“แบบนี้หรือเสี่ยวเป่าเปา” เจ้าของชื่อที่ยืนกำกับการแกะเมล็ดโกโก้ออกจากผลอยู่นั้น เมื่อได้ยินคำถามจากท่านตาจึงชะโงกหน้ามาดู ก่อนจะพยักหน้า
“ใช่แย้วเจ้าค่ะท่านตา” วันนี้หลังจากที่ขายขนมในเมืองหมด จงเป่าเปาก็รีบจูงสองผู้เฒ่าขึ้นเกวียนวัวเพื่อกลับบ้านทันที
ด้านหลังบ้านตอนนี้มีจงฮุ่ยชิว อันเจียอี จูซูฮวา และโม่เฉิน ช่วยกันแกะเมล็ดโกโก้ ส่วนเด็กน้อยอย่างจงเป่าเปากับโม่โฉวนั้น เดินเอามือไพล่หลังเดินไปดูคนนั้นที คนนี้ที
เมล็ดโกโก้นั้นเมื่อนำออกจากผลแล้วก็ต้องนำไปหมักในตะกร้า โดยต้องปิดมิดชิดห้ามให้น้ำเข้าไปได้โดยเด็ดขาด ใช้เวลาการหมัก 2-3 วัน หลังจากการหมักเสร็จสิ้น จะต้องนำมาตากแห้ง 1-2 สัปดาห์ จากนั้นก็นำมาคั่ว ในขั้นตอนการคั่วจะมีผลกระทบต่อรสชาติของโกโก้ด้วย หลังจากคั่วเสร็จจึงจะนำมากระเทาะเปลือกที่หุ้มเมล็ดออก ขั้นตอนสุดท้ายก็คือการบดนั่นเอง กว่าจะได้โกโก้ที่พร้อมสำหรับใช้งานก็ต้องใช้เวลาหลายวันเลยทีเดียว
“แกะเมล็ดออกหมดแล้วเสี่ยวเป่าเปา”
“เจ้าค่ะ”
โกโก้ 3 ตะกร้าใช้เวลาไม่นานก็แกะหมดแล้ว
“แล้วทำอย่างไรต่อหรือเสี่ยวเป่าเปา” จูซูฮวาที่อยากรู้ก็เอ่ยถาม
“ต่อไปก็นำไปหมักเจ้าค่ะ” ปากเล็กๆ อธิบายวิธีการทำให้ทุกคนฟังอย่างตั้งใจ คนฟังก็ฟังอย่างตั้งใจเช่นเดียวกัน พร้อมทั้งทำตามคำแนะนำของเด็กน้อย เมื่อเสร็จจากตรงนี้ทุกคนจึงมานั่งพักดื่มน้ำ
“ตาอยากรู้จริงจริ๊ง ว่าเมล็ดโกโก้ของเจ้าจะทำออกมาเป็นอันใด” ดื่มน้ำที่หลานสาวยื่นให้ ช่างชื่นใจจริงๆ
จงเป่าเปาขมวดคิ้วมองผู้เป็นตาอย่างโง่งม “เอ้า ท่านตาเจ้าขา ทำโกโก้ก็ย่อมได้โกโก้สิเจ้าคะ”
จงฮุ่ยชิวได้แต่มองหลานสานตาปริบๆ เจ้าหลานสาวของเขาคนนี้ช่างกวนจริงๆ
“อืม ตาไม่น่าถามเจ้าเลย” น้ำเสียงเหนื่อยหน่ายของจงฮุ่ยชิว ทำให้ผู้อื่นหัวเราะ
“คิกคิก สิ่งที่เป่าเปาทำย่อมเป็นของอาหย่อยอยู่แย้วเจ้าค่ะ” เป่าเปาขอบอกไว้ ณ ตรงนี้เลย ว่าถ้าการทดลองทำครั้งนี้ได้ผล เป่าเปาก็จะกลายเป็นเศรษฐีนีตัวน้อยอย่างแน่นอน หึหึ
สี่ผู้ใหญ่กับอีกหนึ่งเด็กน้อย มองท่าทางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ของจงเป่าเปาอย่างไม่เข้าใจ
โม่โฉวเดินเข้าไปสะกิดสหาย “เป่าเปา” เมื่อสหายยังยิ้มอยู่ตนจึงขยับเข้าไปใกล้อีกนิด ยื่นใบหน้ากลมไปใกล้ใบหูของสหายก่อนจะตะโกนออกมา “เป่าเปาาาา”
จงเป่าปาถึงกับสะดุ้งตกใจ “ว่าอย่างไยโฉวโฉว” ไอหยา ขี้หูนางถึงกับเต้นระบำเลยละ เด็กน้อยใช้นิ้วชี้แยงเข้าไปในรูหูเพื่อเขี่ยๆ
“โฉวโฉวเห็นเป่าเปายิ้มอยู่คนเดียว เรียกก็ไม่ได้ยิน”
“เป่าเปากำลังนึกถึงของอาหย่อยอยู่นะซี่” ความจริงแล้วนางกำลังนึกถึงก้อนเงินต่างหากละ
“ของอาหย่อยหยือ” ได้ยินสหายพูดถึงของอร่อยโม่โฉวก็ยิ่งสนใจ
“ก็ใช่นะซี่” เด็กน้อยยืนยัน
“แบ่งให้โฉวโฉวกินด้วยได้หยือไม่”
“ได้อยู่แย้ว” เรื่องของกินนางไม่หวงอยู่แล้ว
สองเด็กน้อยพูดคุยกันอย่างออกรส ผู้ใหญ่ก็มีเรื่องต้องพูดคุยด้วยเช่นกัน แต่ตอนนี้จงฮุ่ยชิวกับโม่เฉินขอตัวไปทำคอกให้วัว ตรงนี้จึงเหลือเพียงเด็กน้อยทั้งสองกับหญิงสาวต่างวัยสองคน
“จริงสิท่านป้าอัน วันก่อนมีหญิงสาวหลายคนมาถามข้าด้วยนะเจ้าคะ ว่าท่านป้ายังรับคนมาช่วยงานอีกหรือไม่เจ้าค่ะ” เพราะตอนนี้มีนางเพียงคนเดียวที่ได้ทำงานกับบ้านจง
พวกชาวบ้านได้เห็นแล้วว่าครอบครัวจงทำขนมไปขายในเมืองเกือบทุกวัน อีกทั้งยังขายดิบขายดี ทำไปเท่าไหร่ก็ขายหมด เมื่อรู้ว่าอันเจียอีจ้างนางให้มาช่วยทำขนม คนพวกนั้นจึงเข้ามาถามนาง
“ความจริงข้าก็คิดเรื่องนี้อยู่เช่นกัน แต่เพราะว่าขนมที่ข้าทำไม่ได้มีจำนวนมากมายเท่าใดนัก ทำกับเจ้าสองคนก็ยังพอทำไหว” อันเจียอีตอบ
“เจ้าค่ะ ข้าจึงไม่ได้ตอบอันใดพวกนาง ข้าบอกให้พวกนางมาถามท่านป้าเองเจ้าค่ะ”
“ดีแล้วๆ ว่าแต่เจ้าทำไหวหรือไม่ ที่ต้องทำกับข้าเพียง 2 คน”
“ไหวเจ้าค่ะ ทำงานกับท่านป้าอันข้าไม่เหนื่อยเจ้าค่ะ” นอกจากงานไม่หนักแล้ว อันเจียอียังให้ค่าแรงนางเท่ากับคนที่ไปหางานทำในเมืองอีกด้วย
ครอบครัวโม่อยู่ที่บ้านของครอบครัวจงจนตะวันเกือบลับขอบฟ้า จึงได้ขอตัวกลับ
เวลาผ่านไปหลายวัน แต่ครอบครัวจงก็ยังใช้ชีวิตปกติเช่นทุกวันที่ผ่านมา ทุกเช้ายังนำขนมไปขายในเมือง และคอยดูเมล็ดโกโก้ที่ตากไว้ด้วย ยิ่งเวลาผ่านไปขนมของแม่ค้าตัวน้อยยิ่งขายดิบขายดี
หรือว่านางควรขยายกิจการได้แล้ว
“ท่านตาเจ้าขา ท่านยายเจ้าขา” ในเย็นวันนั้นในขณะที่ทุกคนกำลังกินมื้อเย็นกันอยู่ จงเป่าเปาที่มีข้าวอยู่เต็มปากก็เอ่ยขึ้นมา
“ยายบอกกี่ครั้งแล้วว่าให้กลืนข้าวก่อนค่อยพูด ไม่มีใครแย่งเจ้าพูดหรอก”
จงเป่าเปาจึงกลืนข้าวลงคอแล้วฉีกยิ้มหวานให้ท่านยาย “เยาซื้อย้านค้ากันดีหยือไม่เจ้าคะ” เด็กน้อยเอ่ยเข้าประเด็นทันที เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา
“ซื้อร้านหรือ” อันเจียอี
“ใช่เจ้าค่ะ”
“เหตุใดเสี่ยวเป่าเปาจึงอยากซื้อร้านค้าเล่า” จงฮุ่ยชิวอยากรู้เหตุผลของหลานสาว อย่าเห็นว่านางเป็นเพียงเด็ก 3 หนาวเชียวนะ ไม่ว่านางจะทำอันใดย่อมมีเหตุมีผลเสมอ หลานเขาเป็นยอดเด็ก
“นั่นนะสิ ร้านค้าร้านหนึ่งราคาไม่ใช่น้อยๆ เลยนะ” ถึงแม้บ้านนางจะมีเงินจากเหตุการณ์คราวนั้น แต่นางอยากเก็บไว้ใช้ในยามจำเป็นมากกว่า
จงเป่าเปายกนิ้วชี้ขึ้นมา “ข้อแยกถ้าเยามีย้านค้า เยาก็ไม่ต้องเช่าที่ทุกวันเจ้าค่ะ” พูดจบก็ยกน้ำขึ้นดื่มเพราะนางกินข้าวอิ่มแล้ว เมื่อวางแก้วลงก็กลับมานั่งหลังตรง วางท่าเช่นผู้ใหญ่คนหนึ่ง ยกนิ้วชี้และนิ้วกลางขึ้นมา “ข้อฉองจะได้ไม่เป็นการยบกวนผู้อื่นตอนที่ยูกค้ามาต่อแถวซื้อขนมย้านเยาเจ้าค่ะ” บางครั้งลูกค้าต่อแถวกันยาวมากทำให้ขวางทางผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นพ่อค้า แม่ค้า หรือผู้คนที่มาจับจ่ายใช้สอย นางไม่ต้องการทำให้ผู้อื่นลำบาก
ผู้เฒ่าทั้งสองนั่งฟังเด็กน้อยพูดก็คิดตาม ก็จริงอย่างที่หลานสาวบอก การมีร้านค้าเป็นของตนเองสักร้านย่อมมีข้อดีมากมาย มากกว่าที่เด็กน้อยเอ่ยอย่างแน่นอน
“แต่ร้านค้าร้านหนึ่งแพงมากเลยนะเสี่ยวเป่าเปา” ถึงแม้จะคล้อยตามกับความคิดของหลานสาว แต่อันเจียอีก็ยังคิดหนักอยู่ไม่น้อย
“เยาซื้อแค่ย้านเย็กๆ ก็พอเจ้าค่ะท่านยาย” เราไม่จำเป็นต้องรีบเติบโต ค่อยๆ เติบโตทีละนิด ทีละนิด ถึงแม้จะสำเร็จช้ากว่าคนอื่น แต่ก็สำเร็จเช่นกัน อย่างการซื้อร้านค้านางก็ไม่ได้อยากได้ร้านค้าที่ใหญ่โตอันใด เพียงแค่อยากมีร้านเป็นของตนเองสักร้านก็พอแล้ว
“เช่นนั้นวันพรุ่งนี้หลังจากขายขนมเสร็จเราก็ไปดูร้านกันเถิด” ไปดูก่อนก็ไม่เสียหาย ซื้อไม่ซื้อค่อยว่ากันอีกทีก็ยังไม่สาย