“พิม! เดินระวังหน่อยสิ รถเข็นจะชนคนอื่น” แพทริเซีย สาวลูกครึ่งไทย-อังกฤษพยุงรถเข็นไม่ให้เอียงไปชนนักเดินทางคนอื่น ในโถงกลางท่าอากาศยานลอนดอนฮีทโธรว์ประเทศอังกฤษ
“โทษที มองหาห้องน้ำเพลินไปหน่อย”
เจ้าของชื่อดึงตัวเองจากอดีตกลับสู่ปัจจุบัน ปรับสีหน้าแววตาจากเศร้าหมองกลับมาเป็นปกติ ดึงรถเข็นกระเป๋ากลับมาอยู่ในการควบคุมของตัวเองตามเดิม จะเข็นต่อไปทางเคาน์เตอร์เช็กอิน แต่แพทริเซียดึงแขนไว้เหล่ตามองไปอีกทาง
“มองหาห้องน้ำหรือมองผู้ชายกันแน่ ร้ายไม่เบานะคุณเพื่อน”
สาวลูกครึ่งกลอกสายตาขี้เล่นไปทางชายหนุ่มหน้าตาดี รูปร่างสูงสมส่วน ที่ยืนคุยโทรศัพท์หน้าตาเคร่งเครียดทางสองนาฬิกา ไม่รู้ว่าคุยเรื่องอะไรถึงนิ่วหน้าใส่อารมณ์กับคู่สนทนา ผู้ชายจริงจังสายดุแบบนี้ ถูกใจ ใช่เลย แต่สักพักรถแห้วแหกโค้งคว่ำลงตรงหน้าให้เลือกหยิบรับประทานได้ตามสบาย เพราะเมียเขาเข้ามาคล้องแขนแสดงความเป็นเจ้าของ
ความสุขของคนแอบมอง ทำไมต้องจบลงด้วยคำว่าเขามีเมียแล้วทุกทีเลยนะ แพทริเซียถอนหายใจตบมือลงบนบ่าเพื่อน
“สวยๆ อย่างเราต้องมีศักดิ์ศรี อย่าแอบมองผัวคนอื่น”
“เพื่อนสวย ผู้ชายต้องมองสิจ๊ะจะไปมองเขาทำไม รีบไปเถอะ ปวดจริง อีกนิดเดียวก็เล็ดออกมาเปื้อนกางเกงแล้วเนี่ย”
“หูรูดไม่ดีหรือเปล่า กลั้นไว้ก่อนห้องน้ำอยู่ไกล”
“อืม”
แล้วพิยดาก็เหม่ออีกครั้ง รักครั้งแรกของหล่อนเป็นรักที่ไม่อาจบอกให้ใครรู้ แต่แม้เจ็บปวดเจียนตายก็เป็นความเจ็บปวดที่งดงาม
พิยดาเติบโตในบ้านคนรับใช้ ลืมตามาเจอแม่พิการทางสมอง หูหนวก เป็นใบ้ ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ แม่มีหล่อนโดยไม่ตั้งใจ ซาบซึ้งบุญคุณเจ้าของบ้านที่เมตตาให้งานให้ที่อาศัยแก่แม่ลูกไม่มีที่ไป ยี่สิบปีก่อนพิยดาเด็กเกินกว่าจะตั้งคำถาม จำความได้แม่ก็สอนให้ทำงานรับใช้คุณไกรสรกับลูกๆ ของท่าน ถูกกลั่นแกล้งใช้ความรุนแรงก็ไม่เคยมีความคิดที่จะถามสักครั้งว่าทำไมถึงทำกับตัวเองแบบนี้ เติบโตถึงรู้ว่าไม่ใช่เรื่องปกติที่เด็กทุกคนเจอ
ในอดีตคุณเขมราชบิดาศรันย์กับคุณไกรสรบิดาราเมศวร์สนิทสนมกันมาก พวกท่านทำธุรกิจด้วยกัน คบหากันเป็นเพื่อนตาย ไปมาหาสู่กันบ่อยส่งผลให้ลูกๆ จากสองบ้านสนิทกันไปด้วย ศรันย์ ศิรินทร์ ราเมศวร์ ดุจเดือน พวกเขาทั้งสี่คนเติบโตมาด้วยกันไปไหนไปกันโดยมีเด็กรับใช้อย่างพิยดาห้อยเป็นติ่ง ติดตามไปทุกที่เพื่อรองมือรองเท้า
เด็กวัยเท่านี้จำนวนมากมีโอกาสใช้ชีวิตตามวัย ได้เที่ยว ได้กินขนมอร่อยๆ แต่พิยดากลับไม่มีช่วงเวลาเหล่านั้น พูดอะไรไม่ได้ ขัดใจใครไม่ได้ ก้มหน้าก้มตาแบกรับทุกอย่างไว้ด้วยตัวคนเดียว มันอ้างว้าง และเจ็บปวดจนคาดไม่ถึงว่าจะมีชีวิตรอดมาถึงทุกวันนี้
ราเมศวร์เลียนแบบนิสัยชอบความรุนแรงมาจากพ่อแม่ที่มักจะมีปากเสียงตบตีกัน เนื่องจากแต่งงานโดยไม่ได้รัก หลังจากแม่เสียชีวิตคุณไกรสรก็รับภรรยาน้อยเข้ามาอยู่ในบ้านพร้อมกับดุจเดือนลูกนอกสมรส ราเมศวร์ไม่สามารถลงไม้ลงมือกับดุจเดือนตามคำสั่งพ่อ เวลาโกรธก็มักจะมาลงกับเด็กรับใช้ที่ไม่กล้ามีปากเสียง
นับวันความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น เขาตบหัวจิกเส้นผมเด็กผู้หญิงตัวเล็กบอกต่อว่าหยอกเล่น ไม่มีใครในบ้านต่อว่าหรือตักเตือนเขา ได้ยินแค่เสียงหัวเราะจากลูกๆ เจ้านาย ยกเว้นศรันย์แค่คนเดียว เขาไม่เห็นด้วยเรื่องที่ราเมศวร์ลงมือกับเด็กผู้หญิง ต่อให้จะลงท้ายว่าล้อเล่นก็ไม่สมควรทำ
เขาไม่เคยรู้ว่าประโยคที่กล่าว สายตา รวมถึงน้ำเสียง มีค่ามาถึงทุกวันนี้ ไม่มีใครเลยสักคนที่ปกป้องหล่อน แม้แต่แม่แท้ๆ ก็ไม่เคยรู้ว่าลูกเจออะไรบ้างในแต่ละวัน เติบโตมามีร่างกายสมบูรณ์ไม่มีส่วนไหนพิการ แต่ตลอดเวลาที่อยู่ในบ้านนั้น พิยดาไม่ต่างไปจากคนพิการ พูดไม่ได้ ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ เป็นหุ่นยนต์ให้เจ้าของบ้านกระทำ
เข้าเรียนชั้น ม.4 สัปดาห์แรก หลังทุกคนเข้านอนพิยดาแอบออกมาร้องไห้ใต้ต้นไม้ข้างกำแพงหลังบ้าน ไม่อยากให้ถึงพรุ่งนี้ ไม่ชอบโรงเรียน ไม่ชอบเพื่อน อยากอยู่บ้าน น้ำมูกน้ำตาเขรอะเต็มหน้า
“ได้ยินเสียงเหมียวๆ นึกว่าแมว ที่แท้ก็เด็กแอบมาร้องไห้”
หมุนต้นคอรอบทิศไปพบศรันย์ยืดช่วงบนจากหน้าอกข้ามกำแพงมา เด็กสาวปัดเศษดินออกจากชุดนอนกระโปรงเดินไปหาเขา
“มาหาพี่เมศเหรอคะ”
“ใช่ เมศอยู่หรือเปล่า”
เขาตอบตรงคำถาม ทว่าแววตากลับซุกซน นึกขำว่าถ้ามาหาราเมศวร์ก็เข้าทางหน้าบ้านแล้วสิ
“ยายไม่รู้ว่าพี่รันจะมา ให้พิมปิดไฟบ้านใหญ่แล้วค่ะ”
“ปิดไฟหมดแล้วเหรอ อย่างนี้พี่ก็เข้าไปหาเมศไม่ได้สิ”
“พิมไปเปิดให้ค่ะ”
เด็กสาวเลิกเขย่งปลายเท้ายืดตัวทำท่าจะหมุนตัวกลับเข้าบ้าน ถูกเขาเอื้อมมือข้ามกำแพงมาเหนี่ยวไหล่
“ไม่เป็นไร ป่านนี้มันนอนแล้วมั้ง ไว้มาใหม่พรุ่งนี้”
เขาดึงมือกลับมาตบลงบนสันกำแพง แต่ในขณะที่กำลังใช้ความคิดว่าจะชวนคุยเรื่องอะไรดี ไฟดวงหนึ่งในบ้านคนรับใช้ก็เปิดขึ้น หญิงชราออกมาก้มๆ เงยๆ หน้าบ้านเรียกหาเด็กสาว
“ยายมา!”
ศรันย์ตกใจเกือบลื่นตกจากเก้าอี้เล็กที่ใช้เป็นฐานรอง ไม่ใช่ว่าตัวสูงเหนือกำแพงอย่างที่พิยดาเข้าใจ ลนลานกลัวถูกจับได้
“พรุ่งนี้ค่อยคุย พี่จะมาหาพิมที่ต้นไม้ตอนสี่ทุ่ม”
“มาหาพิมทำไมเหรอคะ”
“รอบอกพรุ่งนี้ พี่กลับก่อนนะ”
ถึงจะไม่เข้าใจ แต่คืนต่อมาพิยดาย่องออกจากบ้านมารอที่เดิม
เขามาตามที่เคยบอกไว้ จากนั้นก็เขานัดในวันต่อๆ ไปไม่ว่างเว้น เขาทำให้เด็กที่เกลียดการไปโรงเรียน อยากตื่นมาไปโรงเรียนทุกวัน เร่งเวลาให้หมดเร็วๆ เพื่อจะได้เจอเขาก่อนนอน
ความสัมพันธ์เล็กๆ แปรเปลี่ยนเป็นความรักความผูกพัน เขาอยู่เคียงข้างในวันที่มีความสุขและมีความทุกข์ หล่อหลอมพิยดาให้หลุดออกจากกับดักคนรับใช้ ที่หล่อนตั้งใจเรียนหนังสือและถีบตัวเองมาเรียนเมืองนอกส่วนหนึ่งก็เพราะเขา ไม่ใช่เขาในปัจจุบัน แต่เป็นเขาในอดีตที่อยากให้หล่อนมีชีวิตที่ดีขึ้น เรียนจบสูง มีงานทำ พาแม่ไปอยู่ข้างนอกไม่ต้องเป็นคนใช้ตลอดชีวิต
พิยดามีเขาอยู่เคียงข้างมานาน ยกให้เขาเป็นโลกทั้งใบ ยอมหมดทุกอย่างรั้งเขาให้อยู่ข้างกาย แต่เขาก็สอนบทเรียนบทใหม่ให้หล่อนเรียนรู้ว่าไม่มีสิ่งใดคงอยู่ตลอดไป ดังเช่นเขาที่ได้สมใจอยากก็ตัดขาดการติดต่อเหมือนไม่เคยรักกัน ช่วงนั้นแย่เอาการ แต่ก็มีเรื่องดีๆ เกิดขึ้น คุณไกรสรกลัวหล่อนใจแตกหนีออกจากบ้านรอบสอง ให้อิสระในการใช้ชีวิต ย้ายโรงเรียนไปเจอเพื่อนใหม่ที่ใจดีและคบหากันมาถึงปัจจุบัน
เรียนจบระดับมัธยมก็เข้ามหาวิทยาลัยไกลบ้าน เพื่อจะได้มีข้ออ้างในการพักหอ ไม่ต้องกลับมาอยู่ใกล้มือใกล้เท้าราเมศวร์ วุฒิการศึกษาแค่นั้นไม่พอให้หล่อนหลุดออกจากกะลาแคบที่คนบ้านอัศวเมฆินทร์นำมาครอบศีรษะ ทะเยอทะยานเก็บหอมรอมริบหาทุนไปเรียนต่อต่างประเทศตามฝัน หลังจากหลุดพ้นคนในบ้านอัศวเมฆินทร์และได้พบเจอโลกใหม่ๆ ก็ทำให้พิยดาเข้าใจ ทำไมศรันย์ถึงทิ้งหล่อนและเลือกเดินทางไปศึกษาต่อ อนาคตข้างหน้าสดใสมากกว่าจมปลักอยู่กับผู้หญิงที่ไม่คู่ควร ผู้ชายระดับเขาคู่ควรกับผู้หญิงดีๆ ฐานะเท่าเทียมกัน คนที่สามารถควงแขนออกงานสังคมโดยไม่อายสายตาใคร และคนนั้นไม่มีทางเป็นหล่อน ดังนั้นพิยดาจึงไม่คาดหวังให้เขากลับมา หากบังเอิญเจอกันก็พร้อมจะแยกตัวไปอีกทาง เพื่อไม่ให้มีคนนอกระแคะระคายความสัมพันธ์ หวังดีกับเขา ไม่อยากให้เขาอับอายเรื่องผิดพลาดในอดีต ไม่ผิดจากนั้น หล่อนคือความผิดพลาด ไม่ใช่ความรัก
ศรันย์ในวันนี้ไม่ใช่ศรันย์คนที่หล่อนเคยรู้จัก เขาสมาร์ท ภูมิฐาน แวดล้อมไปด้วยผู้คนฐานะและสังคมทัดเทียมกัน ก้าวขึ้นไปยืนบนจุดสูงสุด ต่างจากพิยดายังจมอยู่ที่เดิมราวกับอยู่คนละขอบฟ้า เลิกกันหลายปี ไม่มีวันไหนไม่รัก ไม่คิดถึง วันหนึ่งช่วงเดือนแรกที่ย้ายมาเรียนปริญญาโทมีเหตุการณ์ที่ทำให้แทบหยุดหายใจ เมื่อบังเอิญพบเขาในร้านกาแฟระหว่างทางเดินไปป้ายรถเมล์ เขาคุยโทรศัพท์หน้าตาเคร่งเครียดตามสไตล์ ตัวหล่อนเย็นเฉียบ มือชา ขาชา เผลอยืนรอเขาที่หน้าร้านเป็นเวลานาน ความคิดเข้าข้างตัวเองเกิดขึ้นอัตโนมัติว่าเขามาหาตามที่เคยให้สัญญา แต่รอแล้วรอเล่าเขาไม่เคยหันกลับมามอง
เพิ่งมารู้ว่าเขาลงทุนทำโรงเรียนสอนภาษาตามหัวเมืองใหญ่ในอังกฤษ แค่พักแถวนั้นทุกครั้งที่มาทำงาน หล่อนถึงได้เข้าใจและเลิกหวังลมๆ แล้งๆ จากนั้นเวลาเดินผ่านหักห้ามใจไม่มองเข้าไปข้างใน ไม่ว่าเขาจะอยู่หรือไม่ก็ตาม ต่างคนต่างอยู่อาจจะไม่ลำบากใจเท่าบังเอิญสบตากัน เขาอาจจะไม่รู้สึก แต่หล่อนยังรู้สึก ยังรักเขาไม่น้อยไปกว่าวันแรกที่คบกัน และการที่วันนี้พบเขาอยู่กับผู้หญิงคนอื่นก็ทำให้ตัดสินใจได้เด็ดขาด ว่าจะไม่รัก ไม่รอเขาอีกต่อไป คำพูดสุดท้ายที่เคยบอก จะกลับมาคบกันในวันที่พร้อมกว่านี้ ไม่เคยมีอยู่จริงมาตั้งแต่แรก เลิกกันแล้วก็เลิกกันเลย ต่างคนต่างแยกย้ายไปมีชีวิต ไปเติบโต ไม่มีทางกลับมาบรรจบกัน
“พิม ยายพิม! เป็นอะไร ทำไมเงียบ”
“เปล่า แค่คิดว่าจะมีโอกาสได้กลับมาที่นี่อีกหรือเปล่า”
“ฉันถึงได้ค้านหัวชนฝาไม่ให้แกกลับ อดทนอีกนิดเดียวก็เรียนจบ แกกลับไปจะมีประโยชน์อะไร คุณไกรสรถูกเขี่ยออกจากบริษัท การเงินล้มละลาย บ้านก็ถูกยึด แกจะกลับไปใช้หนี้แทนเขาหรือไง”
“บ้าเหรอ ฉันไม่ทำเรื่องใหญ่อย่างนั้น แค่เป็นห่วงแม่กับยาย บ้านถูกยึด เท่ากับว่าแม่ฉันก็ไม่มีที่อยู่ ฉันอยากกลับไปดูแลแม่”
“แน่ใจนะว่ากลับไปเพราะแม่ ไม่ใช่เพราะคนพวกนั้น”
สาวลูกครึ่งหรี่ดวงตากลมโตแคบลงจับผิด ว่าลึกๆ แล้วพิยดาห่วงใยคุณไกรสรกับทายาทของท่านที่มีปัญหาชีวิตหรือเปล่า
“แน่สิ แกจะมาจับผิดฉันทำไมเนี่ย ก็เห็นๆ อยู่ว่าฉันทั้งถูกตบถูกตี หนังตาหนังหัวจะหลุดไม่เว้นวัน จะไปห่วงพวกเขาทำไม”
รีแอคชั่นกำหมัดชกอากาศ แล้วหัวเราะให้เป็นเรื่องสนุก ทั้งที่มันไม่ตลกเลยกับการเติบโตมาในครอบครัวชอบใช้ความรุนแรง
“ไม่ใช่เพราะเป็นห่วงพวกเขาหรือไง แกถึงไม่ยอมพาแม่ย้ายออกไปอยู่ที่อื่น เป็นฉันนะไม่อยู่ให้พวกเขาจิกหัวใช้หรอก”
“ตอนเด็กย้ายออกไม่ได้เพราะไม่มีเงิน คิดว่ารอโต แต่พอโตขึ้นก็ติดกับดักหนี้บุญคุณ ฉันไม่สนคนอื่นหรอก คนที่ฉันสนคือแม่”
“บอกแม่ไปตรงๆ สิ ว่าถูกเขาทำอะไรบ้างถึงมีแกเกิดมา”
“ยายแพท! ฉันเคยบอกแล้วใช่ไหมว่าไม่ชอบ”
พริบตาเดียวพิยดาเปลี่ยนมาอยู่ในโหมดจริงจัง แพทริเซียหน้าถอดสี ตบปากตัวเองที่แก้นิสัยพูดเร็วพูดตรงพูดไม่คิดไม่ได้
“ขอโทษ อย่าโกรธเลยนะเพื่อนสาวคนสวย มามะ จะหอมแก้มง้อ” ไม่ได้ล้อเล่น แต่หล่อนจับแก้มพิยดามาหอมจริง
โลกตะวันตกเปิดกว้างกับเพศที่สาม ไม่มีใครให้ความสนใจ แพทริเซียลวนลามหอมแก้มจนกระทั่งเพื่อนหัวเราะจึงยอมปล่อย
“พอได้แล้วยายบ้า ขนลุกจะแย่ ฉันไม่ใช่พี่ไรอันของแกนะ”
“คนนั้นฉันไม่หอมแก้มหรอกจ้ะ มีแต่จะอ๊อก”
ทำเสียงไอแค๊กๆ ราวกับว่ามีอะไรบางอย่างติดอยู่ในลำคอ โตกันแล้ว ไม่ต้องอธิบายให้ยาวเหยียดก็เข้าใจความหมายสิบแปดบวก
“หมั่นไส้ กินบ่อยๆ ระวังเถอะจะติดคอตายสักวัน”
“ยอมจ้า ตายเป็นตาย เพื่อการนี้เพื่อนยอมพลีชีพ” หัวเราะมีจริตมารยาตามประสาคนสวย ซน และมั่นใจเต็มร้อย
“ทะลึ่งเกินแกไม่มีแล้ว เฮ้อ! ไปเช็กอินกันเดี๋ยวตกเครื่อง”
“ตกเครื่องก็ดีสิ จะได้ชวนไปกินไส้กรอกด้วยกัน” แพทริเซียเล่นไม่เลิก ส่งสายตาหวานสื่อความหมายโดยไม่จำเป็นต้องแปล
“กินคนเดียวเถอะย่ะ!” พิยดาจะจิ้มตา สาวลูกครึ่งหัวเราะลั่น
“รีบไปได้แล้ว อย่าคิดว่าฉันไม่รู้ทันแผนการถ่วงเวลาของแกนะ”
“อ้าว รู้ด้วยเหรอ ไปๆ เคาน์เตอร์เช็กอินอยู่ทางนั้น”
ควงแขนให้กำลังใจ เข็นรถยกกระเป๋าไปทางเคาน์เตอร์สายการบินสัญชาติฮ่องกง หลังจากเช็กอินโหลดกระเป๋าสัมภาระลงใต้เครื่อง ตัวพิยดาก็เบาหวิวมีแค่กระเป๋าถือใส่ของมีค่า สองสาวจากพูดคุยหยอกล้อเรื่อยเปื่อยก็เริ่มต้นกอดและบอกลากันอย่างจริงจัง
“สัญญานะพิม ถ้าเคลียร์ปัญหาได้ แกจะกลับมาเรียนต่อให้จบ ไม่ต้องห่วงเรื่องเงิน ฉันจะขอแม่เป็นสปอนเซอร์ให้”
“อย่าเลย แค่นี้ฉันก็รบกวนแกกับแม่มากพอแล้ว คนอย่างฉันได้มาเรียนต่อต่างประเทศ ถึงจะเรียนไม่จบก็คุ้มค่าที่ได้เกิดมา”
“โอ๋... ไม่เอา ไม่พูดแบบนี้ แกเป็นคนเก่ง มีความสามารถ ไม่ว่าใครจะพูดถึงแกหรือดูถูกแกยังไง แต่ฉันเชื่อในตัวแก และอยากให้เพื่อนของฉันมีอนาคตที่ดีกว่านี้”
“ขอบใจมากนะที่เชื่อมั่นในตัวฉัน ฉันจะไม่ทิ้งอนาคตตัวเอง จะทำงานหาเงิน มุ่งมั่นสร้างตัวหักหน้าพวกคนที่เคยดูถูกฉัน”
“แกทำได้อยู่แล้ว เพื่อนฉันทั้งสวยทั้งเก่ง สู้เขานะ”
“สู้ตาย!” ตอบกลับหน้าตามุ่งมั่น “ลากันไปลากันมามีหวังฉันตกเครื่องเพราะแกนี่แหละ ฝากขอบคุณพี่ไรอันด้วยนะที่ขับรถมาส่ง เรียนจบแล้วชวนพี่เขาไปเที่ยวเมืองไทยด้วยล่ะ”
“ต้องชวนไปอยู่แล้ว รักนะ ถึงแล้วส่งข้อความมาบอกด้วย”
“ได้เลย ฉันไปแล้วนะ”
โบกมือลากันอยู่นาน กว่าจะหันหลังให้เพื่อนตามผู้โดยสารท่านอื่นเข้าไปด้านใน ผ่านด่านตรวจเอกสารมาถึงโถงทางเดินขนานข้างด้วยร้านค้าปลอดภาษี ห้ามใจไม่ไหวแวะชมลิปสติกคอลเล็กชันใหม่ เล็งไว้ว่าจะซื้อเป็นของขวัญวันเกิดตัวเอง เหลือเวลาหลายเดือนกว่าจะครบยี่สิบห้าปี เก็บหอมรอมริบเดือนละร้อยสองร้อยจะได้ไม่รู้สึกผิดเหมือนนำเงินมาซื้อทีเดียว
“เลาจ์อยู่ใกล้แค่นี้ไปเมื่อไหร่ก็ได้ค่ะ ตอนนี้ตามใจน้องพิมก่อนนะคะ น้องพิมอยากดูลิปสติกคอลเล็กชันใหม่ของคริสเตียนดิออร์” สาวเสียงหวานอ้อนแฟนหนุ่ม ควงแขนกึ่งฉุดเข้ามาข้างในมองหาจนเจอเคาน์เตอร์ลิปสติกก็ตรงรี่เข้าไปกระแทกแขนพิยดาที่ใจจดจ่ออยู่กับลิปสติกสีที่ชอบ พิมพ์มาดานิสัยดีระดับหนึ่งรู้ตัวว่าผิดก็รีบขอโทษ ยื่นมือไปหยิบลิปสติกสีแดงสดมาทดลองบนหลังมือชายหนุ่ม เขาน่ารัก ปล่อยให้หล่อนปาดสีตามใจชอบ
“สีแดงสดสวยมาก น้องพิมทาแล้วต้องสวยแน่เลยค่ะ”
“อืม สวย ทาแล้วคงเหมือนปอบลืมเช็ดปาก”
ชายคนนั้นตอบเสียงเนิบนาบ สาวไทยอีกคนยืนอยู่ตรงนั้นมาแต่แรกได้ยินแล้วแอบขำ นึกภาพปอบจกตับสัตว์มากิน
“แล้วสีนี้ล่ะคะ ชมพูสดใสดีจังเลย น้องพิมก็ว่าเหมาะ”
เสียความมั่นใจแต่ไม่ล้มเลิกความตั้งใจ พิมพ์มาดาวางกลับที่เดิมเบามือ ดึงสีชมพูมาปาดหลังมืออีกครั้ง วาดเป็นรูปหัวใจแทนความรู้สึก
“ดีขึ้น แต่อย่าทาไปลพบุรีล่ะ แยกยากอันไหนปากคนกับตูดลิง”
ภาพตูดลิงสีชมพูแวบเข้ามาในหัว พิยดากลั้นขำ ตลกน้ำเสียงเอื่อยๆ ไร้อารมณ์ที่เขาใช้ตอบโต้คุณหนูเสียงแหลม
“ใช่สิ น้องพิมทำอะไรก็ไม่ดี ไม่สวย งอนแล้ว!”
“ไม่ง้อ ไปหาทิชชูมาเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นพี่จะเอาเสื้อเธอเช็ด”
“ใจร้าย! กลับถึงบ้านน้องพิมจะฟ้องป้ามล!”
“เอาเลย อยากฟ้องพ่อฟ้องแม่ก็เชิญฟ้องตามสบาย!”
“สนใจสินค้าชิ้นไหนสอบถามได้นะคะ” พนักงานสาวเข้ามาสงบศึก ก่อนคู่รักจะสร้างความรำคาญให้ลูกค้าท่านอื่น
ชายหนุ่มระงับอารมณ์พลุกพล่าน เบียดสาวเอาแต่ใจหน้างอคอหงิกปานพระจันทร์เสี้ยวเข้ามากวาดลิปสติกจำนวนหลายแท่งมาไว้ในมือ ตั้งใจว่าจะซื้อให้จบๆ รวมถึงแท่งที่ผู้หญิงคนข้างๆ เพิ่งจะวางกลับที่เดิมหลังจากลูบๆ คลำๆ พิจารณาค่อนข้างนาน หล่อนเปลี่ยนใจหรือเปล่าไม่รู้ ถึงได้ยื่นมือกลับมา และบังเอิญสัมผัสเข้ากับมือ เขาเอียงหน้าไปทางขวามือพอดีกับหญิงสาวหันมาสบตา ประกายไฟส่งกระแสอ่อนๆ เข้ากลางใจคนทั้งคู่ หวนคิดถึงค่ำคืนเมื่อหลายปีก่อนที่พวกเขาสองคนเคยมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งต่อกัน
“พิม…” เสียงฟังคล้ายสายลมพัดผ่าน เบาหวิว ไร้น้ำหนัก หากวันนี้คือเช้าวันนั้นพิยดาคงจะเข้ามากอดเขาด้วยความรัก แต่จะหวังอะไรในเมื่อวันเวลาล่วงเลยผ่านมากว่าเก้าปีที่พวกเขาเลิกกัน
“เรียกน้องพิมเหรอคะ”
พิมพ์มาดาถือสิทธิ์สอดมือมาคล้องแขนชายที่ผู้ใหญ่ฝ่ายเขาและฝ่ายหล่อนอยากให้คบหาดูใจกัน หึงที่เขาจ้องผู้หญิงแปลกหน้าตาไม่กะพริบ พิยดาดึงมือข้างที่สั่นกลับมาแนบลำตัว ไม่อยากยอมรับว่าเจ็บปวดที่เห็นเขาสองคนควงแขน ขอบตาร้อนผ่าว แม้ไม่ได้บีบหรือกะพริบก็มีหยดน้ำกลมๆ ไหลลงมา ก้มหน้าหลบสายตาพวกเขาเดินออกจากร้าน
“พิม อย่าเพิ่งไป!” เขาส่งเสียงดัง ผวาจะตามไปคว้าท่อนแขนทว่าถูกฉุดรั้งไว้โดยพิมพ์มาดาที่ไม่ยอมให้เขาไปหาผู้หญิงคนอื่น
“พี่รัน น้องพิมอยู่ตรงนี้ หรือผู้หญิงคนนั้นก็ชื่อพิมเหมือนกัน” ละสายตาไปทางผู้หญิงคนนั้นที่กลืนหายไปกับนักเดินทางจากทั่วโลก
“ปล่อย บอกให้ปล่อยฟังไม่รู้เรื่องหรือไง!” สะบัดมือพิมพ์มาดาทิ้ง ออกตัววิ่งไปในทิศทางที่พิยดาจากไป หายใจไม่ทั่วท้องเหมือนกับว่าจะหน้ามืดลงตรงนี้ เคว้งคว้างไม่รู้ว่าจะตามหาพิยดาเจอได้อย่างไรในช่วงตารางบินหนาแน่นมีผู้โดยสารในอาคารจำนวนมาก
ก่อนขึ้นเครื่องเขาอ้อนวอนพนักงานภาคพื้นให้ช่วยประกาศตามหา “ขอร้อง ขอร้อง ครั้งเดียว ช่วยประกาศตามหาให้ที”
“ไม่ได้ค่ะ ผู้โดยสารอาจจะคลาดเคลื่อนเที่ยวบินที่จองไว้ หรือต่อให้ประกาศเสียงก็ส่งไปไม่ถึงข้างนอกค่ะ เว้นเสียแต่ว่าจะให้ประชาสัมพันธ์ส่วนกลางช่วยประกาศ แต่ดูจากเวลาแล้วยังไงก็ไม่ทัน อีกห้านาทีประตูขึ้นเครื่องจะปิดแล้ว” พนักงานปฏิเสธกลับมาทุกครั้ง เกรงใจเขาในฐานะหลานชายคนโต ปีเตอร์ ชาน เจ้าของสายการบิน
“ตรวจในระบบได้ไหม ว่ามีคนชื่อนี้บนเที่ยวบินหรือเปล่า”
“เที่ยวบินไปประเทศไทยมีไม่รู้กี่สิบกี่ร้อย คุณผู้หญิงอาจจะไปกับเที่ยวบินอื่นแล้วก็ได้ ประตูใกล้ปิดแล้วไปขึ้นเครื่องเถอะนะคะ”
คอตกผ่านพนักงานภาคพื้นไปชั้นเฟิร์สคลาส เย้ยหยันตัวเองว่าต่อให้ไปเที่ยวบินเดียวกันก็ไม่มีทางได้พบกันจากเส้นแบ่งฐานะ พิยดาไม่มีวันนั่งชั้นหนึ่งหรือชั้นสองหล่อนเลือกชั้นประหยัดอยู่แล้ว
“พี่รัน ไปไหนมา น้องพิมรอตั้งนาน” พิมพ์มาดาตั้งตารอศรันย์แต่แรก ควงแขนพาเขากลับมาที่นั่งซึ่งอยู่ถัดจากหล่อน
“แชมเปญหน่อยไหมคะ น้องพิมหยิบมาเผื่อ” พิมพ์มาดารับแชมเปญจากพนักงานต้อนรับมาป้อนถึงปาก
“ไม่” ยกมือห้าม ทรมานหัวใจเจียนตายกับความคิดถึง
“ดื่มสักหน่อยนะคะ อ้าปากนะน้องพิมป้อน อ้า...” ช่างตื๊อตามประสาคนเอาแต่ใจจะบังคับป้อนให้ได้ ศรันย์หงุดหงิดปัดมือข้างนั้นทิ้ง แก้วแชมเปญร่วงจากมือหล่นลงพื้น น้ำบางส่วนกระเด็นมาโดนเสื้อหญิงสาว
“เลิกยุ่งกับพี่ แล้วไปทำตัวน่ารำคาญไกลๆ เลยไป! พี่ไม่ใช่สุภาพบุรุษ! ล้มงานหมั้นก็เคยทำมาแล้ว เธอคิดว่าตัวเองเป็นใครถึงจะเปลี่ยนนิสัยพี่ได้! ฝากไปบอกแม่เธอ! แม่พี่! ให้เข้าใจตรงกันว่าพี่ไม่ได้สนใจเธอ และไม่มีวันกลับคำพูดเด็ดขาด เลิกยัดเยียดเธอมาให้พี่ได้แล้ว ถึงขั้นบินตามมาอังกฤษ ไม่แรดจริงคงทำไม่ได้!”
“พี่รัน! กลับมาเดี๋ยวนี้เลยนะ!”
พิมพ์มาดาร้องเสียงแหลมใส่เขาที่หิ้วกระเป๋าไปหาพนักงานต้อนรับขอสลับที่นั่งกับผู้โดยสารคนอื่น แต่ไม่ว่าจะกรี๊ดดังแค่ไหนเขาก็มั่นคงในจังหวะการเดินไม่เหลียวหลังกลับมา เป็นหล่อนเองที่สู้หน้าผู้โดยสารคนอื่นไม่ได้นั่งสงบเสงี่ยม ฉีกยิ้มให้คนรอบข้างเห็นว่าไม่เป็นไร ก่อนยกกระเป๋าแอร์เมสขึ้นมาปิดหน้าร้องไห้