เดินทางออกจากเมืองหลวง

1167 Words
รถม้ากำลังเคลื่อนที่ ด้านในมีบุรุษสองคนนั่งอยู่คนนึงสวมอาภรณ์สีเขียว ผมบนศีรษะรวบเป็นมวยอยู่ด้านบน สวมกว้านหยกสีขาว ในมือถือพัดนั่งจิบชาสบายๆ ส่วนอีกคนนอนเหยียดยาวท่าทีเกียจคร้าน รถม้าวิ่งมาตามทาง สารถีบังคับม้าไม่เร่งรีบตอนนี้พวกเขาออกจากเมืองหลวงมาได้เจ็ดวันแล้ว ป่านนี้ข่าวคงถึงในวังเรียบร้อย เดิมทีต้องใช้เวลาเดือนครึ่งไม่รู้ว่าองค์ชายห้าไปหาม้าโลหิตมาจากไหนได้กัน การเดินทางจึงรวดเร็ว "พี่ใหญ่ เมื่อไหร่จะถึงสักที ข้าเมื่อยแล้ว"จ้าวเทียนหยางบ่นไม่หยุดตั้งแต่ออกจากเมืองหลวง "น้องห้า เจ้าจะบ่นทำไมหากทนไม่ไหวก็กลับเมืองหลวงไปคนเดียว" "เหอะ...ท่านกล้าพูด ไม่ใช่ท่านชวนข้ามาหาพี่หรงกับเสด็จอาหรอกหรือ" "เจ้าร้องตามมาเอง ใครไปบังคับเจ้ากันเหอะ พูดก็พูดเถอะ ข้าเห็นหน้าจ้าวคังแล้วรู้สึกอยากอาเจียน ช่างเสแสร้งเก่งเหมือนหลิวกุ้ยเฟยมารดาเขาเสียจริงๆ"จ้าวเทียนเฟยระอากับน้องชายที่ขยันบ่นนั่นบ่นนี่ อีกทั้งยังพูดคุยถึงองค์ชายสามที่อยู่ในวังอีกคน "เสด็จพี่สามเดิมทีจะได้เป็นรัชทายาท เพราะเซียวฮองเฮาไม่มีบุตร ใครจะรู้ว่านางตั้งครรภ์จนคลอดน้องแปดออกมา ตอนกลับเข้าวังเทียนฉีได้เจ็ดขวบแล้ว เขาไม่โกรธก็แปลกพวกคนหน้าไหว้หลังหลอกอย่างสกุลหลิว บุตรหลานจะหาดีได้อย่างไร" จ้าวเทียนหยางยิ้มเยาะ "เจ้าพูดอีกก็ถูกอีก นอนพักเถอะ อาฉินตงอาฉินลู่ ใกล้ถึงแล้วบอกข้าด้วย"องค์ชายใหญ่นอนต่อปล่อยน้องชายบ่นเป็นหมีกินผึ้งคนเดียว จ้าวเทียนเฟยองค์ชายใหญ่กับจ้าวเทียนหยางองค์ชายห้า เป็นบุตรของหวังกุ้ยเฟย ราชครูหวังสิ้นไปแล้วนอกจากคุณหนูหวัง *หวังชุ่ยเอ๋อร์* ราชครูหวังก็ไม่มีผู้สืบสกุล ไท่ซ่างหวงเห็นว่าเขาภักดี แม้ในคราวเคราะห์ยอมถูกกวาดล้างทั้งตระกูล ถูกอ๋องเฉิงบีบคั้นก็ไม่ยอมปริปากถึงบุตรชายคนเล็กของสกุลเพิ่ง หลังจากปราบกบฏได้เห็นหวังชุ่ยอ๋อร์ไร้ที่พึ่งพิงจึงรับเขามาเป็นสนมของจ้าวเทียนหยู ตอนนั้นเขายังเป็นเพียงองค์ชายนอกวัง คิดแค่ว่าอยากชดเชยให้นางและสกุลหวัง ใครจะรู้ว่าเบื้องหลังกบฎก็คือองค์รัชทายาท ฮ่องเต้พระองค์ก่อนจึงสั่งปลดเจียงฮองเฮา แล้วตั้งหยางเมิ่งอวี๋มารดาของจ้าวเทียนหยูและจ้าวเฟยหย่งขึ้นป็นฮองเฮา หากมิใช่ว่าจ้าวเทียนหยูแต่งงานชายาเอกเซียวอวี้หรูบุตรสาวของแม่ทัพเซียวจิ้งไปก่อนหน้า คุณหนูหวังผู้นี้คงได้เป็นฮองเฮา แต่ตอนนี้จวนหวังเหลือเพียงชนรุ่นหลัง ที่รอดจากการกวาดล้างตระกูลจากอ๋องเฉิง จึงค่อยๆล่มสลายยังดีที่ราชครูหวังมีสมบัติมากพอและเมื่ออ๋องเฉิงถูกปราบกบฎ สมบัติตระกูลหวังจึงยังคงอยู่ แม้ว่าหวังกุ้ยเฟยไม่ยินดียินร้ายในการแก่งแย่ง แต่หลายคนก็หมายตาที่จะเกี่ยวดอง โอรสทั้งสองอยู่นอกสายตาของการแย่งชิง จึงมักลอยตัวจากปัญหาของเหล่าพี่น้องและขุนนาง แต่ก็สนิทสนมกับฝั่งของเซียวฮองเฮามากกว่า และเป็นเพื่อนเล่นกับจ้าวเฟยหรงมาตั้งแค่เด็กๆ เนื่องจากก่อนครองราชย์พระบิดาเป็นเพียงอ๋องคนนึง อย่างที่คนกล่าวว่าพวกเขาสองพี่น้องเป็นเพียงม้านอกสายตาเท่านั้นดังนั้นหากจ้าวเฟยหรงติดต่อพวกเขาก็ไม่มีใครใส่ใจ "องค์ชาย เข้าเขตเมืองกว่างผิงแล้วพะย่ะค่ะ" "หืม ถึงแล้วหรือ ตอนนี้อยู่ที่ไหน.."จ้าวเทียนเฟยถามองครักษ์ "กราบทูลองค์ชาย น่าจะเป็นอำเภอเป่าซานพะย่ะค่ะ" "รีบหน่อย ข้าหิวจะตายอยู่แล้ว หาที่พักเถอะเสด็จพี่ ข้าหิวจนสามารถจับม้าท่านมาย่างกินได้แล้ว"จ้าเทียนหยางนั่งมานานจนเริ่มหิว "องค์ชาย ได้ข่าวว่าเมืองกว่างผิงเป็นเมืองที่แห้งแล้งจนไม่สามารถจ่ายภาษีได้ เรื่องการกินอยู่อย่าทรงคาดหวังนักเลยพะย่ะค่ะ" จากนั้นฉินลู่ก็บังคับรถม้าเลี้ยวเข้าเขตอำเภอเป่าซานเมืองกว่างผิง ยามโหย่วซ่งจื่อหรูนำต้นกล้าของต้นเหมยกุ้ยวางเรียงรายตามแนวรั้ว หลังจากที่ตกลงกัยจิงสวียนและจิงอี้ พวกเขาจึงรับปากว่าจะมาเฝ้าบ้านให้ยามที่นางไม่อยู่บ้าน ดังนั้นเมื่อไม่มีใครเฝ้าดู ตอนนี้จึงสามารถหยิบเอาของในมิติออกมาได้ เมื่อเช้านี้ทำอาหารไว้มากพอจึงเอามาอุ่น และต้มไข่เพิ่มอีกหนึ่งอย่าง ตอนนี้จึงมาปลูกต้นเหมยกุ้ย นางขุดหลุมเอาไว้รอจากนั้นแช่ต้นกล้าด้วยน้ำในมิติเพียงข้ามคืนเหมยกุ้ยก็เริ่มเลื้อยเกาะรั้งไม้ไผ่แล้วนางจึงเริ่มกลบดินตามหลุม "น้องสี่ เจ้าปลูกอะไรหรือข้าเห็นขุดหลุมตั้งแต่เมื่อวานแล้ว"หลี่ม่านอวี้เห็นนางยุ่งไม่หยุดจึงเอ่ยถาม "ปลูกเหมยกุ้ยกับดอกไม้ป่าน่ะพี่สาม อีกไม่กี่เดือนก็คงเลื้อยเต็มรั้ว ป้าสะใหญ่เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ" "ก็เหมือนเดิมนั่นแหละ นางเคยโหวกเหวกโวยวายทุกวัน มาตอนนี้เอาแต่นั่งเหม่อ ข้ายอมให้นางด่าทอเหมือนเดิมดีกว่า พี่ชายฮั่วคนนั้นเรียกเจ้าว่าเจ้าตัวยุ่งคงเป็นเพราะเจ้าทำนั่นนี่ทั้งวันกระมัง" หลี่ม่านอวี้พูดพลางนั่งลง ค่อยๆกลบดินลงหลุมที่วางกล้าลงไปแล้วตามหลังซ่งจื่อหรู "น้องสี่ แค่ยกเลิกการหมั้นหมายร้ายแรงเพียงใดกัน มิใช่ว่าแค่แต่งสตรีบ้านอื่นก็ได้หรอกหรือ ท่านแม่หวังอะไรจากสตรีสกุลไป๋กัน" "เฮ้อ พี่สามนางถูกบ้านเดิมถูกท่านยายของท่านรังเกียจ ตอนแต่งงานยังได้แค่ที่ดินแห้งแล้งมาเพียงสี่หมู่ ยายท่านให้ความสำคัญกับบุรุษมากกว่าสตรีแถมนางยังเป็นบุตรสาวคนโตซึ่งพวกเขาถือว่าหากคนโตเป็นผู้หญิง จะอัปมงคล ตอนนั้นที่ท่านปู่ไปสู่ขอนางสินสอดถึงสิบตำลึง ยายท่านก็ไปซื้อที่นาดียกเป็นสินสอดให้น้าชายท่านต่อมาป้าสะใภ้ใหญ่มีบุตรชายให้บ้านหลี่ถึงสองคน นางเองก็ควรสามารถยืนได้อย่างมั่นคง แต่อยู่ๆลุงใหญ่กลายเป็นคนไม่เอาถ่าน สำมะเลเทเมาคลุกคลีสตรีที่เป็นหม้าย ภรรยาผู้อื่นบ้างนางจึงเหมือนถูกทรยศ ความหวังจึงอยู่ที่พี่ใหญ่หากพี่ใหญ่สอบขุนนางได้นางก็สามารถยืนหยัดได้"
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD