บทนำ
“ให้เธอได้กับเขาแล้วจงโชคดี อย่ามี อะไรให้เสียจาย...”
“ไหวไหมวะน้ำค้าง ฉันว่ารีบพามันกลับเถอะ”
“เรียกรถแล้ว เดี๋ยวเราไปรอตรงนั้น”
ฉันบอกหนึ่งในเพื่อนสนิทที่คบกันตั้งแต่มาเรียนมหาวิทยาลัย ส่วนอีกคนที่กำลังเมาหัวทิ่มอยู่นั้นคือ ระริน
เราสามคนเรียนอยู่คณะนิเทศศาสตร์ ชั้นปีที่ 1 สนิทกันมากที่สุดก็คงมีแค่นี้ ส่วนเพื่อนคนอื่นๆ ก็พอมีไปไหนมาไหนด้วยกันบ้างส่วนมากก็ไปด้วยกันเพราะทำงานเป็นกลุ่ม
เราเรียนอยู่มหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่ง ที่ติดอันดับท็อปทุกโพล ค่าเทอมแพงในระดับหนึ่งแต่ที่ฉันเข้ามาเรียนได้เพราะสอบชิงทุนจากผู้ใหญ่ใจดี ซึ่งฉันเองก็รู้จักแค่ชื่อ ลำพังตัวฉันคงไม่สามารถจ่ายค่าเทอมแพงๆ แบบนี้ได้หรอก เพราะฉันอาศัยอยู่กับยายและน้องชายอีกคน
ยายขายขนมไทยเลี้ยงดูเราและส่งเสียให้เรียนในโรงเรียนรัฐบาลจนจบก็ถือว่าท่านเก่งมากแล้ว พอขึ้นมหาวิทยาลัยฉันก็ต้องทำงานพิเศษเพื่อแบ่งเบาภาระของท่านด้วย เพราะตอนนี้ ‘น้ำหนาว’ น้องชายของฉันที่เรียนอยู่ชั้นมอห้า กำลังหาที่เรียนพิเศษเพราะอยากสอบติดคณะที่ตัวเองใฝ่ฝัน
ครืด~ ครืด~
“จิน แกพาระรินข้ามไปรอฝั่งนู้นเลย” ฉันบอกเพื่อนแล้วก็ล้วงเอามือถือขึ้นมากดรับสายจากน้องชายตัวเอง “ว่ายังไงหนาว”
(พี่ค้างอยู่ไหน)
“อยู่ข้างนอกกับเพื่อน แต่กำลังจะกลับหอแล้ว มีอะไรหรือเปล่า”
ตอนนี้เป็นเวลาห้าทุ่มกว่า ปกติฉันไม่ได้ออกมาข้างนอกจนดึกดื่นอย่างนี้หรอกเพราะไม่ใช่คนชอบเที่ยวอะไร จะมีก็แค่ออกไปทำงานร้านเหล้าซึ่งเป็นงานพิเศษที่ทำอยู่ตอนนี้ อีกอย่างอายุพวกเราก็ไม่ใช่ว่าจะเข้าร้านเหล้าได้ นอกเสียจากว่าแอบเข้าเพราะมีคนที่ยัยจินมันรู้จักอย่างวันนี้ เพราะระรินอกหักรักคุดจากรุ่นพี่ที่มันแอบชอบมา
(วันศุกร์นี้ผมต้องไปนอนบ้านเพื่อนพี่ค้างจะกลับมานอนกับยายไหม)
“...กลับ ไม่น่าจะมีกิจกรรมอะไร”
เพราะช่วงเทอมหนึ่งที่ผ่านมานี้กิจกรรมของคณะค่อนข้างเยอะพอสมควร ส่วนเทอมสองนี้ก็มีเพลาๆ ลงบ้างแต่ก็เหลือกิจกรรมของชมรมที่พวกเราเข้าร่วมกันเพราะถูกรุ่นพี่ในคณะชักชวน
(โอเค...)
“มีอะไรหรือเปล่า” ฉันถามน้องเมื่อรู้สึกได้ว่าน้ำหนาวอยากจะพูดอะไรหรือมีเรื่องลำบากใจบางอย่าง
(ผมไม่กล้าขอเงินยาย กลัวยายจะไม่มีให้)
“เดี๋ยวพี่เอาให้ เงินพี่ออกพรุ่งนี้ เอาไว้ติดตัว”
(...ขอบคุณครับ ผมรักพี่นะ)
“ที่เรื่องตังละปากหวานเชียว” ฉันแซวน้องแล้วเผลอยิ้มออกมาคนเดียว แล้วสายตาก็เห็นว่ายัยจินกำลังโบกมือให้เป็นสัญญาณว่ารถกำลังมาถึงแล้ว ฉันจึงรีบเดินข้ามถนนตามพวกมันไป
เอี๊ยด!!
เพราะมัวแต่ดูยัยสองคนนั้นกับคุยโทรศัพท์ทำให้ฉันไม่ระวังมองเห็นรถที่กำลังแล่นมา เสียงล้อรถบิ๊กไบก์คันใหญ่ที่บดกับถนนสร้างความตกใจจนต้องหันไปมอง
รถคันนั้นที่วิ่งมาด้วยความเร็วก่อนหักหลบตัวฉันไปจนทำให้ตัวเองเสียหลักล้มลงข้างทาง ที่เป็นโพลงหญ้าสีเขียวกลุ่มหนึ่ง วินาทีนั้นมันทั้งตกใจและกลัวจนขาขยับไม่ได้ ทั้งมือทั้งขามันแข็งทื่อไปหมด
“ยัยน้ำค้าง!!”
(พี่ค้างเป็นอะไรไป พี่!)
เสียงของยัยจินและเสียงจากปลายสายเรียกสติของฉันแต่ก็กลับคืนมาไม่หมด จากที่ร่างกายแข็งทื่อตอนนี้มันเริ่มสั่น สายตาจับจ้องไปที่รถคันนั้นที่ล้มอยู่ พอตั้งสติได้ฉันก็รีบบอกกับน้องว่าไม่เป็นอะไรก่อนจะตัดสายแล้ววิ่งไปดูคนที่กำลังเจ็บ
“คุณ...เป็นอะไรไหมคะ”
“อืม...” ชายคนนั้นครางเบาๆ ในลำคอแล้วพยายามหยัดตัวลุกขึ้น
เขาสวมเสื้อและกางเกงยาวทั้งชุดสวมถุงมือและหมวกกันน็อคแบบปิดทั้งหน้าจนมองเห็นแค่ตา แต่แค่นั้นก็ทำให้ฉันตัวชาวาบเมื่อเขาตวัดสายตาคู่นั้นมองมาพร้อมกับก้าวขายาวๆ ราวกับนายแบบนั้นตรงมาหาฉัน
“ยัยน้ำค้าง เป็นอะไรไหม เอ่อ...” จินทิ้งระรินนั่งตรงนั้นแล้ววิ่งมาหาฉันอย่างกังวลแต่พอเจอสายตาอำมหิตจากอีกฝ่ายตรงหน้า มันก็นิ่งค้างไปไม่ต่างกัน
“จะข้ามถนนทำไมไม่มองรถวะ!”
“ขะ...ขอโทษจริงๆ ค่ะ คุณเจ็บตรงไหนไหม ไปโรงพยาบาลดีไหม”
“ไม่ตายก็บุญแล้วมั้ง” น้ำเสียงหงุดหงิดนั้นทำให้ฉันไม่กล้าพูดอะไรต่อ จะบอกว่าขอรับผิดชอบทั้งหมดก็ไม่กล้าพูดได้เต็มปากเพราะฉันมีปัญหาเรื่องการเงินมาโดยตลอด ทำงานเสริมก็แค่พอใช้จ่ายของตัวเองช่วงเรียน
เขาเดินไปดูรถของตัวเองก่อนจะดึงถุงมือข้างหนึ่งออกแล้วเอาโทรศัพท์ออกมาโทรหาใครบางคนแล้วจึงเดินกับมาหาฉันแล้วสั่งเรียบ
“เอาบัตรมา เบอร์โทรด้วย”
ฉันฝืนใจหยิบเอากระเป๋าของตัวเองออกมาหยิบบัตรประชาชนและบัตรนักศึกษาที่มันติดมาด้วยแล้วยื่นมันไปให้เขา เผื่อว่าเขาจะเห็นใจที่ฉันยังเป็นนักศึกษาอยู่ จะได้รู้ว่าฉันไม่มีปัญญารับผิดชอบรถราคาแพงของเขาแน่
“แล้วรถเป็นอะไรมากไหมคะ”
เขาไม่ตอบ ดึงบัตรทั้งสองใบของฉันไปถ่ายรูปก่อนจะคืนบัตรประชาชนมาให้ ย้ำว่าแค่บัตรประชาชนใบเดียว ส่วนบัตรนักศึกษาเขายัดมันลงกระเป๋าหลังของตัว
“บัตรนักศึกษาหนูค่ะ”
“ฉันต้องใช้เผื่อเธอทำเนียนหาย เอาเบอร์มาด้วยฉันจะให้ประกันติดต่อไป”
“แต่หนูคงไม่มีปัญญาจ่าย”
“พวกเรายังเป็นนักศึกษาอยู่เลยค่ะ ขอโทษแทนเพื่อนหนูด้วยนะคะพี่” ยัยจินที่เงียบไปนานรีบพูดเพื่อช่วยฉันบ้าง
“...” เขามองฉันกับเพื่อนผ่านหมวกกันน็อคใบนั้นนิ่ง ไม่รู้ว่ากำลังตำหนิด้วยคำไหนในใจ จนต้องหลบสายตาแล้วขอโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาก่อนจะบอกเบอร์ของตัวเองไป
“คราวหลังก็หัดระวังหน่อย เดี๋ยวก็ได้ตายเพราะคุยโทรศัพท์”
พูดจบเขาก็เดินกลับไปที่รถก่อนที่จะมีรถซุปเปอร์คาร์ของใครบางคนแล่นมาจอดเทียบข้างทาง ผู้ชายที่รุปร่างหน้าตาดีคนหนึ่งลงจากรถก็หันมามองพวกเราแวบหนึ่งแล้วเดินไปหาคู่กรณีของฉัน
“พวกหนูขอกลับก่อนนะคะ ถ้ายังไงพี่ติดต่อมาหน่อย”
“อืม อย่าหนีแล้วกัน”
เขาพูดแล้วก็มองฉันด้วยหางตา ส่วนเพื่อนเขาที่หน้าตาดีมากๆ นั้นก็มองพวกเราด้วยสายตาที่ไม่ต่างกันนัก นั่นคือสายตาตำหนิ ฉันไม่ได้อยากหนีปัญหาหรอกแต่อยู่ไปก็เหมือนจะช่วยอะไรไม่ได้แถมยังโดนมองแรงจนรู้สึกไม่ดี ขนาดเห็นแค่ตายังขนาดนี้ดีแล้วที่ไม่ยอมถอดหมวกนั่น
“ไม่หนีหรอกค่ะ ไม่ต้องห่วง ถ้าหนีก็ตามจากบัตรได้เลย”
“...” เขาปรายตามองแล้วก็หันกลับไปคุยกับเพื่อน
“กลับกันเถอะน้ำค้าง” จินกระซิบแล้วรีบดึงแขนฉันออกมาจากตรงนั้น ส่วนระรินไม่รู้เรื่องอะไรเลย นั่งร้องเพลงอกหักอยู่คนเดียวตรงฟุตบาท ยังดีรถที่เรียกมานั้นรอเราสามคนอยู่ ไม่อย่างนั้นคงได้ลำบากใจอยู่ตรงนี้อีกนานแน่
---------------