นครแห่งความตาย
ในตำนานพื้นบ้านแถบสุพรรณบุรีและอีกหลายจังหวัดในเขตภาคกลางตอนบนและบางท้องที่ทางภาคตะวันออกมีเรื่องท้าวอู่ทองหรือพระเจ้าอู่ทองกับประชากรของพระองค์ได้เผชิญภัยพิบัติครั้งสำคัญมาแล้วก่อนจะย้ายมาสร้างเมืองใหม่ที่หนองโสน แล้วก่อร่างสร้างตนเป็นเมืองอยุธยาในกาลต่อมา นั่นคือ
โรคห่า !
โรคห่าคราวนั้นระบาดมาจากเมืองจีนเช่นเดียวกับโรคโควิท-19 ในปัจจุบัน มันระบาดรุนแรงกว่าทุกครั้งและยาวนานกว่าที่ผ่านมา ทำให้ผู้คนที่มีอยู่ไม่มากนักล้มตายกลายเป็นเหยื่อของแร้งกาอย่างน่าสังเวช เงาครึ้มจากฟากฟ้าปกคลุมอยู่เหนือเมืองที่ระงมด้วยเสียงร้องโอดโอย กลิ่นเหม็นของซากศพโชยตลบอบอวลชวนคลื่นไส้นับวันก็จะรุนแรงคร่าชีวิตคนไปมากขึ้น
พระองค์จึงตัดสินพระทัยอพยพโยกย้ายพลเมืองน้อยใหญ่หนีกระเจิงไปยังแผ่นดินใหม่ที่ร่ำลือกันว่าศักดิ์สิทธิ์เหลือหลาย !
นั่นคือ หนองโสน บริเวณดังกล่าวเป็นแหล่งน้ำสำคัญ มีแม่น้ำ หลายสายไหลมาบรรจบกันคือแม่น้ำน้อย แม่น้ำป่าสัก แม่น้ำลพบุรีและแม่น้ำเจ้าพระยา ไหลล้อมรอบแผ่นดินได้อย่างพอเหมาะ ที่นี่คือดินแดนเมืองเก่าที่รกร้าง ลี้ลับในสมัยสุโขทัยมีชื่อว่า อโยธยาศรีรามเทพนคร ส่วนในกฎหมายตราสามดวงเรียกว่า กรุงเทพมหานครบวรทวารวดีศรีอยุธยา
พระเจ้าอู่ทองและประชากรได้รอดพ้นจากเงื้อมมือมัจจุราช และได้พบชีวิตใหม่ที่สดใสบนผืนดินที่อุดมสมบูรณ์และสงบสุข พระองค์ทรงสร้างชุมชนให้เข้มแข็งด้วยความมานะ อดทน อีกทั้งได้รับความร่วมมือจากเครือญาติที่กระจายกันอยู่หลายแห่ง
พระองค์จึงสถาปนาชุมชนแห่งใหม่ขึ้นเป็นเมืองนามว่า
‘กรุงเทพมหานครบวรทวารวดีศรีอยุธยา’ ดังกล่าว
เฉลิมพระบรมนามาภิไธยขึ้นเป็นสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑
ความจริงแล้วบริเวณที่เรียกว่า ‘กรุงศรีอยุธยา’ เคยเป็นเมืองที่เคยรุ่งเรืองมาก่อนที่พระเจ้าอู่ทองจะเสด็จมาสร้างขึ้นในคราวโรคห่าระบาด ซึ่งกลายเป็นเมืองเก่าที่ถูกปล่อยให้รกร้างมาเป็นเวลาช้านาน โดยไม่อาจทราบสาเหตุแน่ชัด
อย่างไรก็ตาม มีหลักฐานบางชิ้นทำให้อ่านแล้วอดสยดสยองไม่ได้
จากพงศาวดารเมืองเหนือได้กล่าวไว้ มีพระฤาษีตนหนึ่งได้ทำนายไว้ว่า นี่ที่จะเป็นแดนมิคสัญญี !
“บริเวณกำแพงเมืองกรุงศรีอยุธยาจะเกิดยุทธการฆ่าฟันกันระหว่างพี่น้อง ฟ้า ดินและดาวเดือนจะอาเพศ อุบัติเหตุเกิดขึ้นทั่วไป ผีป่าวิ่งเข้าเมือง ผีหลักเมืองหนีไปซ่อนอยู่ป่าดงพงไพร”
ถึงกระนั้น พระเจ้าอู่ทองก็ทรงสร้างแผ่นดินอยุธยาขึ้นเป็นอาณาจักรหนึ่งของคนไทยตั้งแต่บัดนั้น และประกาศให้แว่นแคว้นต่าง ๆ ได้ทราบว่า สุวรรณภูมินี้คือ ถิ่นไทย โดยคนไทยและเพื่อลูกหลานไทยในอนาคต
ชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนในสมัยนั้นมีความเจริญ ตั้งอยู่บนเส้นทางคมนาคมสำคัญให้เรือสำเภาหรือเรือสินค้าจากต่างประเทศแล่นเข้าถึงได้สะดวก เป็นเมืองท่าสำคัญ ติดต่อค้าขายได้สะดวกทั้งภายในและถายนอกประเทศ
ในด้านความเชื่อมีลักษณะผสมผสานกันระหว่างผี พราหมณ์ พุทธ การนับถือวิญญาณและสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นลักษณะความเชื่อดั้งเดิมของชนเผ่าไทมาแต่ครั้ง ‘ขุนบรม’ ดังกล่าวแล้ว
พระเจ้าอู่ทองทรงเป็นทั้ง ‘เทวราชา’ และ ‘ธรรมราชา’ ทรงเริ่มบำรุงศาสนาด้วยการถวายวังให้เป็นวัดสำหรับเป็นที่พักอาศัยของพระภิกษุ ซึ่งเป็นการเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างบ้าน และวัดให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
ต่อมา พระเจ้าอู่ทองทรงส่งกองทัพไปตีกัมพูชา ได้เคลื่อนย้ายเทวรูป รูปเคารพและกวาดต้อนชาวกัมพูชาเข้ามาในพระนครเป็นจำนวนมาก แม้ว่าพระองค์จะไม่สามารถมีอำนาจเหนือเขมรอยู่ได้นานก็เพียงพอที่จะกาศให้อาณาจักรต่าง ๆ ได้ทราบว่า
บัดนี้ กรุงศรีอยุธยามีอำนาจ มีความมั่นคงและเป็นปึกแผ่นอย่างสมศักดิ์ศรีของคนไทยทั้งมวล
เหตุการณ์ทั้งหมด กำลังพุ่งไปสู่การล่มสลายตามคำทำนายของพระฤาษี !
พระเจ้าอู่ทองสวรรคตเมื่อพระชนมายุได้ ๕๕ พรรษา จากนั้นราชบัลลังก์ที่พระองค์สถาปนาขึ้นบนแผ่นดินที่มีแม่น้ำ ๓ สายล้อมรอบก็ถึงคราวไร้เสถียรภาพ เมื่อราชวงค์ที่มีความสัมพันธ์ทางเครือญาติที่เริ่มสร้างอาณาจักรมาด้วยกันได้เปิดศึกชิงอำนาจอย่างเอาเป็นเอาตาย
กรุงทวารวดีศรีอยุธยาได้ถึงยุคเสื่อม!
โดยมีสิ่งเหนือธรรมชาติสำแดงฤทธิ์ให้เห็นอยู่เนื่อง ๆ และการเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่เกิดขึ้นด้วยคมหอก คมดาบ และทะเลเลือดเนืองนองแผ่นดิน ตัวอย่าง เช่น
พระเจ้าทรงธรรมแย่งราชสมบัติพระศรีเสาวภาคย์ได้ฆ่าขุนนางเก่าเสียมาก
ต่อมาพระเจ้าปราสาททองสั่งประหารชีวิตขุนนางพวกพระเชษฐาธิราช
ครั้นสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชมีการกำจัดขุนนางพวกเจ้าฟ้าชัยและพระศรีสุธรรมาเกือบหมด จนต้องใช้บริการขุนนางที่เป็นชาวต่างชาติ เช่น แขก ลาว และฝรั่ง
ต่อมาสมัยพระเจ้าเสือก็มีการฆ่าขุนนางมากเป็นประวัติการณ์ เพราะมีการคัดค้านการขึ้นเสวยบัลลังก์ของพระเจ้าเสืออย่างเป็นขบวนการที่ซับซ้อน แต่ก็ถูกสลายการต่อต้านอย่างรุนแรงเช่นกัน
สมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ข้าราชการวังหลวงโดนอุ้มไปฆ่าเกือบหมด
กล่าวได้ว่าในรอบ ๑๓๐ ปีมีการฆ่าแบบเทกระจาดครั้งใหญ่ถึง ๗ ครั้ง เท่ากับ ๑๘ ปีมีการฆ่าล้างแผ่นดินกันครั้งหนึ่ง
ในระหว่างนั้น พวกขุนนางที่รอดตายก็จะกลายเป็นไพร่และไพร่กลายเป็นผู้ดี เมื่อเป็นเช่นนี้จึงพบว่า ในสมัยปลายกรุงศรีอยุธยาที่กำลังทรุดลงอย่างหนักนั้น เมื่อขุนหลวงหาวัดได้ราชสมบัติก็ยังสำเร็จโทษเจ้าอีกถึง ๓ กรม มิหนำซ้ำขุนหลวงหาวัดและพระเจ้าอยู่หัวพระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์ก็ไม่มีนโยบายปรองดองแต่อย่างใด
จึงทำให้การปกครองแปรปรวนเรื้อรังเรื่อยมา
เมื่อศึกพม่ามาติดกำแพงพระนคร จึงไม่มีขุนนางที่สามารถเป็นแม่ทัพนำพลเข้าต่อสู้ข้าศึก หรือท้าวพระยาเสนาบดีคนใดเป็นแม่ทัพก็ไม่รบพุ่ง !
เหตุการณ์คราวนั้นมีเรื่องราวไม่ปกติพอเป็นสังเขปได้ ดังนี้
๑.พระยายมราชเป็นแม่ทัพตั้งอยู่ที่เมืองนนท์ เมื่อพม่าตีเมืองธนบุรีได้ กำปั่นลูกค้าอังกฤษที่รับอาสาต่อสู้พม่าได้ถอยหนีขึ้นมา พระยมราชยังไม่ทันรบก็สั่งเลิกทัพหนีไปทันที
๒.พระยาพระคลังเป็นแม่ทัพคุมพล ๑๐,๐๐๐ นาย ยกออกไปตีค่ายพม่าที่วัดป่าฝ้ายปากน้ำประสบ พม่ายิงปืนมาถูกพลทหารไทยล้มลง ๔ -๕ นาย กองทัพทั้งหมดแตกกระเจิงหนีกลับเข้าพระนครกันหมด
๓.ท้าวพระยาอาสาห้าเหล่ายกทัพเรือข้ามไปตีค่ายพม่าวัดการ้อง พม่ายิงปืนมาถูกทหารไทยนายหนึ่งที่ยืนรำดาบ ๒ มืออยู่หน้าเรือเหมือนคนเมาได้ที่ ตกน้ำ ทัพเรือก็เลิกถอยกลับพระนครเช่นกัน
๔.พระยาพิษณุโลกนำกองทัพไปตั้งที่ภูเขาทอง พอกองทัพพม่าจวนจะถึงตัว พระยาพิษณุโลกสั่งให้หลวงโกษามหาดไทย และหลวงเทพเสนาคุมกองทัพอยู่แทน ส่วนตัวเองก็หาเหตุผลไปธุรกิจส่วนตัว
ในที่สุดแผ่นดินกรุงทวารวดีศรีอยุธยาก็ล้มครืนลงครั้งแล้วครั้งเล่า
ท่ามกลางเปลวเพลิงโหมกระพือจนท้องฟ้าแดงเดือดเป็นสีเลือด เงาร้ายได้ปกคลุมเหนือผินดินที่เคยรุ่งเรือง สิ่งที่เหลือคือซากปรักหักพังและเสียงร่ำร้องของวิญญาณที่หมักหมมจมอยู่ในหลุมความเคียดแค้น ชิงชัง
เหมือนถูกจองจำด้วยคำสาป ไม่ยอมไปผุดไปเกิดเสียที
******