แม่ทิพย์ฉีกยิ้มกว้างด้วยความปลื้มปิติ เมื่อได้ยินคำชมซึ่งหลุดออกมาจากปากของเลขาฯ หนุ่มอีกครั้ง นางปรายตามองภาพวาดพร้อมกับเอ่ยบอกถึงความสามารถที่มีนอกเหนือจากนี้ของเด็กน้อยที่รณกรรู้จักในชื่อข้าวฟ่าง
“นอกจากจะวาดภาพสีน้ำเก่งแล้ว ข้าวฟ่างยังเล่นกีฬาเก่งด้วยค่ะ”
รณกรพยักหน้ารับรู้ พลางเอ่ยพูดต่อในสิ่งที่ตนเองกำลังนึกคิดอยู่ในขณะนี้ “เด็กที่มีพรสวรรค์อย่างข้าวฟ่างควรได้รับการสนับสนุนนะครับ”
“ดิฉันก็คิดเช่นนั้นค่ะคุณรณกร ก่อนหน้านี้ดิฉันได้ถามข้าวฟ่างว่าระหว่างศิลปะกับกีฬา ข้าวฟ่างอยากเลือกเดินเส้นทางไหนมากกว่ากัน เพื่อที่ดิฉันจะได้ทำหนังสือไปตามโรงเรียนที่สอนทักษะทางนี้โดยตรง เผื่อว่าเขาจะรับข้าวฟ่างไปเป็นนักเรียนพิเศษในโรงเรียนของเขา”
“แล้วหนูข้าวฟ่างเลือกเรียนทางกีฬาหรือศิลปะล่ะครับ”
รณกรเอ่ยถามด้วยความอยากรู้ หากเด็กน้อยเลือกในสิ่งที่ตรงกับความคิดของเขาในขณะนี้ เขาก็พร้อมให้การสนับสนุนเด็กน้อยเช่นเดียวกัน
“ข้าวฟ่างอยากเรียนในโรงเรียนกีฬาค่ะคุณรณกร ตอนนี้ดิฉันได้ทำหนังสือไปยังโรงเรียนกีฬาทั่วประเทศ เผื่อว่าจะมีโรงเรียนแห่งใดแห่งหนึ่งรับข้าวฟ่างไปเป็นนักเรียนในโรงเรียนแห่งนั้น”
แม่ทิพย์เอ่ยบอกถึงสิ่งที่ตนเองพยายามขวนขวายหาเส้นทางชีวิตที่ดีให้ลูกๆ ในสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าได้เลือกก้าวเดิน เพื่ออนาคตอันสดใสของพวกเขาเอง
“มีโรงเรียนกีฬาตอบรับมาบ้างหรือยังครับ”
รณกรไม่รู้เลยว่าคำถามของเขาทำให้แม่ทิพย์หน้าสลดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยตอบเสียงแผ่วเบาอย่างเศร้าๆ
“ไม่มีโรงเรียนแห่งไหนตอบรับมาเลยค่ะ แต่ดิฉันก็จะพยายามติดต่อไปเรื่อยๆ ดิฉันคิดว่าสักวันคงจะเป็นวันอันแสนสวยงามของเด็กๆ ที่ดิฉันรับเลี้ยงดูอยู่ในขณะนี้”
“ใช่แล้วครับ สักวันจะต้องเป็นวันของเด็กๆ เหล่านี้”
รณกรเอ่ยให้กำลังใจทั้งตัวแม่ทิพย์เองและเด็กๆ ในสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าทุกคน
“เอ่อ...คุณรณกรคะ ว่าแต่เจ้านายคุณรณกรไม่อยู่หรือคะ คือ...ถ้าไม่รบกวนเวลาท่านมากเกินไป ดิฉันอยากนำภาพวาดนี้ไปมอบให้กับท่าน และจะได้ไหว้ขอบคุณท่านด้วยที่มีเมตตากับดิฉันและกับเด็กๆ ทุกคนนะคะ”
แม่ทิพย์เอ่ยถามถึงเจ้านายของเลขาฯ หนุ่มอีกครั้ง ในตอนท้ายนางเอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกักไม่เต็มเสียงนัก อีกทั้งยังเต็มไปด้วยความเกรงใจ เพราะกลัวว่านักธุรกิจดัง ร่ำรวยระดับอภิมหาเศรษฐีอันดับต้นๆ ของเมืองไทย คงไม่มีเวลาให้นางเข้าพบ และคงไม่ชายตาแลของที่ระลึกไร้มูลค่าที่ข้าวฟ่างได้ลงมือวาดเพื่อนำมามอบให้เขา
รณกรคลี่ยิ้มบางๆ พอจะจับความรู้สึกในน้ำเสียงของหญิงวัยค่อนคนแสนใจดีผู้นี้ได้ ว่ากำลังหวาดกลัวสิ่งใดอยู่ จึงได้เอ่ยพูดถึงเจ้านายของตนเองให้อีกฝ่ายรับรู้ว่าเพราะเหตุใดผู้กุมบังเ**ยนสโมสรเดอะเวิลด์ ออฟ ไอซ์ สเก็ต และธุรกิจอีกมากมายในเครือถึงมาให้การต้อนรับแม่ทิพย์และเด็กๆ ไม่ได้
“หากเจ้านายอยู่สโมสรในขณะนี้ ผมเชื่อว่าเจ้านายต้องเต็มใจให้คุณทิพย์เข้าพบ ขณะเดียวกันเจ้านายก็คงอยากพบคุณทิพย์เช่นเดียวกันครับ แต่เผอิญว่าเจ้านายบินไปสิงคโปร์ตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว ถ้าโชคดีทำธุระเสร็จเร็วเจ้านายก็คงกลับภายในวันนี้ แต่ตามกำหนดการแล้วเจ้านายจะกลับมาถึงเมืองไทยราวๆ หกโมงเย็น ซึ่งผมคิดว่าเจ้านายคงมาไม่ทันได้พบเด็กๆ แน่นอนครับ”
พอได้ยินคำตอบเช่นนี้ แม่ทิพย์ก็คลี่ยิ้มออกมาด้วยความโล่งอก นึกดีใจที่คนร่ำรวยอย่างเจ้าของสโมสรแห่งนี้ไม่รังเกียจคนต่ำต้อย คนจนๆ อย่างพวกนาง
“ถ้ายังงั้นดิฉันฝากภาพวาดนี้ให้กับเจ้านายของคุณรณกรด้วยนะคะ ดิฉันขอบคุณคุณรณกร และก็ฝากขอบพระคุณเจ้านายคุณรณกรด้วย ที่ให้ความเมตตาเด็กๆ ทุกคนได้เดินทางมาเที่ยวงานวันเด็กในปีนี้”
แม่ทิพย์ยื่นภาพวาดให้รณกรพร้อมกับยกมือไหว้ขอบคุณเลขาฯ หนุ่มอีกครั้ง ซึ่งอีกฝ่ายก็รีบยกมือรับไหว้เหมือนทุกๆ ครั้งที่ผ่านมา
“แล้วผมจะบอกเจ้านายให้นะครับคุณทิพย์”
รณกรรับคำเสียงทุ้มนุ่มนวล แต่ไม่ทันพูดอะไรต่อ ก็มีเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น และผู้ที่โทรมาก็เป็นบุคคลที่สามซึ่งพวกเขากำลังพูดถึงในขณะนี้
“เจ้านายโทรมา ผมขอตัวก่อนนะครับคุณทิพย์”
รณกรขอตัวอย่างสุภาพ ซึ่งแม่ทิพย์ก็รีบเอ่ยตอบอีกฝ่ายด้วยความเกรงใจไม่แพ้กัน
“คุณรณกรรับโทรศัพท์ตามสบายเลยค่ะ ถ้ายังไงดิฉันขอออกไปดูแลเด็กๆ ก่อนนะคะ”
“ขอบครับมากครับคุณทิพย์ พาเด็กๆ เที่ยวชมในสโมสรได้ตามสบายเลยนะครับ ขาดเหลืออะไรหรือต้องการอะไรเพิ่มเติมก็แจ้งกับเจ้าหน้าที่ของเราได้เลยนะครับ”
“ขอบคุณคุณรณกรอีกครั้งนะคะ”
แม่ทิพย์ยกมือไหว้ขอบคุณเลขาฯ หนุ่ม จากนั้นก็เดินตรงไปยังประตูร้านกาแฟ กำลังจะเดินออกจากร้านเพื่อให้อีกฝ่ายสนทนาโทรศัพท์กับเจ้านายได้โดยสะดวก แต่ก็ถูกเลขาฯ หนุ่มเอ่ยเรียกไว้เสียก่อน
“คุณทิพย์ครับ”
รณกรเอ่ยเรียกแม่ใหญ่แห่งสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าไว้ พออีกฝ่ายหันมามองพลางเลิกคิ้วขึ้นเป็นคำถาม ก็คลี่ยิ้มให้บางๆ พลางเอ่ยบอกเป็นนัยๆ ให้คู่สนทนาต้องขมวดคิ้วเข้าหากันยุ่ง
“เชื่อผมนะครับคุณทิพย์ สักวันจะต้องเป็นวันของลูกๆ ของคุณทิพย์”
“ค่ะคุณรณกร”
แม่ทิพย์รับคำอย่างงุนงง ก่อนจะเดินออกจากร้านกาแฟทั้งๆ ที่เครื่องหมายคำถามยังคงวิ่งวนอยู่ทั่วใบหน้าและดวงตาทั้งคู่
รณกรกระตุกยิ้มตรงมุมปากขณะมองตามแม่ใหญ่แห่งสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าที่กำลังเดินออกไปจากร้านกาแฟ ซึ่งเขาเชื่อว่าหากเด็กๆ เหล่านี้เป็นเด็กดี มีคุณธรรม ใฝ่เรียนรู้ สักวันโอกาสและโชคชะตาที่ดีก็จะวิ่งเข้าหาเด็กๆ เหล่านี้เอง เฉกเช่นเด็กน้อยที่ชื่อข้าวฟ่างซึ่งเขาได้เห็นแค่เพียงไม่กี่นาทีก็รู้สึกถูกชะตากับเด็กน้อยเป็นอย่างมาก และเขารู้ว่าอีกไม่นานโอกาสก็จะวิ่งเข้าหาเด็กน้อยคนนี้เช่นเดียวกัน
การมาเที่ยวงานวันเด็กนอกสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าเป็นครั้งแรกในชีวิตของเด็กหลายๆ คน เป็นไม่ต่างจากการเปิดโลกของเด็กเหล่านี้ให้กว้างไกลมากยิ่งขึ้น จากที่เคยเรียนรู้วิถีการดำรงชีวิตแต่ในบริเวณสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า วันนี้พวกเขาได้มองเห็นอะไรหลายๆ อย่าง อีกทั้งยังได้เรียนรู้เรื่องการปรับตัวให้เข้ากับสังคมด้วย
เด็กน้อยตาดำๆ จากสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าต่างก็สนุกสนานกับกิจกรรมที่ทางสโมสรจัดขึ้นไว้มากมายหลายสิบรายการ เด็กๆ แต่ละคนถือกล่องของขวัญ ของเล่น ขนมขบเคี้ยวรวมทั้งเสื้อผ้าชุดใหม่ อุปกรณ์การเรียนเต็มไม้เต็มมือทั้งสองข้าง ใบหน้าเล็กๆ ดวงตากลมโตวาววับของแต่ละคน เผยให้เห็นความสุขที่ได้รับในวันนี้