สามชั่วโมงที่บุษกรนั่งเรียนอยู่ในห้องทำให้หญิงสาวรู้สึกหัวเสียไม่น้อย ที่มาของอาการดังกล่าวก็คือวันนี้ดันมีนักศึกษานิสัยแย่เข้ามาเรียน หลังจากที่หายหน้าหายตาไปจากวิชานี้เกือบสามอาทิตย์
เธอเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเพราะอะไรมหาวิทยาลัยแห่งนี้ถึงรับนักศึกษากลุ่มนี้เข้ามาเรียน นอกจากไม่ตั้งใจเรียนแล้วยังทำตัวกร่างไปทั่ว ชอบหาเรื่องคนที่อ่อนแอกว่า สี่ปีที่เรียนอยู่ในคณะเดียวกัน นักศึกษากลุ่มนี้ดูเหมือนอายุมากกว่าเธอประมาณสองหรือสามปี
บางคนเรียนมาเกือบหกหรือเจ็ดปี แล้วก็ยังไม่จบเสียที คงอยากอยู่เป็นผีเฝ้ามหาวิทยาลัย มีเพียงสองคนเท่านั้นที่อยู่รุ่นเดียวกับเธอ คือ ชมพูนุช เวชประสิทธิ์ ลูกสาวคนเล็กของเจ้าของบริษัทท่องเที่ยวแห่งหนึ่ง และ มณีวรรณ ศิริเวช ลูกสาวคนกลางของเจ้าของธุรกิจส่งออกอาหารสำเร็จรูป
“เรียนรู้เรื่องหรือเปล่าใบบัว” ภาวินีถามคนข้างกายอย่างเซ็งๆ
“ไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไรหรอกส้ม เสียงดังซะขนาดนั้น” บุษกรหันมาตอบเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของเธอด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“ต้องทำใจหน่อยแหละใบบัว โชคดีที่ใบบัวไม่ต้องเจอพวกมันเกือบทุกคาบเหมือนส้ม”
ภาวินีบอกด้วยท่าทางเบื่อหน่ายกับพฤติกรรมแย่ๆ ของผู้ชายที่เธอเกลียดเข้าไส้ เพราะมีพ่อเป็นนักการเมือง ถึงไม่เห็นหัวหรือเห็นใจคนอื่น ไม่เรียนก็ไม่มีใครว่า ไม่เรียนทีหนึ่งแล้วยังสร้างปัญหาให้เพื่อนนักศึกษาคนอื่นอีก อยากรู้จริงว่าถ้าไม่มีพ่อเป็นนักการเมือง ยังจะกล้าทำตัวกร่าง ข่มเหงคนที่อ่อนแอและด้อยกว่าอยู่อีกหรือเปล่า
“คนมันคิดไม่ได้ ต่อให้ตายอีกร้อยครั้งมันก็คิดไม่ได้หรอกส้ม เราว่าส้มอย่าไปสนใจพวกมันเลย ว่าแต่มีเรียนต่อหรือว่ากลับบ้านเลย”
“ส้มมีเรียนต่อวิชาของดอกเตอร์แทนไทน่ะใบบัว”
เธอมีเรียนคอมธุรกิจต่อ ความจริงแล้วเธอควรเรียนวิชานี้ตั้งแต่เทอมที่แล้ว แต่เพราะว่าเธอไม่สบายเลยต้องดร๊อปวิชานี้เอาไว้ ยังโชคร้ายอีกครั้ง เพราะเธอต้องเรียนห้องเดียวกับผู้ชายที่เธอเกลียดเข้าไส้อย่างพีรพัฒน์ ธีรธาดา และชัยสิทธิ์ พิชยการ สองรุ่นพี่ตัวปัญหาของคณะบริหาร พร้อมด้วยเพื่อนรุ่นเดียวกันอย่างชมพูนุชและมณีวรรณ
บุษกรเบนสายตามองไปยังกลุ่มของพีรพัฒน์แล้วเลิกคิ้วมุ่น เพราะผู้ชายที่นั่งอยู่ไม่ไกลจากเธอนั้นเป็นไอ้สารเลวที่เคยทำร้ายดอกเตอร์แทนไทเมื่อสองปีก่อน
‘ยังเรียนไม่จบอีกเหรอ จะอยู่เป็นพ่อเฒ่ามหา’ลัยหรือไง’
“มองฉันด้วยสายตาแบบนั้นหมายความว่าไง”
เสียงที่ดังขึ้นทำให้บุษกรยิ่งเลิกคิ้วสูง หันมาสบตามองหนุ่มเจ้าปัญหาด้วยแววตาเยียบเย็น เธอไม่ได้คิดเป็นศัตรูกับใคร แต่ถ้าใครคิดเป็นศัตรูกับเธอมันต้องไม่ตายดีแน่
“ก็ไม่มีปัญหาอะไรนิ” บุษกรตอบ
“แต่สายตาที่เธอมองฉัน มันทำให้ฉันไม่สบอารมณ์”
พีรพัฒน์บอกด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้าง มองรุ่นน้องสาวด้วยความไม่พอใจ เมื่อสองปีก่อนหล่อนทำให้เขาต้องหน้าแตกหมอไม่รับเย็บเลยทีเดียว ดีหน่อยที่ตอนนั้นไม่มีใครอยู่แถวนั้น เขาจึงไม่ต้องอับอายมากนัก แต่ความแค้นก็ยังคงฝังแน่นอยู่ในอก
ในมหาวิทยาลัยนี้ไม่มีใครไม่รู้จักเขา และก็ไม่มีใครไม่รู้จักบุษกร เขากับหญิงสาวต่างกันราวกับฟ้าและดิน ถึงเขาจะมีฐานะร่ำรวยมากแค่ไหน แต่เรื่องการเรียนและความสามารถด้านกีฬาเขากลับสู้บุษกรไม่ได้
“เธอไม่รู้หรือไงว่าคุณเฟียสเป็นใคร”
ชมพูนุชถามด้วยสีหน้าไม่พอใจ ยิ่งมารู้ว่าในอดีตพีรพัฒน์ชอบบุษกรเธอก็ยิ่งเกลียด หากไม่มีผู้หญิงคนนี้ ผู้ชายที่เธอหลงรักคงยอมรับเธอเป็นแฟนไปแล้ว
“ผู้ชายคนนี้เป็นใคร เกี่ยวอะไรกับฉัน”
บุษกรตอกกลับอย่างไม่ไว้หน้า พีรพัฒน์เป็นใคร เกี่ยวอะไรกับเธอ ผู้ชายที่วันๆ เอาแต่หาเรื่องชาวบ้าน ทำตัวไร้สาระ หาแก่นสารไม่ได้ ไม่ได้อยู่ในสายตาเธอสักนิด
“ขอตัวก่อน เพราะฉันต้องรีบไปทำงาน”
“ฐานะอย่างเธอไม่น่าเข้ามาเรียนที่นี่หรอกบุษกร” มณีวรรณพูดเสียงดัง จนทำให้นักศึกษาที่นั่งรอเพื่อจะเรียนวิชาต่อไปต่างก็หันมา
มองด้วยความสนใจ
“มหา’ลัยแห่งนี้ไม่เหมาะสำหรับคนยากจนอย่างเธอ ฉันว่าเธอน่าจะไปเรียนมหา’ลัยของรัฐมากกว่า ค่าเทอมถูกกว่าที่นี่เยอะเชียวล่ะ”
“คนอย่างเธอนี่มันเกิดมารกโลกจริงๆ การศึกษาไม่ได้ช่วยให้เธอมีความคิดความอ่านเลยสินะมณีวรรณ ฉันล่ะรู้สึกสงสารพ่อแม่ของเธอจริงๆ”
บุษกรเอ่ยด้วยสีหน้านิ่ง แววตาเย็นชา จนแม้แต่พีรพัฒน์ยังรู้สึกเสียวสันหลังวาบ ไม่ต้องไปดูหน้าของมณีวรรณเลย เพราะมั่นใจว่าหญิงสาวคงกลัวจนลนลานเหมือนกัน
“ฉันอยากรู้จริงๆ ถ้าหากครอบครัวของเธอล้มละลายขึ้นมา คุณหนูอย่างเธอจะมีชีวิตอยู่ต่อได้ยังไง”
มีตั้งหลายวิธีที่จะทำให้บริษัทล้มละลาย เธอคิดว่ามันคงไม่เกินความสามารถของเธอและลูกน้อง ข้างกายก็มีคนที่เก่งกาจ มีความสามารถอยู่ทุกด้าน แค่ทำให้ศัตรูมันย่อยยับไปต่อหน้า คงเป็นเรื่องสะใจไม่น้อยทีเดียว
มณีวรรณถึงกับกลืนน้ำลายดังเอื๊อกกับคำพูดประโยคนั้น ยิ่งบรรยากาศรอบตัวของบุษกรตึงเครียดยังไงก็ไม่รู้ ยิ่งทำให้รู้สึกจิตใจหดหู่ ความรู้สึกที่สัมผัสได้ยังไม่เท่ากับแววตามุ่งร้ายที่จ้องมองมา
“ใบบัวรีบไปทำงานไม่ใช่เหรอ เดี๋ยวก็สายหรอก”
ภาวินีหันมาสะกิดเพื่อนสนิทเพื่อเตือนสติ บรรยากาศน่ากลัวที่เธอเคยรู้สึกมาก่อน ที่แท้มาจากคนข้างกายเธอนี่เอง
บุษกรหันตามแรงสะกิดของเพื่อนสนิท หญิงสาวเพียงแต่ยิ้มแล้วหยิบกระเป๋าสะพายพร้อมกับหนังสือขึ้นมาถือ
“เจอกันพรุ่งนี้นะส้ม”
“ถึงที่ทำงานก็โทรมาบอกด้วยล่ะ ส้มเป็นห่วง”
“ไม่ต้องเป็นห่วง ถึงที่ทำงานเมื่อไรเราจะโทรหาส้มทันที”
หญิงสาวหันมาบอกเพื่อนสนิทอีกครั้งแล้วลุกเดินออกจากห้องเรียน แต่เดินออกไปได้ไม่กี่ก้าวก็หยุดเดิน เมื่ออาจารย์หนุ่มเดินเข้ามาในห้องพอดี
“สวัสดีค่ะดอกเตอร์”
“สวัสดีครับ” แทนไททักทายลูกศิษย์สาวกลับไป รอยยิ้มอบอุ่นแต้มอยู่ตรงมุมปาก กิริยาดังกล่าวเรียกเสียงฮือฮาจากนักศึกษาในห้องได้เป็นอย่างดี
“ระวังตัวด้วยนะคะ ตัวอันตรายนั่งอยู่ในห้องเรียน”
บุษกรบอกด้วยความเป็นห่วง เธอยังจำเรื่องในอดีตได้ดี ตอนที่พีรพัฒน์จับตัวดอกเตอร์แทนไทไปซ้อมแทบปางตาย เพียงเพราะเธอให้ความสนใจอาจารย์หนุ่มผู้นี้มากกว่าเขา หลังจากนั้นเธอจึงออกห่าง และได้แต่คอยเฝ้ามองอยู่ในมุมมืด คอยปกป้องอยู่เงียบๆ
“ขอบคุณที่เป็นห่วงผมนะครับ แต่มีนักศึกษาอยู่เยอะ พีรพัฒน์คงไม่กล้าทำร้ายผมหรอก”
แทนไทบอกด้วยรอยยิ้มอบอุ่น ทั้งที่เหตุการณ์ในอดีตยังฝังแน่นอยู่ในใจ ช่วงที่เขาถูกซ้อม คำพูดที่เขาได้ยินก่อนหมดสติ นั่นก็คือเขาได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับผู้หญิงของลูกศิษย์ตัวเอง
แต่เมื่อตื่นมาอีกทีเขาก็พบว่าตัวเองนอนอยู่ในโรงพยาบาลชื่อดังของกรุงเทพฯ ส่วนค่ารักษาก็มีคนจ่ายให้เรียบร้อย พอถามหมอหรือพยาบาลว่าคนที่พาเขามาโรงพยาบาลและจ่ายค่ารักษาให้เป็นใคร
เขากลับไม่ได้รับคำตอบจากหมอเจ้าของไข้เลย ตอนนี้เขาก็ยังสงสัยอยู่ว่าคนที่ช่วยเหลือเขาคือใคร
“ระวังไว้หน่อยก็ดีนะคะ”
“แล้วผมจะระวังตัวนะครับ” ชายหนุ่มยิ้มและรู้สึกมีความสุขกับความห่วงใยเล็กๆ น้อยๆ ที่ลูกศิษย์สาวคนเก่งมีให้
“ระวังตัวด้วยนะคะ เป็นห่วง” บุษกรบอกอย่างห่วงใย ก่อนเดินจากไปก็ไม่ลืมที่จะปรายตาไปมองตัวอันตรายที่เธออยากทำให้หายไปจากโลก
‘ถ้านายกล้าทำร้ายดอกเตอร์อีก คราวนี้ฉันจะฆ่านายทันที’
///////////////
...โปรดติดตามตอนต่อไป...