Chapter 4 Dinner
“ยินดีที่ได้ร่วมทำธุรกิจกันอีกครั้งนะครับ”
อิทธิพลยื่นมือไปจับกับนายพิทักษ์ อัศวะ เมื่อทำสัญญาสั่งซื้อสินค้าล็อตใหม่จบ รถยนต์รุ่นใหม่ล่าสุดที่มีความเร็ว 484 km/h เจาะกลุ่มลูกค้าพวกชอบความเร็วและกระเป๋าหนัก เพราะราคาหลักร้อยล้าน แถมยังผลิตขึ้นมาเพียง 100 คันเท่านั้น
“เช่นกันครับคุณอิท”
“งั้นฉันขอตัว..."
“วันนี้ฉันมีธุระที่อื่นต่อ ฉันอยากจะฝากลูกสาวไว้กับคุณอิทสักพัก ได้ไหมครับ ช่วยอยู่ทานข้าวเป็นเพื่อนพอใจที”
ยังไม่ทันที่อิทธิพลจะพูดจบ ชายวัยกลางคนอายุราว ๆ 40 ปี ก็พูดแทรกขึ้นมาก่อน พิทักษ์ อัศวะ ชายรูปร่างสูงโปร่งผิวสีแทน แม้อายุจะขึ้นเลข 4 แต่ยังคงความหล่อไว้เสมอ
“ครับ”
ฉันเพียงตอบรับไปตามมารยาท เป็นใครก็คงดูออกว่านายพิทักษ์ต้องการให้ลูกสาวของตัวเองเป็นทองแผ่นเดียวกับบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง AT
“ทานให้อร่อยนะลูก พ่อไปก่อนนะ ขอบคุณนะครับคุณอิท หวังว่าคุณจะช่วยดูแลลูกสาวฉันเป็นอย่างดี”
มือหยาบกรานลูกศีรษะลูกสาวตัวเองอย่างทะนุถนอม ก่อนจะหันมาพูดกับอิทธิพลที่ยังคงยืนนิ่งแผ่รังสีของอำนาจออกมา แต่แล้วยังไง.ในเมื่อถ้าไม่มีเขา บริษัท AT ก็ไม่มีวันประสบความสำเร็จได้อย่างทุกวันนี้หรอก
“พ่อไม่ต้องห่วงค่ะ คุณอิทจะดูแลพอใจอย่างดีแน่นอน ใช่ไหมคะคุณอิท” พอใจตอบผู้เป็นพ่อก่อนจะหันมาทางอิทธิพล แต่ประโยคที่พูดออกมานั้นมันเหมือนมีคำขู่อยู่ในตัว
“ครับ คุณพิทักษ์ไม่ต้องเป็นห่วง”
หลังจากที่พิทักษ์ออกไป บนโต๊ะอาหารก็เหลือเพียงแค่อิทธิพลกับพอใจ เด็กสาวหน้าหวานคอยเอาอกเอาใจตักอาหารให้ชายหนุ่มที่ตัวเองชอบอยู่ตลอดเวลา ใบหน้ายิ้มแย้มที่ใครผ่านมาเห็นก็ต้องมองเหลียวหลัง แต่สำหรับอิทธิพลนั้นมีแต่ความเบื่อหน่ายกับอาหารค่ำมื้อนี้
นิ้วเรียวเคาะเบา ๆ กับขาตัวเอง ซึ่งเป็นเฉพาะเวลาที่ร่างสูงต้องการใช้ความคิด อาหารหวานหน้าตาน่าทานเริ่มถยอยออกมาเสิร์ฟ แค่เห็นหน้าตาขนมหลากหลายสี ก็ทำเอาเลี่ยนทั้งทียังไม่ทันได้ทาน
คิดถึงดาร์กช็อกโกแลตของใครบางคนจัง...
“ทานสิคะคุณอิท พอใจตั้งใจสั่งมาเพื่อคุณเลยนะ”
พอใจยิ้มหวานที่สุดเท่าที่ตัวเองจะทำได้ มือบางใช้ช้อนตักชีสเค้กขึ้นมาป้อนอิทธิพล
“ฉันไม่ชอบทานของหวาน”
“อย่าปฏิเสธพอใจสิคะ คุณจำไม่ได้เเหรอว่าตัวเองรับปากอะไรไว้ อ้าปากนะคะ..."
"...."
“คุณอิทนี่น่ารักจังเลยนะคะ”
พอใจเอ่ยชมอิทธิพลที่ยอมทำตามตัวเองอย่างว่าง่าย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะกลัวหรือเริ่มให้ความสนใจในตัวเองกันแน่ แต่นั่นไม่จำเป็นต้องหาคำตอบ เพราะสุดท้ายผลลัพธ์มันก็เป็นไปอย่างที่ตั้งใจไว้
ไม่ได้ทำตามเพราะกลัวในอำนาจ แต่รำคาญที่คนตรงหน้าเอาแต่ใจไม่เลิก ถ้ายอมตอนนี้จะได้รีบกินรีบกลับ นั่นคือสิ่งที่ฉันคิด แต่ดูท่าแล้วพอใจจะคิดไปอีกแง่มุมมากกว่า
“มองตาไม่กะพริบเลยนะปัง”
เรนโบว์ ผู้ชายตัวเล็กหน้าหวานเอ่ยแซวเพื่อนตัวเองที่มองไปที่โต๊ะอาหารฝั่งตรงข้าม
“โทษทีลืมตัว ว่าแต่เรนเถอะ จะอยู่ไทยกี่วัน”
ฉันละสายตาจากภาพตรงหน้าแล้วหันกับมาสนใจคู่สนทนาของตัวเอง เรนโบว์เพื่อนที่บังเอิญรู้จักกันตอนไปเที่ยวทะเล เรนเป็นสาวสวย ตัวเล็กผิวขาวหน้าตาน่ารัก แต่เพราะเกิดอุบัติเหตุเมื่อหลายปีก่อนทำให้ต้องเรียนช้ากว่าเพื่อนคนอื่น ๆ ตอนนี้เจ้าตัวก็ไปเรียนที่อเมริกามีแวะมาไทยบ้างนาน ๆ ที ฉันกับเรนมักจะแลกเปลี่ยนเรื่องราวในชีวิตประจำวันของกันและกันผ่านทางอีเมลเสมอรวมถึงเรื่องของพี่อิทด้วยเช่นกัน
“ประมาณอาทิตย์กว่า ๆ แหละ แล้วเป็นยังไงบ้าง กับรุ่นพี่คนนั้น”
“เหมือนเดิม”
ไม่รู้ว่าจะใช้คำนี้ได้หรือเปล่า เพราะอย่างน้อยตอนนี้มันก็มีความคืบหน้าไปบ้างแล้ว ก็ไอ้วันที่ฉันซ้อมบทละครกับพี่อิทนั่นแหละ ตอนที่ปากเราสัมผัสกัน แม้มันจะเป็นแค่เสี้ยววินาทีก็ตาม
“ปากแตะกันแล้ว จะเรียกเหมือนเดิมได้ยังไง ว่าแต่พี่คนนั้นเขามากับใคร น้องสาวเเหรอ?”
ไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมเรนถึงรู้เรื่องนี้ เพราะฉันมักจะมาปรึกษา เรนอยู่ตลอด ถ้าถามว่าทำไมไม่ไปถามพวกไมล์กับนาย คำตอบก็คือถ้าพวกมันสองตัวรู้ เท่ากับว่าพี่อิทก็จะรู้ไปด้วย เพื่อนฉันสองตัวนั้นมันทีมพี่อิทกันหมดแหละ
“แฟนเขามั้ง”
“หื้ม?”
ฉันตอบคำตอบอย่างไม่ใส่ใจจนเรนต้องขมวดคิ้ว ไม่ใช่จำไม่ได้ว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร ภาพกล้องวงจรปิดในห้องทำงานมันชัดขนาดนั้นทำไมฉันจะไม่รู้ ว่าคนที่นั่งป้อนข้าวป้อนขนมพี่อิทตอนนี้ คือคนเดียวกันกับคนที่เอาขนมมาให้พี่อิทวันนั้น
“เอาดี ๆ สิปัง แบบนี้ยอมไม่ได้แล้วหรือเปล่า เดินไปถามให้รู้เรื่องไปเลย” เรนยู่ปากไปทางโต๊ะของพี่อิท คำแนะนำของเรนโดนปัดตกทันทีแบบไม่ต้องคิดอะไรให้มากความ
“ไร้สาระน่าเรน เรากับพี่เขาไม่ใช่แฟนกันซักหน่อย พี่เขาจะไปไหนหรือทำอะไรมันก็สิทธิ์ของเขา”
“นี่ไม่ใช่ปังที่เรนรู้จัก คิดจะทำอะไรบอกเรนมาเดี๋ยวนี้เลยนะ”
เรนมองฉันอย่างจับผิด แต่ยังไม่ทันได้ไล่บี้ถามอะไร เพราะแฟนเข้ามาตามเสียก่อน
“เรนกลับได้แล้ว”
บุคคลที่เข้ามาใหม่อยู่ในชุดสูทสีดำเต็มยศ ฉันที่จัดทรงมาเข้า กับใบหน้าหล่อ ๆ ได้เป็นอย่างดี ร่างสูงเดินมานั่งข้าง ๆ เรน พร้อมกับโอบไหล่บางของคนตัวเล็กไว้หลวม ๆ รู้น่าว่าขี้หวง แต่ไม่จำเป็นต้องแสดงออกเวอร์ขนาดนี้ก็ได้ไหม เห็นแบบนี้แล้วแอบหมั่นไส้เหมือนกัน
“เรนคุยกับปังอยู่ ซีแลคอย่าเสียมารยาท กลับไปนั่งที่ตัวเองก่อนเลย” คนตัวเล็กกว่าดุให้คนที่นั่งข้าง ๆ เบา ๆ
มันเป็นภาพที่ชินตาของฉันไปแล้ว เวลานัดเจอเรนทุกครั้ง ก็มักจะมีแฟนเรนมาด้วยเสมอ แต่เราจะนั่งแยกโต๊ะกัน เนื่องจากเรนอยากคุยกับฉันฉันแบบส่วนตัว แต่ก็นะ ในเมื่อแฟนขี้หวงขนาดนี้ คงไม่ปล่อยให้ห่างกายนานหรอก ดูอย่างตอนนี้สิ ฉันนั่งคุยกับเรนมาแค่ชั่วโมงกว่า ๆ ก็มีคนมาตามเรนกลับบ้านแล้ว
“คุยนานไปแล้วนะเรน”
“พี่อย่าขี้เวอร์ไปหน่อยเลย น้ำหน้าอย่างปังไม่ใช่สเปคเรนหรอก ถ้าคบกัน คงสับสนน่าดูว่าใครจะรุกใครจะรับ”
อดจะหมั่นไส้ไม่ได้ ฉันเลยพูดเหน็บแนบแฟนเรนไปสักหน่อย พอให้แสบ ๆ คัน ๆ ส่วนเรนที่ได้ฟังก็นั่งยิ้มขำ ต่างจากพี่กาแล็กซีที่ทำหน้าเหมือนอยากจะยกปืนขึ้นมายิงจ่อหัวฉันให้รู้แล้วรู้รอด แต่ขอโทษนะคะ พอดีฉันไม่กลัว
“น่ารำคาญ”
โดนผู้ชายหล่อด่าใครว่าไม่เจ็บ นอกเหนือจะความเจ็บ ก็คงมีแต่คำว่าชิน เพราะโดนด่าคำนี้ทุกครั้งที่เจอหน้า
“เราขอยืมตัวแฟนเรนหน่อยได้ไหม พอดีรู้สึกอย่างเต้นรำอะ”
“ไม่..."
“หื้ม..เอาสิ เราอนุญาต5555”
เรนกับฉันมองหน้ากันอย่างรู้ความหมาย ซึ่งต่างจากแฟนของเรนที่ทำหน้าเบื่อหน่ายอยู่ตลอด ไม่ต้องรอให้แฟนเรนปฏิเสธซ้ำ ในเมื่อเรน อนุญาตแล้ว ฉันก็ใช้สายตาบีบบังคับให้พี่กาแล็กลุกตามฉันมา ตอนแรกพี่แกจะไม่ยอม แต่เหมือนเรนจะกระซิบอะไรสักอย่าง ทำให้พี่แกยิ้มออกมาแล้วก็ลุกขึ้นจับมือฉันเดินไปกลางฟอร์มเต้นรำ
“พี่ช่วยยิ้มเหมือนเต็มใจมากับปังหน่อยสิคะ”
ฉันมองหน้านิ่ง ๆ ของแฟนเรนก็ต้องกลอกตามองบน พี่แกทำหน้าเหมือนอมทุกข์เวลาอยู่กับคนอื่นที่ไม่ใช่เรน แต่ฉันขอเถอะ พี่มีอารมณ์ร่วมไปกับการเต้นรำครั้งนี้ได้ไหม!
“น่ารำคาญ”
“ขอบคุณที่ชมนะคะ”
มือหนาแตะเบา ๆ ลงที่เอวฉันใบหน้านิ่ง ๆ เริ่มยิ้มออกมาเล็กน้อย ไม่ค่ะ พี่แกไม่ได้พิศวาสอะไรในตัวฉันเลย เพราะเขามองข้ามหัวฉันไปโฟกัสที่เมียตัวเองยังไงล่ะ!
เสียงเพลงจากไวโอลินในจังหวะช้า ๆ ฉันยกมือขึ้นคล้องคอพี่กาแล็กซีพลางซบลงที่อก เสียงหายใจฮึกฮักเหมือนคนหงุดหงิดเต็มทน ทำให้ฉันอดที่จะขำไม่ได้ แต่ก็ต้องพยายามกลั้นไว้อย่างสุดความสามารถ
“เลิกประชดสักที ฉันเบื่อเธอเต็มทนแล้ว อยากกลับไปหาเรนแล้ว”
สงสัยพี่แกเริ่มจะหมดความอดทนกับฉันแล้ว งั้นฉันจะเลิกประชดแล้วปล่อยเขาไปอ้อนแฟนตัวเองต่อแล้วกัน
“งั้นปังไปเข้าห้องน้ำก่อนนะคะ บอกเรนให้ด้วยว่าไม่ต้องรอ วันนี้ ปังมีคนไปส่งแล้ว”
ฉันผละตัวออกจากร่างสูงตรงหน้า แล้วปลีกตัวไปทางห้องน้ำ หลังจากทำธุระส่วนตัวเสร็จ ก็นับถอยหลังในใจก่อนจะเปิดประตูออกมา
สาม
สอง
หนึ่ง
“ปัง กลับบ้านกับพี่เดี๋ยวนี้”
ร่างสูงในชุดสูทสีเบสผูกเนกไทสีอ่อน ใบหน้าที่ดูเอ่อ...ออกจะเคร่งเครียดไปหน่อย แต่ก็ไม่สามารถทำให้ความหล่อนั้นดูน้อยลงเลย
“พี่อิทมาได้ยังไงคะ”
น้องเอียงคอถามฉันอย่างสงสัย ถ้าในเวลาปกติ ฉันคงมองว่าเป็นการกระทำที่น่ารักมากแน่ ๆ แต่ตอนนี้ฉันกำลังหงุดหงิด ใจมันร้อนรุ่มเหมือนถูกไฟเผา ฉันมองน้องมาตั้งแต่เริ่มเปิดฟอร์มเต้นรำ น้องมากับใครสักคนที่ฉันไม่เคยรู้จัก ฉันว่าตัวเองรู้จักเพื่อนน้องทุกคน แต่สำหรับคนนี้ไม่เคยแม้แต่จะเห็นหน้าด้วยซ้ำ แค่เห็นน้องยิ้มให้มัน พูดคุยพร้อมกับส่งยิ้มหวาน และที่สำคัญ น้องกอดมัน! อย่างที่ฉันเคยบอกว่า ตัวเองสามารถจัดการได้ทุกเรื่อง ยกเว้นเรื่องเดียวคือเรื่องของน้อง ตอนนี้ฉันกำลังเป็นบ้าเพราะความหึง หวง ทำให้ฉันแทบอยากเดินไปกระชากสองคนนั้นออกจากกัน ฉันต้องรีบสลัดพอใจทิ้ง โดยการโทรเรียกคริสตินมารับพอใจไปส่งถึงบ้าน ส่วนตัวเองก็รอจังหวะที่จะพาน้องกลับไปกับฉัน
“ไว้ค่อยคุยได้ไหมครับตอนนี้เรากลับบ้านกับพี่ก่อน พี่มีเรื่องจะคุยกับเราพอดี”
“แต่เพื่อนปังรออยู่ข้างนอก”
จะเชื่อได้มากน้อยแค่ไหนว่าเป็นแค่เพื่อน! ฉันอยากตะโกนถามออกไปมาก ว่าเพื่อนที่ไหนเขากอดกันขนาดนั้น!
แต่ฉันคงลืมตัวไปว่า ไม่มีพี่คนไหนเขาใช้ปากแตะปากน้องตัวเองเหมือนกัน...
“ไม่มีแต่ครับ ปังต้องกลับกับพี่เดี๋ยวนี้”