์บินโฉบมาอย่างมืดฟ้ามัวดิน....เงามัจจุราชคลี่คลุมผืนดินเดือด และเสียงร้องอย่างกระหายหิวดังกลบก้องไปทั้วท้องนภากาศ…
ฉากเริ่มต้นของมหาสงครามนี้ได้นำไปสู่ความสูญเสียครั้งสำคัญ บ้านเมืองแถบถิ่นสุวรรณภูมิวอดวาย ประชากรตาล้มตายราวกับผักปลา
ด้วยอำนาจมหาประลัยที่มาจากเมืองมะละกาในคราวนั้น !