โครม โครม!
“น้องพิม! ออกมาเปิดประตู! สายโด่งป่านนี้จะนอนกินบ้านกินเมืองไปถึงไหน ออกมาดูบ้างสิ คนข้างนอกเขาทำอะไรกัน!”
เสียงเรียกสลับเสียงฝ่ามือกระหน่ำทุบประตูไม้ ปลุกหญิงสาวที่นอนหลับสนิทบนฟูกให้ตื่นขึ้นมามองเพดานทรุดโทรมมีคราบน้ำวงๆ จากการรั่วซึมของน้ำฝน สภาพค่อนข้างเก่าทว่าสำหรับคนที่เติบโตมาจากห้องนอนนี้ไม่มีความรู้สึกรังเกียจ พิยดาง่วงนอนตื่นไม่เต็มตาวางมือแนบลงกับที่นอนพยุงตัวเองขึ้นนั่ง ยกมืออีกข้างมาปิดปากหาวจนน้ำตาเล็ด จับปลายผ้าห่มออกจากเรียวขาคลานลงมากดดูเวลาจากโทรศัพท์
“ไม่ได้ยินที่ป้าเรียกเหรอน้องพิม หรือต้องให้พังประตูเข้าไป!”
“ขอโทษค่ะที่ตื่นสาย พิมลืมตั้งนาฬิกาปลุก”
อดีตเด็กรับใช้ประจำบ้านออกมาเปิดโดยที่ดวงตายังปรือ ใจอยากกลับไปล้มตัวนอนต่อสักชั่วโมง การเดินทางกลับไทยไม่ราบรื่นมากนัก เที่ยวบินดีเลย์ที่สนามบินฮ่องกงเกือบสองชั่วโมง กลับมาถึงบ้านดึกดื่น แต่กว่าแม่กับยายจะยอมปล่อยให้ไปพักผ่อนก็ดึกไปอีกมาก อีกอย่างเวลาที่ไทยต่างกับที่อังกฤษปรับตัวไม่ทัน
“รีบลงไปอาบน้ำแต่งตัว แล้วไปช่วยงานป้าที่บ้านใหญ่!”
“บ้านใหญ่ทำอะไรกันเหรอคะ” ดวงตาหวานช้อนขึ้นมองสตรีวัยกลางคนที่ทำงานและอาศัยบ้านหลังเดียวกันมานาน ไหล่หล่อนสะท้าน เพราะป้าชิดชมไม่อธิบายธรรมดาแต่ฮึดฮัดขัดใจตะคอกใส่
“ถามโง่ๆ ก็เก็บของน่ะสิ! อีกหน่อยต้องย้ายออกกันหมด คุณท่านสั่งให้เก็บเท่าที่จำเป็น ส่วนหนังสือ ของใช้ที่ไม่จำเป็นก็ให้เอาไปบริจาค ลุงติดต่อไปที่ห้องสมุดประชาชนเขาสนใจเข้ามารับหนังสือที่บ้าน เขาบอกจะเข้ามาตอนบ่าย แต่คุณท่านบอกว่ามีหนังสือหายากหลายเล่มให้ป้ามาตามน้องพิมไปคัดแยกเก็บไว้เผื่อขายได้ราคา”
“ได้ค่ะ พิมจะรีบอาบน้ำแล้วตามไปที่บ้านใหญ่นะคะ”
“เร็วๆ ด้วยล่ะ ชักช้าให้ป้ามาตามรอบสองจะโดนตีไม่รู้ตัว”
“ค่ะ” ทำตัวลีบเล็กไม่ให้ป้าหาเรื่องอื่นมาตำหนิ
อึดใจเดียวป้าชิดชมก็กระทืบเท้าลงบันได หล่อนเป่าลมจากปากโล่งใจที่หงายการ์ดหัวอ่อนสำเร็จ ปิดประตูเบามือ ลงบันไดเบาเท้า ได้ยินเสียงป้าชิดชมคุยกับยายทองที่ออกไปนั่งรับลมบนแคร่ไม้ไผ่หน้าบ้าน ย่องเบาพ้นรัศมีสายตาจากนั้นก็ก้าวพรวดไปทางห้องน้ำหลังบ้าน
ลงบันไดมาที่ชั้นล่างอีกครั้งด้วยเสื้อผ้าหน้าผมสบายๆ ชะเง้อคอดูให้แน่ใจอีกครั้งว่าป้ายังอยู่หน้าบ้านไหม มั่นใจว่าไม่มีการเคลื่อนไหวหรือเสียงใดก็เริงร่าเข้าไปหาหญิงชรา ไม่ได้มาเงียบๆ ตั้งใจเดินผ่านแคร่ไม้ ก่อนจะย้อนกลับมานั่งลงข้างๆ ให้ยายเห็นก่อน ยายจะได้ไม่ตกใจ
ยายทองขยับปากยิ้ม ใบหน้ามีเค้าโครงความใจดี จับมือไม่นุ่มมานั่งบนแคร่ไม้ไผ่ เลื่อนสายตาพร่ามัวมองหลาน
“หลับสบายดีไหมจ๊ะ”
“สบายค่ะ ถึงได้ตื่นสาย ขอโทษนะคะที่ไม่ได้มาช่วยงาน”
การเติบโตในบ้านคนรับใช้ลำบากมากกว่าคนที่มีบ้านเป็นของตัวเอง ต้องตื่นเช้ามาทำงาน ยกอาหารขึ้นโต๊ะให้เจ้านาย วันไหนมีเรียนก็ต้องรีบกลับมาแต่งตัวจนกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวัน
“นอนไปเถอะ ในบ้านไม่มีอะไรให้ทำ แค่เก็บของ”
ยายแก่กระตุกข้อมือหลานให้ขยับเข้ามาใกล้เพื่อจะได้ดูหน้าให้ชัดๆ พิยดาก็แสนจะน่ารักขยับเข้ามาหา ยกหน้าพริ้มเพราให้ยายชมถนัดตา
“หน้าจิ้มลิ้ม ตาสดใส ผิวพรรณดี หลานยายสวยกว่าเมื่อก่อนเยอะเลย อยู่ที่นู่นเป็นยังไง ได้นอนเต็มตา ได้กินข้าวอิ่มใช่ไหม”
“แพทกับแม่ของแพทใจดีกับพิม พิมได้เรียน ได้ทำงาน ได้กิน ได้เที่ยว ได้มีชีวิตในแบบที่พิมไม่เคยมีมากก่อน ไปอยู่ที่นู่นไม่ถึงปีแต่พิมรู้สึกเหมือนพิมโตและเข้มแข็งขึ้นมาก ไม่เหมือนพิมคนเดิม เสียดายอย่างเดียว ตรงที่มีโอกาส แต่กลับเรียนไม่จบตามที่หวัง”
“ยายอยากให้น้องพิมเรียนจบสูงๆ มีงานดีๆ ทำ แต่แม่ที่อยู่ทางนี้ก็ต้องการน้องพิมมากไม่แพ้กัน ยายแก่แล้ว ดูแลแม่ให้ไม่ได้ แม่ชม ตาศักดิ์ก็เร่งเก็บของจะพายายย้ายกลับบ้านเกิด”
หญิงชรามองเข้าไปในบ้านที่มีข้าวของวางสูง ถัดไปอีกกองเป็นของพัดชา ถูกสั่งห้ามเด็ดขาดไม่ให้วางใกล้ป้องกันการสับสนเวลาเคลื่อนย้าย ลูกสะใภ้ยายพูดกับหญิงพิการตรงๆ ไม่ยอมให้ไปอยู่ด้วยกัน
พัดชาร้องไห้เป็นวันๆ อยู่บ้านนี้นานเกินกว่าจะกล้าออกไปอยู่ที่อื่นตามลำพัง เพิ่งจะยิ้มได้เมื่อคืนนี้ตอนที่ลูกสาวกลับมาถึงบ้าน การที่พิยดากลับมาก็ทำให้ยายหายเป็นห่วงหญิงพิการเชื่อว่าพิยดาดูแลแม่หล่อนได้ พัดชาพิการหลายอย่าง ช่วยเหลือตัวเองมากไม่ได้ ออกไปข้างนอกเสี่ยงพลัดหลง หากไม่มีลูกสาวคอยดูแลยายก็ไม่อาจปล่อยหล่อนไว้ตามลำพัง
“เร็วขนาดนั้นเลยเหรอคะยาย พิมเพิ่งกลับมาไม่ถึงวัน” พิยดาใจหาย สะเทือนใจว่าหากตัวเองกลับมาช้ากว่านี้อาจจะสายเกินไป
“น้องพิมก็เริ่มเก็บของหาที่อยู่ใหม่ได้แล้วนะลูก บ้านยายเก่า เล็ก คับแคบ อยู่รวมกันหลายคน ไม่อยากพาน้องพิมกับแม่ไปลำบากด้วยกัน น้องพิมมีความสามารถ หาเงิน หางานทำอยู่กับแม่ที่นี่นะลูก ไว้มีโอกาส น้องพิมไปเที่ยวทางเหนือค่อยแวะไปเยี่ยมยาย ยายจะรอวันที่เราได้เจอกัน”
แม้พิยดาจะไม่ใช่หลานแท้ๆ แต่การที่อาศัยในบ้านเดียวกันมายี่สิบกว่าปี ทำให้ยายทองรักและผูกพัน เพียงแต่ยายแก่มากแล้ว ถ้าลูกชายกับลูกสะใภ้ตัดสินใจกลับบ้านเกิดยายต้องกลับด้วย พิยดาไม่ใช่ลูกหลานร่วมสายเลือดยายไม่อยากเป็นภาระ
“ยายไม่ไปได้ไหมคะ พิมจะรีบหางานทำให้เร็วที่สุด จะเช่าบ้านหลังใหม่ให้ใหญ่มากขึ้น เราจะได้อยู่ด้วยกันเหมือนเดิม” หญิงสาวเหนี่ยวท่อนแขนของยาย เขย่าหลายครั้งอ้อนวอนขอให้ยายไม่ย้ายกลับบ้านเกิด
“ให้ยายไปเถอะนะลูก อย่าอาวรณ์ยายเลย ยายแก่มากแล้วมีแต่รอวันตายไปวันๆ ยายรู้นะ ว่าน้องพิมรักยายมาก ยายก็รักน้องพิม แต่ยายไม่อยากให้น้องพิมเหนื่อย ต่อไปนี้มีชีวิตอยู่เพื่อตัวเอง เพื่อแม่ ก็พอแล้วนะลูก ลำพูนใกล้แค่นี้เอง ไว้น้องพิมตั้งตัวได้ค่อยพาแม่ไปเยี่ยมยาย ยายทิ้งบ้านเกิดตั้งแต่อายุเท่าน้องพิม ถึงเวลาที่ยายต้องกลับไป”
มือเหี่ยวย่นยกขึ้นเช็ดคราบน้ำออกจากใบหน้าสวยมันกลิ้งไหลไม่ขาดสาย เด็กสาวคนนี้ทั้งน่ารักและมีจิตใจดี ยายอยากมีชีวิตยืนยาวอยู่รอมองพิยดาในวันที่หล่อนประสบความสำเร็จ แต่ชีวิตคนเราไม่แน่นอน ตัวยายเองปีนี้ก็เจ็ดสิบเก้าเข้าไปแล้วอาจจะตายวันนี้พรุ่งนี้ก็ได้
“พิมอยากรั้งยาย แต่พิมไม่มีเงินมากพอจะดูแลยาย ลุง ป้า ให้อยู่ด้วยกันอย่างไม่ลำบาก สัญญานะคะ ถ้ากลับไปแล้วลำบาก หลานๆ ไม่ดูแล ยายโทรมาหาพิมนะคะ พิมจะรับยายกลับมาอยู่ด้วยกัน”
“จ้ะ” คนแก่รั้งตัวเด็กสาวที่เลี้ยงมาแต่แรกเกิดเข้ามากอด
“โตเป็นสาวแล้วนะ จะมาร้องไห้เหมือนยังเป็นเด็กๆ ไม่ได้แล้ว”
“พิมกลัวจะไม่ได้เจอยาย ไม่ได้กอดยายไปอีกตลอดชีวิต” พิยดาซุกใบหน้าเปื้อนน้ำตากลางอกอิ่ม ออดอ้อนกลัวยายหมดรักตัวเอง
“คนดี คนเก่งของยาย อย่าร้องไห้เลยนะลูก ยายไม่ได้จากไปไหน เราโทรคุยกันทุกวันเหมือนตอนที่น้องพิมไปอยู่เมืองนอกก็ได้”
“สัญญานะคะว่าจะรับสายพิม รับทุกครั้งที่พิมโทรหายาย”
“จ้ะ ยายสัญญา หยุดร้องได้แล้ว น้องพิมต้องเข้มแข็งมากกว่านี้นะลูก ต่อไปนี้น้องพิมต้องเป็นเสาหลักของบ้าน ดูแลพ่อกับแม่”
“พิมอยากดูแลแค่ยายกับแม่ ไม่ได้อยากดูแลเขา” น้ำเสียงขี้อ้อนห้วนขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อยายกล่าวพาดพิงไปถึงคุณไกรสรเจ้าของบ้าน
“วิ่งหนีไปไกลสุดขอบฟ้า ไม่มีทางหนีความจริงพ้น เช็ดหน้าให้เรียบร้อย เข้าไปกราบท่าน ป่านนี้ท่านคงรอเจอน้องพิมแย่แล้ว ยายบอกให้ไปกราบท่านตั้งแต่เมื่อคืน น้องพิมก็บ่ายเบี่ยงหลบเลี่ยงท่าน”
“กว่าพิมจะกลับมาถึงบ้านก็ดึกดื่นแล้วนะคะยาย”
“ถ้าอย่างนั้นก็เข้าไปกราบท่านตอนนี้เสียเลยสิ จะได้ยกสำรับข้าวเข้าไปให้ท่านในห้อง พักหลังมานี้ท่านไม่ค่อยกินข้าว แต่ถ้าได้เจอหน้าลูกสาว ท่านอาจจะมีกำลังใจกลับมากินข้าวทำตัวให้แข็งแรงก็ได้”
“พิมยังไม่อยากไปตอนนี้ ขอกินข้าวก่อนได้ไหมคะ”
“อย่าดื้อ ไปหาพ่อก่อนค่อยมากินข้าว เมื่อวานพ่อเขารอเจอน้องพิมตลอดทั้งวัน”
“พิมไม่ได้ขอให้รอนะคะ แล้วเขาไม่ใช่พ่อพิมสักหน่อยค่ะยาย” กระหมิบปากบ่น ยืดตัวจากการกอด ยายทำตาดุส่งคำว่าดื้อมาให้
“ต่อไปไม่มียาย น้องพิมจะดื้อแบบนี้ไม่ได้แล้วนะลูก สงสารท่าน ไปหาท่านเสียตั้งแต่ตอนนี้เถอะนะ ไม่ไปในฐานะลูก ก็ไปในฐานะลูกบ้านก็ได้ ตั้งแต่เกิดเรื่องยุ่งๆ ที่บริษัท จนถึงท่านล้มละลายถูกเจ้าหนี้ยึดทรัพย์ ผ่านมาหลายเดือน คุณเมศกับคุณเดือนไม่ยอมกลับมาหาท่านสักครั้ง โรคภัยไข้เจ็บก็รุมเร้าเข้าออกโรงพยาบาลเป็นว่าเล่น ท่านคิดถึงลูกๆ”
“สองคนนั้น ไม่มีใครกลับมาบ้านเลยเหรอคะ”
ลักษณะการขยับเอียงใบหน้าช้าๆ ทำให้พิยดานิ่งอึ้ง ย้อนกลับไปถึงวันวาน มีเงินมากเท่าไหร่คุณไกรสรก็ยกให้ลูกสองคนไปจนหมด ลูกชายคนโตไม่เอาไหนงานการไม่ทำ ติดเพื่อน ติดการพนันเป็นว่าเล่น
ลูกสาวคนเล็กโลดแล่นในวงการบันเทิง เหมือนจะดีกว่าพี่ชายขึ้นมานิดหน่อยแต่ลักษณะนิสัยค่อนข้างเอาแต่ใจ เข้ากับคนอื่นไม่ได้ และที่สำคัญไม่มีใครเข้าไปช่วยงานบริษัทของต้นตระกูลเลยแม้แต่คนเดียว เมื่อถึงคราวตกอับก็เลยลากกันพังเพราะไม่มีใครช่วยฉุดดึงกันเวลาหกล้ม
“ทั้งที่รู้ว่าพ่อล้มละลาย ไม่มีเงินใช้ ไม่มีที่อยู่เนี่ยนะคะยาย”
“คุณเมศอาจจะใช่ แต่คุณเดือนไม่ได้เลวร้ายถึงขั้นนั้น เธอส่งเงินมาให้คุณท่านใช้จ่ายรายเดือนผ่านพ่อศักดิ์แม่ชมสม่ำเสมอ เพียงแต่ตัวเธอทำงานที่จีนกลับมาหาไม่ได้ มารับท่านไปอยู่ด้วยก็ไม่ได้ เธอเครียดมากตอนที่พ่อศักดิ์แม่ชมบอกว่าจะย้ายกลับต่างจังหวัด ดูแลท่านให้ไม่ได้ เธอคุยกับยาย ถ้าจนมุมจริงๆ เธออาจจะกลับมาหางานทำที่กรุงเทพ”
“ตอนที่ยายคุยสาย คุณเดือนพูดถึงพิมบ้างหรือเปล่าคะ”
“ไม่บ่อยจ้ะ”
ยายเอียงหน้าชราไปทางคฤหาสน์ที่เคยสวยงามและมีชีวิตชีวา วันมีเงินมากแขกมาเยือนไม่ขาดสาย วันหมดตัวกลับเงียบเหงาแม้แต่เพื่อนบ้านก็ไม่ยอมคุยด้วยกลัวจะไปยืมเงินเขา
“เธอบอกว่าจะไม่ขอร้องน้องพิมให้ช่วยดูแลคุณท่าน เธอเคยพูดไม่ดี ทำไม่ดี ไม่เคยยอมรับน้องพิมเป็นคนในครอบครัว ก็สมควรที่จะทำอย่างนั้นไปตลอด เธอวางตัวน้องพิมเป็นลูกจ้าง วันนี้เลิกจ้าง ลูกจ้างก็มีสิทธิ์ออกไปอยู่ที่อื่น ไม่ต้องกลับมาสนใจเธอกับพ่อ”
“อวดดีไม่เปลี่ยน มาอยู่ไทยแล้วจะทำมาหากินอะไร”
นึกภาพออกว่าดุจเดือนพูดด้วยโทนเสียงประมาณไหน ดุจเดือนอายุมากกว่าพิยดาสองปี น้องสาวต่างมารดาราเมศวร์ที่คล้ายจะเป็นลูกน้องมากกว่า เพราะเกิดจากภรรยาน้อยต้องตามใจพี่ชายเพื่อให้เขายอมเล่นด้วย ในหลายๆ ครั้งที่ราเมศวร์สั่งให้กลั่นแกล้งพิยดา ดุจเดือนก็ไม่ขัดข้องทำตามคำสั่งเสมอ กลายเป็นภาพจำฝังใจในวัยเด็กว่าสองพี่น้องคู่นั้นนิสัยไม่ดี
ดุจเดือนมีรูปร่างหน้าตาสวยโดดเด่น ดำเนินรอยตามแม่ เข้าไปเฉิดฉายในวงการ มีผลงานหลายอย่างทั้งภาพยนตร์ ละคร โฆษณา ยกเว้นงานถ่ายแบบวับๆ แวมๆ ดุจเดือนไม่ยอมรับเด็ดขาดเพราะไม่อยากโดนโจมตีว่าเป็นนักแสดงขายงานไม่รุ่งหันไปขายตัวเหมือนแม่
งานในวงการบันเทิงไปได้ดีก้าวขึ้นมาอยู่ในแนวหน้าวงการบันเทิงไทย แต่เพราะนิสัยขี้วีน ขี้เหวี่ยงทำให้มีศัตรูนับร้อย มารู้ตัวในวันที่ผู้เป็นพ่อล้มละลาย ข่าวฉาวที่เคยใช้เงินปิดปากนักข่าวก็ถูกขุดคุ้ยขึ้นมาโจมตี ถูกยกเลิกงานละคร งานโฆษณา ไม่มีเหลือสักชิ้น
ดุจเดือนมีนิสัยไม่ยอมคน เมื่อไม่มีใครป้อนงานก็ไม่ง้อ สะบัดก้นใส่วงการไทยไปเอาดีที่จีนโดยมีแม่หล่อนเข้ามาเป็นผู้จัดการส่วนตัว เจอหน้ากันครั้งล่าสุดสองสามเดือนก่อนพิยดาจะบินไปเรียนต่อเมืองนอก น่าจะเกือบปีแล้วมั้ง ดุจเดือนยังอวยพรอยู่เลยว่าขอให้เครื่องบินตกตาย หรือไม่ก็เรียนไม่จบ รอดจากเครื่องบินตกมาได้ชิลล์ๆ แต่กลับตกม้าตายเพราะเรียนไม่จบตามที่ดุจเดือนปรามาส ดุจเดือนแน่จริงๆ ผู้หญิงอะไรร้ายทั้งในจอนอกจอ
“แต่ถ้าเธอไม่กลับมา คุณท่านจะอยู่กับใครล่ะลูก คุณเมศไม่กลับมาบ้านเป็นปี คุณเดือนยังไม่รู้ว่าเขาอยู่ไหน”
“พิมไม่อยากดูแลคนที่ทำร้ายพิมกับแม่มาทั้งชีวิต แต่... ถ้าไม่ใช่พิม แล้วเขาจะอยู่ยังไง อยู่กับใคร พิมควรตัดสินใจยังไงดีคะยาย” พิยดาลังเล ความดีค้ำคอ ขัดแย้งกับเรื่องในอดีตที่เคยถูกท่านทุบตีสารพัด
“คนเราจะตายวันตายพรุ่งไม่รู้ อย่ายึดติดอดีตนักเลย ถึงยังไงเขาก็เป็นพ่อ เป็นคนที่ชุบเลี้ยงน้องพิมมา ถือว่าทำบุญให้คนไร้ที่พึ่งนะลูก”
“ที่ยายเลือกย้ายกลับบ้าน ส่วนหนึ่งเพราะยายอยากให้พิมรับท่านไปดูแลใช่ไหมคะ ลึกๆ แล้วยายต้องการให้พิมทำอย่างนั้น”
“ใช่จ้ะ” หญิงชรายอมรับ “ท่านไม่เหลือใคร วันหนึ่งท่านจะรู้สึกผิด และสำนึกได้ที่ไม่เคยให้ความรักความอบอุ่นกับลูกคนนี้”
“ถ้าเขาจะเห็นคุณค่าพิม เขาคงเห็นไปนานแล้วค่ะยาย” หญิงสาวขับเสียงหวานละมุนออกมาในโทนเศร้าให้ตัวเองได้ยินคนเดียว