ตอนที่ 2/1 ยังรักและคิดถึง.

3103 Words
รถแท็กซี่จากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิขับผ่านการจราจรแออัด จอดเทียบกำแพงหลังบ้านไม้เก่านานร่วมครึ่งชั่วโมงไม่มีทีท่าจะเคลื่อนไปข้างหน้า เจ้าของรถออกอาการเบื่อหันมาโวยวาย “ไปหรือยัง ที่บอกจะจ่ายเพิ่มน่ะเท่าไหร่ คุ้มค่าเสียเวลาข้าไหม” ผู้ว่าจ้างแสดงอารมณ์ไม่พอใจ แต่ไม่ได้ตอบโต้ เขาดึงแขนเสื้อขึ้นดูเวลาคำนวณค่าเสียโอกาสในการวิ่งรถรับผู้โดยสาร “ทิปเยอะนะเนี่ย เหมาไหม ข้าจะนอนเงียบๆ ไม่บ่นให้เอ็งรำคาญ” ผิวปากเป็นทำนองเพลง นับเงินมีความสุข “ไม่ครับ ผมพอแล้ว ช่วยไปส่งผมตามที่อยู่ที่เคยบอก” “แต่ดูเหมือนเอ็งจะยังไม่อยากกลับเลยนะ อยู่ต่อชั่วโมงเดียว สองชั่วโมงก็ได้ ข้าคิดเพิ่มไม่แพงหรอก จะเอนเบาะนอนรอเงียบๆ” “ถ้าไม่ออกรถก็ค*****นส่วนหนึ่งให้ผม ผมเรียกรถคันอื่นได้” “ไปก็ได้ ยังหนุ่มยังแน่น ขี้น้อยใจเป็นบ้าเลยนะหนุ่มนะ” หน้าหล่อเข้มจัด เบือนจากคนขับรถวัยกลางคนกลับไปทางหน้าต่างบานเดิม ขอให้ไฟในห้องนอนส่องสว่างเพื่อจะได้มั่นใจอะไรบางอย่าง เขาเหนื่อยที่ต้องพลัดพรากจากคนรัก อยากทำอะไรสักอย่างเพื่อดึงหล่อนกลับมา สัญชาตญาณบางอย่างเตือนว่าหากช้ากว่านี้อาจจะไม่มีโอกาสได้กลับมาคบกัน บ้านอัศวเมฆินทร์ถูกยึด หากหล่อนทิ้งการเรียนกลับเมืองไทยไม่แคล้วต้องพาแม่ย้ายไปหาที่อยู่ใหม่ แต่ที่ไหนล่ะที่หล่อนจะไป หล่อนไม่มีญาติพี่น้อง จะย้ายไปอยู่ไหนก็ย่อมได้ เขาตระหนักรู้ได้ว่าไม่มีทางตามหาหล่อนเจอง่ายเหมือนที่ผ่านมา ภาวนาขอให้จุดหมายปลายทางคือประเทศไทย จะได้ตามหาง่าย แต่ถ้าภายในวันสองวันนี้ไม่เจอกันเขาจะกลับไปอังกฤษ การไปครั้งนี้เขาจะเปิดเผยตัวเองไม่เก็บซ่อนตัวตนต่อไป “คุณรัน ทำไมมาคนเดียวล่ะคะ พ่อไปไหน” สกาวใจ แม่บ้านอายุใกล้เคียงกันออกมารอต้อนรับ เหลียวมองตามท้ายรถแท็กซี่จนกระทั่งลับหายไปจากประตูรั้วอัตโนมัติ พ่อสกาวใจทำงานเป็นคนขับรถประจำบ้านอรัญรัตนา โดยปกติแล้วหน้าที่ขับรถรับส่งเจ้านายทุกคนล้วนแล้วแต่เป็นของพ่อสกาวใจ ทำไมถึงปล่อยให้เจ้านายเรียกรถแท็กซี่กลับบ้านตามลำพัง “ให้ลุงไปส่งพิมพ์มาดา ขี้เกียจนั่งรถคันเดียวกัน” รายนั้นพูดมากกว่าลุงแท็กซี่สองเท่า ให้ฟังนานๆ หูจะแตก นิสัยพื้นเพไม่ชอบคนแบบนั้นกลัวอดใจไม่ไหวด่าซ้ำสองจนร้องไห้ขี้มูกโป่ง ไม่แคร์อยู่แล้วหากเป็นอย่างนั้น กลัวแต่หล่อนมาฟ้องแม่เขา ถอดรองเท้าเปลี่ยนเอารองเท้าในบ้านมาสวม ก้มนานชักจะปวดหลัง สาเหตุหลักมาจากทนนั่งหลังขดหลังแข็งในชั้นประหยัดนานกว่าสิบชั่วโมง ไปจนถึงแวะเปลี่ยนเครื่องที่ฮ่องกง และเดินทางต่อมายังท่าอากาศยานปลายทาง “อ๋อ อย่างนี้นี่เอง มิน่าล่ะคุณหนูพิมถึงโทรมาฟ้องคุณนาย” “ว่าไงนะ” กระโหย่งตัวขึ้นมามองหน้าแม่บ้านตาคม “คุณหนูพิมโทรมาหาคุณนาย เพิ่งจะวางสายเมื่อกี้นี้เอง สกาวใจไม่รู้ว่าคุยเรื่องอะไรกัน เงี่ยหูฟังแล้วก็ยังไม่ได้ยิน แต่ไม่ต้องห่วงนะคะ สถานการณ์ในบ้านเรียบร้อยดีค่ะ คุณผู้ชายก็อยู่ด้วย” “คุณพ่ออยู่แล้วช่วยอะไรได้ ตามใจคุณแม่หมดทุกเรื่อง” “ถึงคุณผู้ชายจะตามใจคุณนาย แต่ท่านไม่ได้เห็นด้วยกับคุณนายหมดทุกเรื่องนะคะ เพียงแค่ท่านไม่กล้าขัดใจคุณนาย” “ต่างกันตรงไหน” นิ่วหน้าใส่สกาวใจ ที่พอเห็นว่าไม่ใช่เรื่องตัวเองก็พูดสบายใจเฉิบ โทษเขาไม่ได้ ถ้าจะโทษควรโทษผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายที่บังคับยัดเยียดให้เขาทำตามใจ พิมพ์มาดาจะไปเรียนต่อประจวบเหมาะกับเขาเดินทางไปอังกฤษทุกเดือน มัดมือชกให้พาหล่อนไปด้วย เป็นพ่อเป็นแม่ประสาอะไรยอมให้ลูกสาวเดินทางไปต่างประเทศกับผู้ชายสองต่อสอง เขายอมรับผลการกระทำที่ตามมาเสมอ เชื่อว่าครั้งนี้ก็จะถูกนินทาโดยแม่ๆ ที่เคยประเคนลูกสาวหลานสาวมาให้ดูตัว พวกท่านพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเข็ดขยาดนิสัยเขา บางคนปากร้ายหน่อยก็นินทาว่าเขาชอบเพศเดียวกันและเสพติดการซื้อบริการทางเพศ ไม่คู่ควรกับลูกสาวหลานสาวที่น่ารักของพวกท่าน ความคิดที่อยู่ในใจเขาอยากตอบกลับเหลือเกิน ลูกหลานพวกท่านนิสัยดีตายแหละ หลุดแอ๊บแบ๊วก็ไม่ต่างจากนางกรี๊ดในละครหลังข่าว “ต่างสิคะ มีคุณผู้ชายอยู่ด้วยจะได้คอยห้ามศึกระหว่างคุณรันกับคุณผู้หญิงไงคะ” หัวเราะเป็นม้า เพิ่งสังเกตสีหน้าท่าทางเจ้านายดูอิดโรยชอบกล หน้าตาก็ซีดไม่มีสี “คุณรันไม่สบายหรือเปล่าคะ” “นั่งเครื่องนาน เหนื่อยนิดหน่อย แต่ไม่ได้เป็นอะไร” “เข้าบ้านเถอะค่ะ ท่านทั้งสองรอคุณรันอยู่ที่โถงรับแขก” “รอเชือดล่ะสิ เฮ้อ เบื่อชะมัด กลับคอนโดน่าจะปลอดภัยกว่ามั้ง ไปเอากุญแจรถมาให้หน่อยสิ ของฝากเต็มกระเป๋าเลยนะจะยกให้ทั้งหมด” ไม่กล้าเข้าไปเอาเอง ขืนเข้าไปในบ้านตอนนี้อาจจะตายอย่างเขียด ท้องแตก ไส้ไหล คุณแม่เวลาโมโหปรานีลูกชายซะที่ไหน โดยเฉพาะกับเขาที่ดื้อรั้นท่านยิ่งโหดยกกำลังสอง เขาอาศัยอยู่ที่คอนโดมิเนียมเป็นหลักเพราะใกล้บริษัท ขับรถรวดเดียวถึงถ้ารถติดก็สิบนาทีถ้าถนนโล่งก็ห้านาที บ้านหลังนี้จะอยู่รอบนอก ใช้เวลาไม่ต่ำกว่ายี่สิบนาทีกว่าจะถึงที่ทำงาน “ข่าวดี กุญแจรถอยู่ในตู้เก็บกุญแจ แต่ข่าวร้าย กุญแจล็อกตู้อยู่กับคุณนาย คุณรันจะทุบตู้หรือเข้าไปขอจากคุณนายดีคะ” “โธ่เอ๊ย ไม่ได้เรื่องเลย จะเอาไหมของฝาก” “เอาสิคะ” “คุณผู้ชายยังไม่กล้าขัดใจคุณนาย สกาวจะกล้าได้ยังไง เข้าไปเถอะค่ะ คุณนายรักคุณรันจะตาย กอดนิด อ้อนหน่อยท่านก็ใจอ่อน ใช่ว่าคุณรันถูกคุณนายคาดโทษครั้งแรกซะเมื่อไหร่ คุณรันไล่ตะเพิดผู้หญิงที่ท่านหาให้คนที่เท่าไหร่แล้วคะ สิบนิ้วสกาวยังนับไม่พอ” “พูดเกินไปแล้วสกาว ถึงสิบคนที่ไหน ก็แค่...” คิดตามขยับปลายนิ้วนับจำนวนไปด้วย ข้างขวาไม่พอย้ายมาข้างซ้าย สักพักปลายเท้าก็กระดิก ถ้าพูดได้ก็คงร้องบอกพ่อๆ ใช้นิ้วพวกหนูนับด้วยก็ได้นะ โอเค ยอมรับก็ได้ว่าเขาปากหมานิสัยเสีย แต่ก็แค่กับผู้หญิงที่ผู้ใหญ่บังคับจับคู่ให้ กับผู้หญิงคนอื่นเขาสุภาพบุรุษจะตาย “บอกแล้วว่าเกินสิบ ผิดจากที่สกาวพูดเมื่อไหร่” “จุ้น” ศรันย์จ้องหน้ายิ้มๆ ของแม่บ้าน อึดใจเดียวก็สะบัดคอเมินหน้าหนีไปทางอื่น เกลียดชะมัดคนรู้มาก รู้ทัน รู้ไปหมด สกาวใจกลั้นหัวเราะท้องแข็ง ร้องถามเจ้านายหนุ่มสุดหล่อที่เตรียมจะหนีเข้าบ้าน “สกาวยกกระเป๋าไปไว้บนห้องให้นะคะ” “ไม่ต้อง มันหนัก วางไว้หน้าบันไดก็พอฉันยกขึ้นไปเอง” “เป็นห่วงสกาวด้วย คิดอะไรหรือเปล่า” “เพ้อเจ้อ” ศรันย์ไม่ได้ใช้นามสกุล ชาน ของคุณปู่ แต่ใช้ อรัญรัตนา ของคุณย่า ท่านพบรักกันขณะที่คุณปู่ในวัยหนุ่มมาขยายธุรกิจในประเทศไทย คุณย่าทำงานเป็นล่ามและเลขานุการ อยู่ด้วยกันจนท่านตั้งท้องคุณพ่อศรันย์ เรื่องไปถึงหูผู้ใหญ่ที่ฮ่องกงทางนั้นกีดกันขั้นเด็ดขาด เรียกคุณปู่กลับไปแต่งงานกับผู้หญิงที่พวกท่านหาไว้ให้ คุณย่าใจสลายที่ต้องกลายเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว ลาออกจากงานกลับไปอยู่บ้านเกิด คลอดและเลี้ยงดูลูกชายด้วยตัวคนเดียว ไม่ยอมรับเศษเงินที่พ่อชาวฮ่องกงของลูกชายขยันส่งมาให้ คุณปู่ไม่ได้ไม่ไยดีลูกเมียทางนี้ เพียงแต่ขัดใจผู้ใหญ่ไม่ได้ท่านอดทนรอจนกระทั่งได้รับช่วงสานต่อบริษัทต้นตระกูล จากนั้นก็บินมาไทยอนุมัติสร้างธุรกิจไว้มากและเรียกตัวลูกชายเข้ามาเรียนรู้งาน ช่วงวัยรุ่นคุณพ่อไม่ค่อยลงรอยกับคุณปู่ทะเลาะกันบ่อย ท่านดื้อกับคุณปู่ทำทุกอย่างที่คุณปู่ไม่ชอบเพื่อหวังเอาคืนทั้งที่คุณปู่ก็พยายามตามใจ การย้ายมาทำงานกรุงเทพทำให้คุณพ่อได้พบรักคุณแม่ที่มาเรียนตัดเย็บเสื้อผ้า หนีตามกันมาอยู่ห้องเช่า คุณพ่อทำงานตำแหน่งพนักงานโรงแรม ไม่มีเงิน อยู่ด้วยกันอย่างยากลำบาก ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย ท้องก่อนแต่งเหมือนรุ่นคุณย่า ขอยืมเงินจากคุณปู่สู่ขอคุณแม่มาตบแต่งเป็นเรื่องเป็นราว คุณปู่ใช้โอกาสนั้นปรับความเข้าใจกับลูกชาย จัดงานแต่งใหญ่โตให้ครอบครัวฝ่ายหญิงมีหน้ามีตา ต้อนรับคุณแม่ที่เป็นแค่ลูกสาวบ้านสวนมาอยู่ในครอบครัว ทั้งที่ใจจริงท่านไม่เห็นด้วย แต่ถูกคุณย่าด่าไฟแลบไม่อยากให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย ขู่ว่าถ้าบังคับให้ลูกเลิกกันจะทำอย่างนั้นอย่างนี้ คุณปู่กลัวผู้หญิงไทยตัวเล็กๆ ยอมซื้อบ้านให้ลูกชายแทนที่ห้องเช่า โรงแรมก็ยกให้และเปลี่ยนชื่อเป็นแกรนด์อรัญ ตระกูลอรัญรัตนาจากไม่มีเงินก็ร่ำรวยขึ้นมาด้วยการสนับสนุนจากคุณปู่ หลายปีให้หลังคุณย่าเสียชีวิตจากโรคประจำตัว ส่วนคุณปู่ยังแข็งแรงมักจะบินไปกลับฮ่องกงไทยมาเยี่ยมลูกหลาน เว้นช่วงศรันย์โตเป็นหนุ่มท่านเดินทางน้อยลงเนื่องจากอายุมากขึ้น แต่ก็ยังไม่ทิ้งลายความเจ้าเล่ห์เพทุบาย ยกหุ้นส่วนหนึ่งในบริษัทชานคอร์เปอร์เรชั่น เพื่อจูงใจให้เขาในฐานะหลานชายคนโตไปเยี่ยมท่านที่ฮ่องกงเป็นประจำทุกเดือนและเขาตกลงรับข้อเสนอ เจ้าของส่วนสูงหนึ่งร้อยแปดสิบแปดเซนติเมตรมาถึงบริเวณโถงรับแขกกลางคฤหาสน์ ได้ยินเสียงแหบแห้งของพิธีกรฝีปากกล้าผ่านทางทีวี เล่าข่าวคาวๆ ฉาวๆ ของนักแสดงสาวที่เขาเคยรู้จัก ลังเลว่าใช้โอกาสที่คุณพ่อคุณแม่สนใจข่าวบันเทิงหนีขึ้นห้องไปขังตัวอยู่ในนั้นดีหรือเปล่า หรือจะใจกล้าไปรับลูกระเบิดอย่างลูกผู้ชาย แต่แม่น่ากลัว ขอเป็นผู้ฉิงสักวันก็แล้วกัน ศรันย์ชักเท้าข้างหนึ่งกลับมาด้านหลัง ย่องเท้าเบาๆ ถอยห่างออกมาทีละเล็กทีละน้อยไม่ให้เสียงฝีเท้าระแคะระคายหูบุพการี ทว่ากลับมีเสียงกึกๆ ดังมาจากด้านหลัง คล้ายท่อนไม้ครูดมาตามกระเบื้อง หน้าเปลี่ยนเป็นอีกสี ยืดหลังให้ตั้งตรง เอียงหน้ากลับไปด้านหลังช้าและกระตุกในบางครั้ง สบสายตากับพลังงานลี้ลับบางอย่างที่เข้าสิงในร่างมารดา ไม่อย่างนั้นตาท่านก็คงไม่แดงก่ำจ้องจะกินเลือดกินเนื้อ ตาคมเลื่อนมองมือท่านที่กำรอบด้ามไม้กวาด “หึๆ” ตอกย้ำความน่ากลัวด้วยเสียงทุ้มต่ำ “กลับมาแล้วเหรอจ๊ะ เจ้าควายน้อยของแม่” ต้อนรับทายาทเสียงต่ำทำสายตาสยดสยอง ตามเจ้าควายน้อยจอมขวิดที่ก้าวถอย “กลับมาแล้วครับ” “เคยบอกแล้วใช่ไหม ว่าหนูพิมเป็นลูกสาวเพื่อนสนิทแม่” อดีตผู้เข้าประกวดนางงามสมัยสามสิบปีก่อน พูดจาอ่อนโยนหวานประหนึ่งลูกชายเป็นกรรมการ ต่อมาปรับอารมณ์ง้างไม้กวาดขึ้น “ทำไมแกแปลงร่างเป็นควายไล่ขวิดน้องพิมฮะ! เขาสองข้างของแก ฉันถอนออกให้หมดแล้วไม่ใช่เหรอ ทำไมมันงอกออกมาเร็วขนาดนี้ ไอ้ลูกบ้า ใครสั่งใครสอนให้แกปากหมากับผู้หญิง! ทำฉันขายหน้า!” “แม่ อย่า! ผมไม่ใช่เด็กจะมาตีได้ยังไง” ร้องขอชีวิต กระโดดหลบไม้กวาดคล่องแคล่ว ฟาดมาทีสองทีหลบได้หมดเก๊กหน้าหล่อกวนประสาท ใส่เกียร์หมาวิ่งเข้าไปทิ้งตัวนั่งข้างคุณพ่อบนโซฟา “เอาหัวแกมาให้ฉันเคาะกระบาลเดี๋ยวนี้เลยนะ!” จะฟาดอีกทีหาช่องว่างไม่เจอก็ทิ้งไม้กวาดลงพื้น หวดมือเข้าที่ต้นขาลูกชาย “โอ๊ย! แม่ เจ็บ พอได้แล้ว คุณพ่อช่วยผมด้วย” “คุณหยุดเลยนะคะ! อย่าแม้แต่จะคิดช่วยเหลือลูก ครั้งนี้เจ้ารันทำเกินไป มีอย่างที่ไหนสาดแชมเปญใส่หนูพิม มารยาททราม!” “โอ๊ย! ผมไม่ได้สาดใส่น้องนะแม่! น้องน่ารำคาญเอาแก้วมาจ่อปากป้อน ผมไม่ดื่มก็บังคับ ผมเลยปัดมือน้องออกก็เท่านั้น!” “แล้วทำไมไม่บอกน้องดีๆ ว่าไม่อยากดื่ม!” “บอกแล้ว บอกจนปากเปียกน้องก็ไม่ยอมฟัง” “ถึงอย่างนั้นก็ไม่ควรทำให้น้องตกใจ แม่เขาเป็นเพื่อนฉันนะ ฉันจะเอาหน้าจากไหนไปเจอเขาฮะ ไอ้ลูกชายตัวแสบ!” เจ้าชิปโป แมวน้อยนอนหลับสบายบนตักคุณพ่อได้รับผลกระทบจากแรงสั่นสะเทือน ขยับหัวขึ้นมาร้องเหมียวๆ ศรันย์พลิกตัวกลับมาได้อุ้มแมวขึ้นมาเป็นเกราะกำบัง ได้ผล แม่ชะงัก จะฟาดใส่ส่วนไหนเขาก็จับแมวหน้าง่วงไปเป็นด่านหน้า “วางชิปโปลงเดี๋ยวนี้!” แยกเขี้ยวใส่ลูกชาย “ไม่วาง ผมลูกชายแม่นะ นี่แค่แมวเก็บมาเลี้ยง แม่ตีผม แต่ไม่กล้าตีแมว แม่ใจร้าย!” หน้าบึ้ง เรียกร้องสิทธิ์ความเป็นลูก คุณนายนฤมลร้อง เฮอะ ในลำคอ “ฉันเจอหน้าแมวบ่อยกว่าหน้าแกอีก ระวังเถอะดื้อมากๆ ฉันจะยกสมบัติทั้งหมดให้ชิปโป!” “ไม่ใช่ว่ายกให้ไปแล้วเหรอ” “ว่าไงนะ!” สองแม่ลูกจ้องตากันมีประกายไฟออกมาต่อสู้ “นั่งพักดีกว่านะ โกรธมากๆ เสียสุขภาพ” คุณเขมราชประเมินสถานการณ์มองหน้างอนอยากให้คนง้อของลูกชาย สลับกับหน้าบึ้งตึงจ้องจะกินเลือดเนื้อของภรรยา เล็งเห็นว่าจังหวะนี้เหมาะสมในการจับแยก ยืนขึ้นคว้าเอวภรรยากลับมานั่งคนละฝั่งจะได้ไม่ตีกันรอบสอง “คุณก็ดูลูกสิคะ มันน่าเขียนพินัยกรรมยกมรดกให้แมว!” “คุณรู้อยู่แล้วว่าผลลัพธ์จะออกมาแบบไหน แต่อยากลองเสี่ยงก็ต้องยอมรับมันให้ได้ ไว้เราซื้อของติดมือไปให้หนูพิมนะ” “คุณก็เป็นซะอย่างนี้ ให้ท้ายตลอดลูกถึงได้เอาแต่ใจ” ศรันย์เบะปาก หมั่นไส้ในความมุ้งมิ้งไม่รู้จักแก่ของพวกท่าน “อะไร ทำปากทำไม!” “ทำอะไร ยังไม่ได้ทำปากเลยสักครั้ง แม่ใจร้าย ใส่ร้ายผมตามเคย” เสียงสูง ไม่ยอมรับว่าตัวเองกลอกตาเบะปากใส่ตามที่ท่านถาม “เอาแมวแม่คืนไป ผมง่วงนอน มีอะไรค่อยคุยกันพรุ่งนี้” จับสองขาหน้ายกขึ้นข้ามฝั่งไปวางบนตักท่านที่สวมชุดพร้อมนอน “เบาๆ สิ น้องเจ็บ! แกนี่มันไม่อ่อนโยน!” แยกเขี้ยวใส่ลูกเก็บมาเลี้ยง ก่อนจะโอ๋ลูกชายที่แท้จริง ประชดหรอก หมั่นไส้ไอ้เจ้าแมวผียื่นมือไปตบหัวมันหนึ่งที ถูกคุณนายนฤมลพุ่งมือกลับมาตีแขนกลับอย่างเร็ว ใช่สิ! เขามันลูกเก็บมาเลี้ยง ไม่ใช่ลูกที่แม่คลอดมาเหมือนไอ้ชิปโป! “ดึกแล้ว ไว้ค่อยทะเลาะกันต่อพรุ่งนี้นะคุณ รัน ไปนอน” มือแนบสนิทไปกับต้นขาแต่แอบกระดิกนิ้วเปิดทางให้ลูกชาย ช่วยได้มากสุดเท่านี้ เกรงใจภรรยากลัวจะถูกงอนหาว่าเข้าข้างลูก “เอ๊ะ คุณคะ เพิ่งสี่ทุ่มกว่าเองจะรีบไล่ลูกไปนอนทำไม อย่าเพิ่งไปเชียวนะ อยู่คุยกับแม่ก่อน แม่จะถามเรื่องน้องพิม แล้วก็อยากรู้ว่าทำไมถึงไปอังกฤษบ่อยนัก ไปทุกเดือน แกซ่อนอะไรไว้ที่นั่นฮะ!” “ลูกไปทำงาน ตอนนี้โรงเรียนสร้างเสร็จแล้ว” “มันเป็นหัวหน้าคนงานหรือไงคุณ ถึงต้องไปควบคุมการก่อสร้างทุกเดือน อังกฤษไม่ใช่เมืองนนท์นะใครเขาไปทุกเดือน” “ก็จริงของคุณ รัน... อย่าโหมงานนักเลยนะลูก แม่เขาบ่นเพราะห่วง พ่อก็ห่วง ไม่ได้เห็นด้วยกับธุรกิจนี้แต่แรกอยู่แล้ว” “โอเคครับ เห็นแก่คุณพ่อ ผมจะเดินทางให้น้อยลง” “อะไรกัน ฉันพูดตั้งนานไม่ฟัง แต่พอพ่อพูดคำเดียวแกฟัง!” “แม่บ่นเก่งนี่นา ผมเหนื่อย ขอไปนอนก่อนนะครับ” “ไม่ได้ หมดเรื่องโรงเรียนยังเหลือเรื่องน้องพิม น้องบอกว่าแกทิ้งน้องไปหาผู้หญิงคนหนึ่งตอนอยู่สนามบิน ผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร! ชื่ออะไร ลูกเต้าเหล่าใคร แม่รู้จักหรือเปล่า บอกมาให้หมดเลยนะ!” “อะไรนะ ไม่ได้ยินเลย สงสัยสัญญาณโทรศัพท์หลุด” “เอ๊ะ แล้วทำไมไม่ตอบคำถาม กลับมาเดี๋ยวนี้เลยนะ!” “อย่าเครียดน่าคุณ มีอะไรเดี๋ยวลูกก็เล่าให้เราฟังเอง” คุณเขมราชแตะมือบนต้นแขนภรรยา กลัวจะโกรธลูกชายจนส่งผลให้ความดันโลหิตสูงซึ่งจะตามมาด้วยโรคภัยไข้เจ็บมากมาย “ไม่รอจนแก่ติดเตียงเหรอคะกว่าลูกจะยอมเล่าให้ฟัง ไม่รู้แหละ ต้องรู้ให้ได้ว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร คุณไม่เอะใจบ้างเหรอที่ลูกวิ่งตาม ทั้งที่ลูกไม่เคยแคร์ผู้หญิงคนไหน แต่กับคนนี้ทำไมตารันถึงสนใจผิดปกติ” “จริงของคุณ รันปฏิเสธทุกคนที่เราแนะนำให้รู้จัก” “เพราะอย่างนี้เราถึงต้องตามสืบให้รู้ที่มาที่ไป” “แล้วเราจะเริ่มต้นสืบยังไง ลูกเราปากแข็งจะตาย” “โธ่คุณ เราก็เริ่มสืบจากคนที่พูดเรื่องนี้ให้ฟังยังไงล่ะคะ บางทีผู้หญิงคนนั้นอาจเป็นจุดอ่อนจุดเดียวที่คนแข็งกระด้างอย่างเจ้ารันมี และบางทีเธออาจจะช่วยให้เราสมหวังเรื่องหลานก็ได้นะคะ” สบตาสามีที่ตื่นเต้นไม่แพ้กันเมื่อพูดถึงสิ่งมีชีวิตเล็กๆ ที่แสนจะน่ารัก จะหลานชายหรือหลานสาวก็มาเถอะ คุณปู่คุณย่าจะเลี้ยงดูหนูให้ดี สารกระตุ้นความสุขแผ่ซ่านทั่วร่างกายผู้ใหญ่ทั้งสอง เห็นทีว่าพรุ่งนี้พวกท่านต้องไปเยี่ยมพิมพ์มาดาสักหน่อยแล้ว
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD