บทที่1
ปีพุทธศักราช 2544...ในวันเสาร์ที่สองของเดือนมกราคม...
ภายในสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าแห่งหนึ่งในเมืองหลวงอันศิวิไลซ์ของประเทศไทย เด็กน้อยตาดำๆ ทั้งชายและหญิงเกือบห้าสิบชีวิต ต่างก็นั่งเรียงแถวอยู่ภายในลานจัดกิจกรรมของสถานรับเลี้ยงเด็กอย่างเป็นระเบียบ
เด็กน้อยตาดำๆ เหล่านี้ ได้ลืมตาดูโลกใบใหญ่พร้อมกับความอาภัพ ไม่มีโอกาสล่วงรู้ว่าใครเป็นพ่อ ใครเป็นแม่ของตัวเอง เพราะพวกเขาถูกทิ้งให้อยู่ในโรงพยาบาล หรือนำมาทิ้งไว้หน้าสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าตั้งแต่หลุดออกมาจากท้องแม่แล้ว
แม้ไม่มีโอกาสล่วงรู้ว่าใครคือพ่อ ใครคือแม่ แม้ไม่มีโอกาสอยู่พร้อมหน้าพร้อมตาเฉกเช่นเด็กน้อยคนอื่นๆ ผู้โชคดีหนักหนา ทว่าพวกเขายังมีแม่ทิพย์ ซึ่งเป็นผู้อำนวยการสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า ที่คอยดูแลและมอบความรักให้กับพวกเขา ถึงแม้มันทดแทนความรัก ความอบอุ่นจากบิดามารดาผู้บังเกิดเกล้าไม่ได้ กระนั้นก็ยังดีกว่าไม่มีใครรักพวกเขาเลย
และในขณะนี้ เด็กน้อยทุกคนต่างก็ตั้งใจฟังแม่ทิพย์บอกถึงกำหนดการที่พวกตนจะได้ออกไปเที่ยวงานวันเด็กแห่งชาติ นอกสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าเป็นครั้งแรกในชีวิต ซึ่งมันทำให้เด็กด้อยโอกาสอย่างพวกเขาและพวกเธอรู้สึกตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย แต่ละคนนั่งฟังแม่ทิพย์พูดแทบไม่กะพริบตา โดยเฉพาะเด็กน้อยนัยน์ตากลมโตดำขลับที่ชื่อ กาญต์พิชชา หรือที่แม่ทิพย์และเพื่อนๆ ในสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าเรียกว่า ข้าวฟ่าง ได้นั่งทำตาปริบๆ ตั้งอกตั้งใจฟังสิ่งที่แม่ทิพย์กำลังย้ำพูดบอกเด็กๆ ในสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า ซึ่งต่างก็เป็นเพื่อน เป็นพี่น้องต่างสายเลือดกับเธอ กระนั้นพวกเธอและพวกเขาก็รักกันมาก
“จำไว้นะคะเด็กๆ ว่าทุกคนต้องอยู่ในระเบียบวินัย ห้ามซุกซน และห้ามเดินแตกแถวจากครูพี่เลี้ยงนะคะ”
แม่ทิพย์ของเด็กๆ เอ่ยบอกพร้อมกับชี้นิ้วให้เด็กๆ แต่ละคนมองไปยังครูพี่เลี้ยงของกลุ่มตนเอง ซึ่งเด็กแต่ละคนจะมีป้ายบอกชื่อเล่น พร้อมกับเบอร์โทรของคุณครู ห้อยอยู่บนลำคอ โดยคุณครูจะแบ่งให้เด็กโตและเด็กเล็กอยู่คละกันเป็นหมวดสีประจำวัน การให้เด็กโตอยู่กลุ่มร่วมกันกับเด็กเล็กก็เพื่อให้เด็กโตคอยช่วยดูแลเด็กเล็กร่วมกับครูพี่เลี้ยงอีกแรง
“เด็กๆ สัญญากับแม่ทิพย์ได้ไหมคะ ว่าทุกคนจะไม่ดื้อ ไม่ซน จะทำตัวเป็นเด็กที่น่ารักของแม่ทิยพ์ตลอดไป”
“สัญญาครับ”
“สัญญาค่ะ”
บรรดาเด็กน้อยตาดำๆ ที่ถูกทอดทิ้งตั้งแต่ลืมตาดูโลกต่างก็ตะโกนตอบพร้อมๆ กัน รวมทั้งกาญต์พิชชา เด็กน้อยนัยน์ตากลมโตที่ตะโกนตอบแม่ทิพย์เสียงดังไม่แพ้เพื่อนคนอื่นๆ
กาญต์พิชชาเป็นเด็กเลือดผสมไทย-ฟินแลนด์ เด็กน้อยไม่มีโอกาสเห็นหน้าตาบิดา มารดา เพราะถูกมารดาทิ้งไว้ในโรงพยาบาลตั้งแต่ลืมตาดูโลก ผ่านไป 12 ปีแล้ว แต่ก็ยังไม่มีใครมารับเธอกลับบ้าน ยังไม่มีใครมาแสดงตัวว่าเป็นผู้ปกครองของเธอ เพื่อพาเธอกลับบ้านอันแสนอบอุ่นที่เฝ้ารอคอยทุกวินาทีของลมหายใจ
“เดี๋ยวอีกสักครู่ ท่านผู้ใหญ่ใจดี ที่ยอมให้เราไปเที่ยวในสถานที่ทำงานของท่าน ก็จะส่งรถบัสมารับพวกเราแล้ว เพราะฉะนั้นเด็กๆ ทุกคนห้ามดื้อห้ามซน และถ้าพบผู้ใหญ่ใจดีแล้ว เด็กๆ ต้องทำยังไงคะ”
แม่ทิพย์เอ่ยถามเด็กๆ ในปกครองอีกครั้ง ซึ่งทุกคนต่างก็พร้อมใจตะโกนตอบเสียงดังอย่างรู้หน้าที่ของตนเองดี
“ต้องยกมือไหว้ครับ”
“ต้องยกมือไหว้ค่ะ”
“เก่งมากๆ จ้ะเด็กๆ”
แม่ทิพย์และครูพี่เลี้ยงอีกห้าคนต่างก็ปรบมือเชยชมสำหรับการทำความดีในครั้งนี้ แม้จะเป็นแค่ด้วยถ้อยวาจายังไม่ได้ปฏิบัติจริงๆ กระนั้นผู้ใหญ่ทุกคนซึ่งทำหน้าที่เป็นทั้งครูพี่เลี้ยง เป็นทั้งพ่อแม่ให้กับเด็กๆ เหล่านี้รู้ดีว่าการเอ่ยให้กำลังใจและกล่าวชื่นชมในทุกๆ ครั้งที่เด็กๆ ได้กระทำความดีจะเป็นการเพิ่มกำลังใจให้เด็กๆ ได้ทำความดีต่อไป
“เดี๋ยวระหว่างรอรถบัสมารับพวกเราทุกๆ คน แม่ทิพย์อยากได้ยินลูกๆ ของแม่ทิพย์ ท่องคำขวัญวันเด็กอีกครั้ง ลูกสาว ลูกชายของแม่ทิพย์จำได้ไหมคะว่าคำขวัญวันเด็กจากท่านนายกรัฐมนตรีมีว่าอย่างไรบ้าง”
“จำได้ครับ”
“จำได้ค่ะ”
ลูกสาวลูกชายของแม่ทิพย์ตะโกนตอบอย่างพร้อมเพรียงกันอีกครั้ง
“ถ้าจำได้แล้ว ลูกๆ ของแม่ทิพย์ท่องให้แม่ทิพย์และคุณครูทุกคนฟังหน่อยสิค่ะ”
แม่ทิพย์เอ่ยบอกเด็กๆ ที่น่าสงสาร ซึ่งนางรักและเอ็นดูไม่ต่างจากลูกในไส้ด้วยน้ำเสียงอบอุ่น จากนั้นก็ตั้งอกตั้งใจฟังว่าลูกๆ ของนางท่องคำขวัญวันเด็กแห่งชาติในปีนี้ได้ถูกต้องหรือไม่
ส่วนลูกสาวลูกชายของแม่ทิพย์ พอเห็นแม่ทิพย์และครูพี่เลี้ยงทุกคนต่างก็รอฟังคำขวัญวันเด็กที่จะหลุดออกมาจากปากของพวกตน ก็ตั้งอกตั้งใจยืดอกนั่งตัวตรง ดวงตาเต็มไปด้วยประกายแห่งความสุข เปี่ยมไปด้วยความหวัง ขณะเริ่มท่องคำขวัญวันเด็กแห่งชาติอย่างพร้อมเพรียงกัน
[1]มีวินัย ใฝ่เรียนรู้ คู่คุณธรรม นำประชาธิปไตย
“เก่งมากจ้ะลูกๆ ขอแม่ทิพย์”
แม่ทิพย์พร้อมด้วยครูพี่เลี้ยงต่างก็ปรบมือเสียงดังกราวอีกครั้ง หลังจากเด็กน้อยตาดำๆ ท่องคำขวัญวันเด็กแห่งชาติจบแล้ว
“มีวินัย ใฝ่เรียนรู้ คู่คุณธรรม นำประชาธิปไตย” แม่ทิพย์ทวนคำขวัญวันเด็กแห่งชาติในปีนี้อีกครั้ง ก่อนจะอบรมสั่งสอนบรรดาลูกๆ ของนางต่อ
“เด็กๆ ค่ะ ท่องคำขวัญวันเด็กจนขึ้นใจแล้ว ลูกๆ ของแม่ทิพย์ต้องนำคำขวัญไปปรับใช้กับชีวิตของลูกๆ ด้วยนะคะ ไม่ใช่ท่องแค่ปากเปล่า พอผ่านพ้นวันเด็กไปแล้วก็ลืมจนหมดสิ้น ลูกๆ ทุกคนต้องอยู่ในระเบียบวินัยที่แม่ทิพย์และคุณครูทุกคนกำหนดไว้ นอกจากนั้นพวกหนูต้องขวนขวายหาความรู้ให้กับตัวเอง นอกเหนือจากที่แม่ทิพย์และคุณครูสอนในแต่ละวัน พวกหนูต้องพยายามตักตวงความรู้เข้าสู่ตัวเองให้ได้มากที่สุด เพราะพวกหนูไม่สามารถอยู่กับแม่ทิพย์ได้ตลอดไป ในอนาคตพวกหนูต้องก้าวเดินด้วยสองเท้าของพวกหนูเอง โดยไม่มีแม่ทิพย์คอยประคับประคองเหมือนเวลานี้ สิ่งเดียวที่แม่ทิพย์อยากขอจากพวกหนูคือ เมื่อเติบโตแล้วให้เป็นคนดี มีคุณธรรมอยู่ในใจ ซึ่งไม่ใช่การทำดีเพื่อใคร แต่เป็นการทำดีเพื่อตัวของพวกหนูเอง และแม่ทิพย์อยากขอร้องอีกอย่างหนึ่งคือเมื่อเติบโตได้ดิบได้ดีแล้ว แม่ทิพย์อยากให้พวกหนูแวะมาดูน้องๆ ที่อยู่ข้างหลังบ้าง พวกหนูไม่จำเป็นต้องมาเยี่ยมน้องๆ ทุกวันหรือทุกเดือน และไม่จำเป็นต้องนำเงินทองมาให้แม่ทิพย์ แต่แม่ทิพย์ขอแค่ให้พวกหนูแวะมาดูน้องๆ บ้างก็เพียงพอแล้ว แม่ทิพย์อยากให้พวกหนูหยิบยื่นโอกาส หยิบยื่นอนาคตให้กับน้องๆ บ้าง”
แม่ทิพย์หยุดพูดไปชั่วขณะ เพียงเพื่อมองสบตากับเด็กๆ ทุกคนที่นั่งอยู่ ณ ที่นี้ จากนั้นก็ลั่นวาจาขอคำมั่นสัญญาจากเด็กๆ ในปกครองอีกครั้ง
“ที่แม่ทิพย์พูดมาทั้งหมด เด็กๆ ให้สัญญากับแม่ทิพย์ได้ไหมคะว่า จะพยายามทำตามที่แม่ทิพย์ได้ขอร้องออกไป”
++++++++++++++
[1] คำขวัญวันเด็ก ปี พ.ศ. 2544 มอบโดย ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี ชวน หลีกภัย