“เรียกรถมาทำไม คุยกันว่าจะออกสัปดาห์หน้าไม่ใช่เหรอ!” ลุงสมศักดิ์ทะเลาะกับป้าชิดชมเสียงดังมาถึงตำแหน่งที่พิยดายืน
หล่อนเข้ามาในคฤหาสน์อัศวเมฆินทร์ผ่านประตูหลังฝั่งติดกับห้องครัว ตั้งใจจะไปกราบอดีตเจ้าของบ้านตามคำสั่งแกมบังคับของยาย บานประตูห้องทำงานกึ่งห้องสมุดของเจ้าบ้านอ้าออกกว้าง เสียงลุงกับป้าดังมาจากในนั้น
“วันนี้มันวันที่เท่าไหร่ฮะไอ้แก่! เราคุยกันตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว ย้ายออกสัปดาห์นี้ก็ถูกแล้วไม่ใช่เหรอ แกจะมาโวยวายใส่ฉันทำไม!”
“แต่แกไม่น่าจะรีบมากขนาดนี้! น้องพิมเพิ่งกลับมาถึงบ้านเมื่อคืนไม่ทันข้ามวัน ไม่มีเวลาเตรียมตัวเตรียมใจมองหาบ้านใหม่ แกก็จะให้ฉันทิ้งหลานกลับบ้าน จะไม่ใจร้ายกับหลานไปหน่อยเหรอ!”
“หลานใคร! พูดให้มันดีๆ เด็กคนนั้นไม่ใช่หลานฉัน แค่ทำงานด้วยกัน อยู่บ้านหลังเดียวกัน ทำไมต้องนับญาติ หรือแกก็เหมือนแม่ของแกที่อยากพานังพัดกับนังพิมกลับไปอยู่ด้วยกัน แกจะบ้าเหรอ จะพาพวกนั้นไปเป็นภาระทำไม ถ้าคุณท่านของแกไม่มีที่ไปอยากตามไปด้วยอีกคน ฉันไม่ต้องรับใช้เขาไปจนตายหรือไง เงินเดือนก็ใช่ว่าจะได้ครบทุกเดือน อดๆ อยากๆ แกไม่สมเพชตัวเองบ้างเหรอ!”
หน้าห้องระเกะระกะไปด้วยสมุดหนังสือหลายอย่างคัดแยกไว้ให้ห้องสมุดประชาชนเข้ามารับ บางส่วนที่เก่าเกินจะบริจาคถูกมัดด้วยเชือกเส้นเล็กเตรียมนำไปทิ้งขยะหรือไม่ก็ขายของเก่า พิยดาไม่ได้มีนิสัยสอดรู้สอดเห็นโดยสันดาน แต่หล่อนไม่สามารถหักห้ามใจได้ ขยับฝีเท้าตามเสียงทะเลาะกันมาซ่อนบริเวณทางเข้า สอดสายตาส่องเข้าไปภายในแอบมองลุงกับป้าขึ้นเสียงทะเลาะกันจริงจัง
“แกพูดเกินไป! เมื่อก่อนแกกินอิ่มทุกมื้อไม่ใช่เหรอ! อย่ามาบ่นไร้สาระไม่ดูเวลาคนมีคนจน! น้องพิมไม่ไปอยู่กับเราหรอก แกอย่าคิดไปเอง! เด็กมีอนาคต ต้องเลือกทำงานหาเงินในกรุงเทพอยู่แล้ว”
“น้ำหน้าอย่างนั้นเหรอจะหางานดีๆ ทำได้! วุฒิปริญญาตรีมีดาษดื่นทำไมบริษัทจะต้องจ้างคนไม่มีประสบการณ์ทำงานอย่างมัน ถ้ามันมีสมองคิดได้คงไม่ฝันสูง เอาเงินเก็บทั้งชีวิตไปทิ้งกับไอ้ปริญญาโทบ้าๆ ที่สุดท้ายแล้วเป็นยังไง เรียนไม่จบ ซมซานกลับมาตายรัง!”
“พูดให้มันดีๆ นะยายชม! เด็กกลับมาเพราะบ้านถูกยึด ห่วงแม่ ห่วงเจ้านายจะไม่มีที่อยู่ แกควรจะชื่นชม ไม่ใช่ด่าลับหลัง!”
“แตะต้องไม่ได้ ลูกเรา แกห่วงเท่าลูกนังพัดหรือเปล่า! อย่าคิดว่าฉันไม่รู้นะ ว่าแกคิดยังไงกับสองแม่ลูกคู่นั้น ไอ้แก่สมศักดิ์!”
“ฉันปรารถนาดีกับทั้งสองคน ไม่เหมือนแกที่ปรารถนาร้าย!”
“ฉันไม่เคยมีดีในสายตาแกอยู่แล้ว เลิกกันเลยไหมล่ะ!”
“พอ! ฉันไม่อยากทะเลาะกับแก ขอร้องล่ะ ขอเวลาอีกนิด อย่าเพิ่งย้ายออกตอนนี้ อยู่ช่วยหลานหาบ้านใหม่ก่อน”
“ถามฉันหรือยัง! ว่าฉันอยากช่วยย้ายของหรือเปล่า! แค่ทำงานงกๆ อยู่ทุกวันนี้หลังฉันยังแอ่นไม่พออีกเหรอ เพื่อนฝูงมีเยอะแยะก็ไปขอพวกเขามาช่วยย้ายของสิ หรือไม่ก็ไปจ้างคนมาช่วย อย่ามาอ้างว่าไม่มีเงิน! ถ้าไม่มี แล้วมันไปอยู่เมืองนอกเมืองนาเป็นปีได้ยังไง! หรือสบายจนเคยตัวกลับมาบ้านเลยทำงานไม่เป็น ดูมันซิ มันนอนตื่นสายโด่ง! ปล่อยให้ฉันทำงานหนักยกของอยู่คนเดียว ต้องมาเก็บเสื้อผ้า ของใช้ หนังสือบ้าๆ พวกนี้ แทนที่ฉันจะได้กลับไปนั่งกินนอนกินอยู่กับลูกที่บ้านเกิด! ฉันเหลืออดกับสภาพนี้เต็มที แล้วฉันก็จะไม่อดทนอีกต่อไป ฉันจะย้ายกลับบ้านวันนี้ ถ้าแกกับแม่ของแกไม่ไปด้วยก็นั่งรถตามไปแล้วกัน!”
ขว้างหนังสือลงบนพื้นเฉียดปลายเท้าสามีคืบเดียว หน้าตายับย่นด้วยความโกรธกระทืบเท้าปังๆ สมศักดิ์จะตามไปคุยกับภรรยาให้เข้าใจ แต่พบพิยดาก่อน เขาชะลอความเร็วมายืนต่อหน้าเด็กสาว ที่เห็นหน้าค่าตามาตั้งแต่ยังเล็กจนกระทั่งเติบโตเป็นสาว
“น้องพิม มาอยู่ตรงนี้นานแล้วเหรอลูก ทำไมไม่ส่งเสียงให้ลุงได้ยิน” ใบหน้าเห่อร้อน อายเมื่อรู้ว่าเด็กสาวได้ยินคำพูดทั้งหมด
“เพิ่งมาถึงค่ะ ลุงอย่าคิดมากเลยนะคะ พิมคุยกับยายเข้าใจแล้ว พิมจะหาบ้านเช่าหลังใหม่ให้เร็วที่สุด และรับคุณท่านไปอยู่ด้วย ลุงไม่ต้องเป็นห่วงทางนี้ พายายกลับบ้านพร้อมป้าเถอะนะคะ”
รอยยิ้มสดใสมาจากใจไม่ได้เสแสร้งทำเพื่อให้ลุงสบายใจ บ้านถูกยึดไปแล้ว จะรั้งให้ทุกคนอยู่ด้วยกันเหมือนเดิมก็คงเป็นไปไม่ได้ คนที่เหลือทำอะไรไม่ได้ ต้องปรับตัวปรับเปลี่ยนการใช้ชีวิต ประคับประคองตัวเองให้อยู่รอดในสภาวะยากลำบาก ป้าชิดชมเลือกถูกแล้วที่กลับบ้านเกิด กลับไปอาจจะไม่ได้มีงานมีเงินรายเดือนใช้ตายตัวอย่างตอนที่ทำงานในบ้านหลังนี้ แต่มีข้อดีได้อยู่ใกล้ลูกหลานมีความสุขไปตามอัตภาพ
“มันไม่ง่ายอย่างนั้น คุณท่านเมตตาครอบครัวลุงมานาน ถ้าไม่ได้ท่าน ลุงก็คงไม่มีงาน ไม่มีเงินส่งลูกเรียน ลุงไม่กล้าสู้หน้าท่าน ไม่กล้าบอกท่านว่าลุงคิดจะทิ้งท่านพาครอบครัวกลับบ้าน ท่านไม่เหลือใคร ญาติไม่มี ลูกไม่มาหา สุขภาพไม่ค่อยดี เข้าออกโรงพยาบาลเป็นว่าเล่น ถ้าลุงไม่อยู่ดูแลเกิดเจ็บป่วยขึ้นมาจะทำยังไง”
ละอายใจจนไม่กล้าสู้หน้าเด็กสาว เพราะเหมือนกับว่าเขากำลังจะทิ้งคนที่ใจดีมากๆ ในช่วงที่ท่านลำบาก ความรู้สึกนี้จะติดอยู่ในใจไปตลอดชีวิตจนหาความสุขไม่เจอ สมศักดิ์ลำบากใจ แต่เด็กสาวสัมผัสความรู้สึกไม่ได้ หล่อนยังคงยิ้ม ก้าวเข้ามาแตะมือบนแขนลีบเล็กแบ่งรับความเจ็บปวดจากการกอดครั้งเดียว
“สำเร็จ” พูดขึ้นหลังจากคลายอ้อมกอด เลื่อนสายตาอ่อนโยนชื้นน้ำขึ้นประสานดวงตาอ่อนไหวของชายวัยกลางคน
“เมื่อกี้เรียกว่าการถ่ายโอนความรับผิดชอบค่ะ พิมรับช่วงดูแลคุณท่านต่อจากลุงมาแล้ว เพราะฉะนั้นต่อจากนี้ลุงไม่ต้องคิด ไม่ต้องทำอะไรแล้วนะคะ รีบง้อป้า เก็บของ แล้วกลับบ้านเถอะค่ะ”
“ลุงขอโทษ ลุงขอโทษนะน้องพิม” จากที่ยิ้มๆ ได้ยินดังนั้น ดวงตาหล่อนพร่ามัวจะร้องไห้ตาม
“ขอโทษทำไม ลุงไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย อย่าห่วงเลยนะคะ พิมอยู่ได้ พิมจะดูแลแม่ ดูแลคุณท่านให้ดีเท่าที่พิมจะทำได้ อยู่ตรงนี้ต่อไปพิมต้องร้องไห้ขี้มูกโป่งแน่ๆ คุณท่านน่าจะตื่นแล้วพิมไปหาท่านดีกว่า”
“ให้ลุงไปเป็นเพื่อนไหม จะได้ยกสำรับอาหารเช้าเข้าไปให้ท่าน”
“ไม่เป็นไรค่ะ ลุงไปตามป้าเถอะ พิมยกเข้าไปเองได้ค่ะ”
เลี่ยงออกมาก่อนจะร้องไห้ เป่าปากไล่ลมร้อนออกจากร่างกายปลุกใจให้ฮึดสู้ ในห้องครัวโซนด้านหลังคฤหาสน์มีแค่ข้าวเปล่าๆ ไม่มีเนื้อ ไข่ หรือผักสักชิ้น ด้วยความสงสัยพิยดาเปิดดูอาหารกักตุนในตู้เย็นพบเพียงความว่างเปล่า นึกขึ้นได้ว่าหลังบ้านมีแปลงผักเล็กๆ ของแม่ ออกไปตัดตั้งใจจะนำมาผัดใส่น้ำมันหอย แม่รดน้ำแปลงผักบริเวณนั้นเข้ามาช่วยเก็บ พิยดายิ้มเศร้า ใจหายไม่น้อยที่เร็วๆ นี้ต้องพาแม่ย้ายออกไปอยู่ที่อื่น ทั้งที่แม่เคยชินกับการอาศัยที่นี่มากว่ายี่สิบปี
จะทุกข์หรือสุขรอยยิ้มไม่เลือนหายไปจากใบหน้าสวย พิยดาลงมือทำเมนูผัดผักคล่องแคล่ว จากนั้นยกถาดอาหารออกจากครัวมาตามทางเดิน บนพื้นมีฝุ่นเยอะต้องใส่รองเท้าในบ้านถึงเดินได้ ประตู หน้าต่างในคฤหาสน์ปิดสนิททุกบาน ไม่เปิดรับอากาศภายนอกส่งผลให้มีกลิ่นเหม็นอับ
หญิงสาวขยับจมูกยับยั้งไม่ให้จามไรฝุ่นสกปรก เร่งฝีเท้าเร็วขึ้นสองเท่าไปหยุดยืนบริเวณหน้าประตูไม้ เคาะประตูขออนุญาตเว้นช่วงนานมาก ทว่ากลับไม่มีเสียงตอบรับจากอดีตเจ้าของคฤหาสน์ ถาดอาหารค่อนข้างหนัก มีน้ำผักผลไม้คั้นสดติดมาด้วย ค่อนข้างเมื่อยมือ ถือนานกว่านี้ไม่ไหวตัดสินใจเปิดประตูโดยไม่รอการตอบกลับ
แต่แล้วพิยดาต้องยกเท้าข้างหนึ่งกลับออกไปนอกประตู ตกใจสภาพเละเทะบนพื้นในห้องนอน มีหมอน ผ้าห่ม ข้าวของเครื่องใช้ชิ้นเล็กกองเกลื่อน ตกใจสภาพห้องไม่เท่าไหร่ แต่กลิ่นปัสสาวะรดที่นอนนี่สิ รุนแรงจนจาม
เสียงจามของหล่อนค่อนข้างเบา แต่แค่นั้นก็ทำให้คนที่อยู่ในห้องนอนสามารถแยกแยะได้ว่าบุคคลที่เข้ามาหาตนเองเป็นใคร
ไกรสรเลื่อนดวงตาแห้งแล้งปราศจากความสุขมองผ่านชั้นวางโทรทัศน์ปลายเตียงไปทางประตู เพียงแค่ได้เห็นเด็กสาวจากมุมไกลน้ำตาเขาตื้นขอบ ข่มอารมณ์เจ็บปวดไว้ลึกสุดใจ ขยับแผ่นหลังไปทางข้างเตียง คว้าชายผ้าห่มมาคลุมท่อนล่าง ปิดบังท่อนขาลีบแบนสองข้างที่ใช้งานไม่ได้
ชายสูงวัยบนเตียงสกปรกทำทีไม่สนใจเด็กสาวที่วิ่งวุ่นเปิดหน้าต่างรับลม สายลมอ่อนๆ พัดเข้ามาลดกลิ่นเหม็นอับให้ผู้อาศัยหายใจโล่งมากขึ้น แต่ไกรสรที่มีความประสงค์จะตรอมใจตายไม่ปรารถนาอย่างนั้น เขาต้องการห้องมืดและเหม็นเหมือนเดิมปิดเปลือกตาลงประชด
“หิวหรือยังคะ พิมเก็บผักของแม่มาผัด รับรองว่าอร่อย”
“ออกไป ฉันไม่อยากเห็นหน้าแก”
“อะไรกันคะ เจอกันครั้งแรกในรอบปีไม่ทันไรก็ไล่”
“ฉันบอกให้ออกไป แกไม่ได้ยินที่ฉันสั่งหรือไง!” ดวงตาชายแก่ขยายออกกว้าง อาฆาตมาดร้ายใส่คนที่เตรียมตักข้าวป้อน
“ไม่เปลี่ยนไปเลยนะคะ ทั้งที่ทุกอย่างเปลี่ยนไปหมดแล้ว”
“แกกล้าเยาะเย้ยคนที่ชุบเลี้ยงได้ยังไง! ไปให้พ้นหน้าฉัน เอาอาหารออกไปด้วย ฉันยอมหิวจนไส้ขาดตายดีกว่ากินอาหารฝีมือแก”
วู่วามใช้หลังมือปัดแก้วน้ำล้มลงบนถ้วยข้าวต้ม ไม่หยุดแค่นั้น ผลักมือ ผลักแขน ไล่เด็กสาวไม่ยอมให้หล่อนนั่งบนเตียงเดียวกัน
“อย่ามาบีบน้ำตาเรียกร้องความสงสารจากฉัน! ฉันไม่เคยให้ค่าให้ราคากับน้ำตาแก! ไสหัวไปให้พ้น! กลับไปเก็บเสื้อผ้าพาแม่แกย้ายออกไปอยู่ที่อื่น ฉันไล่พวกแกสองคนออกจากบ้านนับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป!”
หยิบจับอะไรได้ชายพิการขว้างลงพื้นทั้งหมด ไม่แคร์แม้บางชิ้นจะกระทบร่างกายเด็กสาว หล่อนร้องไห้จนขอบตาแดงช้ำ ตัวสั่นเทิ้มทรงตัวยืนไม่ไหว เจ้าของห้องนอนยังใจร้ายขว้างของใส่ไม่ขาดมือ
“ต้องให้ฉันออกปากไล่กี่ครั้งแกถึงจะไป! กลับมาทำไม ฉันอุตส่าห์ใช้เงินเก็บก้อนสุดท้ายส่งแกเรียนตามที่แกฝัน แต่แกกลับทรยศความตั้งใจของฉันด้วยการมายืนทำหน้าโง่ตรงนี้! ฉันไม่ได้ขอให้แกกลับมา เสนอหน้ากลับมาทำไม ฉันจะเป็นจะตายไม่เกี่ยวอะไรกับแก!”
ไกรสรตะเบ็งเสียงและร้องไห้ในเวลาเดียวกัน ไม่ต้องการให้เด็กที่ตัวเองโยนเศษข้าวเศษน้ำเลี้ยงดูประหนึ่งสัตว์มาห่วงใย แต่ไล่อย่างไรมันก็ไม่ไป โยนของใส่มันก็ยังอยู่ ท่านปวดร้าวลึกเข้ามาในหัวใจ เสียใจสุดซึ้งที่ตลอดเวลาที่ผ่านมาไม่เคยยอมรับในตัวเด็กคนนี้ ทั้งที่รู้ตั้งแต่วินาทีแรกที่พัดชาตั้งครรภ์ว่าหล่อนคือเลือดเนื้อเชื้อไข
“พอได้แล้ว เลิกด่าทอ เลิกขับไล่ไสส่งแสร้งทำว่าเกลียดพิมสักที! จะให้พิมเรียนจบสูง แต่กลับมาเจอบ้านว่างเปล่าที่ถูกยึดไปแล้ว และไม่รู้ว่าแม่กับทุกคนหายไปอยู่ไหนอย่างนั้นเหรอ พิมจะทำได้ยังไง”
“ไม่ได้เสแสร้ง! ฉันเกลียดแกจริงๆ แกมันอ่อนแอ ไม่สู้คน ไม่มีความทะเยอทะยาน แกไม่มีอะไรเหมือนฉันเลยแม้แต่อย่างเดียว!”
“คุณเกลียดพิมเพราะเหตุผลแค่นี้เองเหรอ คุณอยากให้พิมเข้มแข็งไปรังแกคนที่อ่อนแอกว่าเหมือนพี่เมศ อยากให้พิมขี้โมโห ขี้โวยวาย ทำได้ทุกอย่างเพื่อให้คนอื่นทำตามใจตัวเองเหมือนคุณเดือน อยากให้พิมนิสัยเหมือนลูกๆ ที่ทอดทิ้งคุณอย่างนั้นเหรอ”
จมูกหญิงสาวตันหายใจไม่สะดวก คุกเข่าลงบนพื้นคลานเข้าไปใกล้เตียงวางมือลูบผ้าปูที่นอนสกปรกไปถึงมือชายชรา หล่อนไม่กล้าจับ กลัวถูกสะบัดทิ้งหรือขับไล่ซ้ำสอง เคยปฏิเสธตัวเองมาทั้งชีวิต ไม่ต้องการความรักความอบอุ่นจากชายคนนี้ แต่ใครเล่าจะรู้ หล่อนโหยหาความรักและปรารถนาให้ท่านยอมรับตัวตน
ปลายปีนี้พิยดาอายุครบยี่สิบห้าปีบริบูรณ์ อาจสายเกินไปในการเปลี่ยนความคิดให้รอบข้างให้มองหล่อนเป็นลูกสาวท่าน ทดแทนภาพลักษณ์เด็กรับใช้เนื้อตัวสกปรกที่ทำงานแลกข้าวแลกที่พักพิง ใครจะคิดอย่างไร จะมองแบบไหน พิยดาไม่สนใจ ขออย่างเดียว ให้ท่านเปิดใจยอมรับ เพียงแค่นี้ปมด้อยทั้งหมดที่เก็บกดมาแต่แรกเกิดจะหายไป
“แกสิ ควรเป็นคนแรกที่ทิ้งฉัน ไม่ใช่พวกมัน... ฉันเคยให้ของขวัญแกสักชิ้นหรือเปล่า เคยให้เงินแกไปซื้อเสื้อผ้าดีๆ ใส่หรือเปล่า ฉันไม่เคยให้อะไรแกเลย ต่างจากพวกมัน มีเงินเท่าไหร่ฉันให้มันไปหมด ฉันเลี้ยงพวกมันด้วยเงิน พอไม่มีเงินพวกมันถึงได้หนีหน้าหายตากันไปหมด”
ขยับตัวแต่ละครั้งร่างกายไกรสรส่งกลิ่นเหม็น เขาฝืนสังขารเอียงท่อนบนมาทางพิยดาสำเร็จ เกลี่ยเช็ดหยดน้ำตาเม็ดใหญ่ออกจากแก้มนุ่ม เจ็บแปลบภายในอก เมื่อนึกถึงวันเก่าๆ ที่เคยสะบัดข้อมือตบวงหน้านี้
“ฉันไม่มีบ้าน ไม่มีเงิน ไม่มีความหวังในการมีชีวิต ฉันเกิดที่นี่ จะตายที่นี่ แกไปเถอะ พาแม่แกไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ ฉันทำร้ายพวกแกมานาน ถึงเวลาที่ฉันควรปล่อยให้พวกแกมีอิสระ แกเป็นคนดี ดี... จนฉันละอายที่เลือดครึ่งหนึ่งในตัวแกมาจากคนเลวๆ อย่างฉัน”
“พิมแค่อยากได้ความรักจากพ่อบ้าง สักครั้งก็ยังดี พิมไม่ได้รังเกียจถ้าคุณจะมาอยู่ด้วย ลุงกับป้าจะพายายกลับบ้าน พิมเหลือแค่คุณกับแม่ เราจะหาบ้านเช่าสักหลัง แล้วเริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยกัน”
มีเพียงน้ำตาเท่านั้นสามารถบรรยายความรู้สึกชายชราได้ ไกรสรไม่เคยดีใจและเสียใจมากเท่าวันนี้มาก่อน เขาตะโกนร้องไห้เสียงดังเป็นห่าฝนดึงตัวลูกสาวนอกสายตาเข้ามากอดบนอก ผสานเสียงร้องไห้ดังก้องห้องนอนเหม็นอับ
ความเครียดก่อตัวภายในร่างกายบีบรัดหัวใจชายชราจนเจ็บปวด เสียงร้องไห้หยุดไปชั่วขณะทดแทนด้วยเสียงครวญคราง อดีตนักธุรกิจใหญ่เลื่อนมือสั่นระริกมาบีบหน้าอกข้างซ้าย เขายังไม่อยากตาย ความคิดนี้ผุดเข้ามาในหัว เอียงใบหน้าบิดเบี้ยวไปทางขวดยาที่วางอยู่ไม่ไกลเพื่อชี้นำลูกสาวให้เอามาป้อนตน